มีใครที่ดูภาพยนตร์ในคลังที่เตรียมไว้จนหมดแบบไม่เหลือแล้วบ้าง แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะมีไม่มีอะไรให้ดูต่อ เพราะเรามีลิสต์ภาพยนตร์ในดวงใจของ Hedi Slimane ดีไซเนอร์แบรนด์ Celine ซึ่งเป็นโปรแกรมพิเศษที่เขาทำร่วมกับ MUBI เว็บสตรีมมิ่งระดับโลก มาแบ่งปันให้การ์ซงได้เอ็นจอยกันในช่วงกักตัวนี้
โดย Slimane ได้คัดภาพยนตร์คลาสสิกเรื่องดังในอดีต และภาพยนตร์สายคัลท์ที่หาดูได้ยากทั้งหมด 10 เรื่อง มาสตรีมมิ่งให้ทุกคนเข้าไปชมผ่านทาง MUBI ได้ฟรีๆ ตั้งแต่วันนี้จนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคมผ่านทาง MUBI – Hedi Slimane ซึ่งแต่ละเรื่องจะเป็นอย่างไรกันบ้าง เราก็ได้รีวิวสั้นๆ เอาไว้ให้แล้ว
__________________
Laurence Anyways (2012)
เมโลดราม่าชั้นดีที่เข้ากับยุคสมัยที่เส้นแบ่งทางเพศบางลงเรื่อยๆ ว่าด้วยเรื่องราวของลอเรนซ์ ชายหนุ่มที่ค้นพบตัวเองว่าอยากเป็นผู้หญิง นำมาซึ่งปัญหามากมายตามมา อาจจะฟังดูเหมือนพล็อตภาพยนตร์ LGBTQ ทั่วไป แต่ที่เรารู้สึกชอบภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะลอเรนซ์ดันมีแฟนสาวอยู่แล้ว และเธอเองก็สนับสนุนให้เขาได้เป็นตัวตนอย่างเต็มที่ นี่จึงเป็นข้อพิสูจน์ให้เราเห็นได้ชัดเจนว่า ความรักไม่มีข้อจำกัดเรื่องเพศอย่างแท้จริง
__________________
Night Tide (1961)
เรื่องราวความรักของจอร์นนี่ กะลาสีหนุ่มคนหนึ่งมที่บังเอิญไปตกหลุมรักกับโมร่า สาวปริศนาที่เธอบอกว่าตัวเธอคือนางเงือก และทุกอย่างก็ค่อยๆ กระจ่างชัดเจนมากขึ้นเมื่อจอร์นนี่เริ่มค้นพบความจริงอีกด้านหนึ่งเกี่ยวกับผู้หญิงที่เขารัก จนนำไปสู่การพิสูจน์ว่าแท้จริงแล้วโมร่าคือนางเงือกจริงหรือไม่ แต่ว่าจะรู้เรื่องหนุ่มๆ ก็ต้องแยกให้ออกก่อนว่าส่วนไหนบ้างที่เป็นเรื่องจริง และใครที่มีตัวตนแค่ในความคิดของโมร่าบ้าง
__________________
Charade (1963)
ถ้าหนุ่มคนไหนเป็นคอหนังแห่งฮอลลีวู้ดก็จะรู้กันดีว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอีกผลงานระดับตำนานของเจ้าหญิงแห่งฮอลลีวู้ดอย่าง Audrey Hepburn บอกเลยว่า เรื่องราวปมความลับและการค้นหาความจริงของแต่ละตัวละครมันทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สนุกมาก อีกหนึ่งจุดที่ต้องขอชมเลย คือ จังหวะการดำเนินเรื่องและบทสนทนาที่ฉลาดหลักแหลมมาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำให้ Charade ถึงได้กวาดรางวัลไปมากมายจริงๆ
__________________
The 400 Blows (1959)
ภาพยนตร์ที่มาจากประสบการณ์ชีวิตวัยเด็กส่วนหนึ่งของผู้กำกับอย่าง François Truffaut ขอเตือนก่อนว่า เตรียมรับมือกับความกดดันที่จะเกิดขึ้นเอาไว้ให้ดี เพราะเรื่องราวชีวิตที่มีแต่ปัญหารุมเร้าของอองตวนมันค่อนข้างเศร้า และเครียดในระดับหนึ่งเลยล่ะ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัว หรือจะเป็นปัญหาจากความไม่เข้าใจของครูที่โรงเรียนก็ตาม จนนำไปสู่บทสรุปของเรื่องนี้ที่ทิ้งข้อคิดให้บรรดาผู้ใหญ่เข้าใจเด็กๆ มากขึ้น
__________________
Apocalypse Now (1979)
รางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์คงจะเป็นสิ่งที่การันตีคุณภาพของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี แล้วพอได้ดูเราก็ขอยกให้นี่เป็นหนึ่งในภาพยนตร์เกี่ยวกับสงครามที่ดีที่สุด ไม่ใช่จากความตื่นเต้นลุ้นระลึกหรอกนะ แต่เป็นเรื่องราวที่สามารถสะท้อนบาดแผลที่เกิดขึ้นกับพลทหารปลดประจำการ จากความโหดร้ายและบ้าคลั่งในการทำสงครามระหว่างกัน จนเราเชื่อว่า คนที่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ไปแล้วจะต้องเกลียดกลัวสงครามเข้าไส้ไปเลย
__________________
Persona (1966)
นี่คือภาพยนตร์ที่การ์ซงจะไม่มีทางเข้าใจตั้งแต่การดูครั้งแรก เพราะความซับซ้อนของเรื่องราวและอารมณ์ที่ผู้สร้างค่อยๆ สร้างขึ้นเหมือนกับเป็นเขาวงกต ที่ให้ผู้ชมต้องใช้เวลาในการสำรวจและตีความนัยยะต่างๆ ในเรื่องราวความสัมพันธ์ของนักแสดงหญิงและพยาบาลที่เป็นคนดำเนินเรื่อง ซึ่งขอบอกว่ามันสามารถตีความออกไปได้หลายความหมายมากๆ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และมุมมองของแต่ละคน ถ้าอยากรู้ว่าเรื่องราวจะซับซ้อนขนาดไหนก็ต้องลองดูเอง
__________________
Pierrot le Fou (1965)
Pierrot le Fou มาในรูปลักษณ์ที่แสนสดใสตามสไตล์โทนสีของศิลปะแบบป๊อปอาร์ต แต่พอดูแล้วกลับไม่ได้สดใสเหมือนกับโทนสีที่เราเห็น เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ค่อนข้างตลกปนเศร้าอยู่หน่อยๆ กับชีวิตของชายคนหนึ่งที่เบื่อกับสภาพสังคม และครอบครัวจนตัดสินใจหนีทุกอย่าง แล้วไปใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมาย จนไปเจอกับสาวปริศนาคนหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องราวทั้งหมดขึ้น อีกหนึ่งความพิเศษที่เราสัมผัสได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้คือ คุณจะไม่มีวันเบื่อ เพราะเปิดดูแต่ละครั้งก็จะมีประเด็นใหม่ๆ ให้ค้นหาเสมอตามแบบฉบับของผู้กำกับ Jean-Luc Godard
__________________
Red Desert (1964)
ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายในไตรภาค ‘Incommunicability Trilogy’ และเป็นภาพยนตร์สีเรื่องแรกของผู้กำกับระดับปรมาจารย์ชาวอิตาเลียนอย่าง Michelangelo Antonioni ที่มีประเด็นหลักที่ต้องการสื่อสารถือว่าทันสมัยมากๆ ในตอนนั้น อย่างเรื่องของสตรีนิยมและความแปลกแยก รวมไปถึงงานภาพสวยๆ ที่ช่วยถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกเศร้าโศกของตัวละคร จนทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับกระแสตอบรับดีมากจริงๆ
__________________
Le Cercle Rouge (1970)
ถ้าอยากได้ความลุ้นระทึกหรือภาพยนตร์แนวอาชญากรรมที่หนุ่มๆ ชื่นชอบ ก็คงต้องเป็นเรื่องนี้เท่านั้น เพราะความสมบูรณ์แบบของการวางแผนปล้นของบรรดามือปืนดาวร้ายในเรื่อง มันชวนให้รู้สึกอยากรู้ตลอดเวลาว่าจะทำอะไรต่อไป จนทำให้เวลาเกือบสองชั่วโมงในการดำเนินเรื่องผ่านไปอย่างรวดเร็ว
__________________
Paris, Texas (1984)
อย่าดูคนเดียวเด็ดขาด เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้การ์ซงรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวมากๆ จากความสัมพันธ์ของชายหญิงคู่หนึ่ง ตั้งแต่เริ่มต้นที่สวยงามมากๆ จนถึงจุดหนึ่งที่ไม่สามารถเดินร่วมทางต่อไปด้วยกันได้แล้ว ฟังดูอาจจะเหมือนตอนจบของเรื่อง แต่ความจริงแล้วจุดหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้คือบาดแผลที่ถูกทิ้งไว้ในใจของทั้งสองคนมากกว่า Paris, Texas จึงเป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวได้เรียบง่ายแต่มีอานุภาพต่อความรู้สึกหลังดูจบมาก
┃Photos : MUBI, The Citrerion