ช่วงค่ำคืนที่ดวงจันทร์ส่องสว่าง ช่วยสร้างบรรยากาศโรแมนติกชวนให้อยากใช้ช่วงเวลาดีๆ ไปกับคนพิเศษ ยิ่งร้านอาหารเปิดให้นั่งทานได้แล้วอย่างนี้ ยิ่งควรหามื้อค่ำดีๆ แบบไม่จำเป็นต้องมีโอกาสพิเศษก็สปอยล์ตัวเองได้ด้วยอาหารชั้นเลิศในบรรยากาศที่ต้องบอกว่า มื้อนี้ “พระจันทร์เป็นใจ” ไม่ต้องไปจองภัตตาคารรูฟท็อปที่ไหนให้เข้าใกล้พระจันทร์ได้อีกนิด แต่เราขอชวนมาดินเนอร์ระยะประชิดกับซูเปอร์มูน ที่ 984WOLF บ้านทรง Midcentury ในซอยนราธิวาสราชนครินทร์ 17 ที่นอกจากจะมีพระจันทร์เต็มดวงให้ชื่นชมกันแบบใกล้ๆ แล้ว เมนูอาหารโมเดิร์นยูโรเปียนที่ได้แรงบันดาลใจจาก ‘ไฟ’ ก็รับรองว่า สร้างความประทับใจไม่รู้ลืม
การเดินทางตามหาบ้านที่มีพระจันทร์เต็มดวงนั้นไม่ยากเย็น แค่เลี้ยวเข้าซอยนราธิวาสราชนครินทร์ 17 แยก 7 เราก็จะพบกับบ้านที่แวดล้อมด้วยต้นไม้เขียวขจี โดยมีต้นมะขามคู่บ้านสยายกิ่งก้านช่วยมอบความร่มรื่น เมื่อมองลอดผ่านเส้นสายของกิ่งก้านและใบเล็กๆ ที่ปกคลุมอยู่นอกหน้าต่างเราจะเห็นพระจันทร์ขนาดมหึมาที่เหมือนจริงจนน่าทึ่ง ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของร้านอาหารที่สามารถจำลองพระจันทร์มาไว้ใจกลางร้านได้อย่างน่าชื่นชม
“ตัวบ้านเรารีโนเวทขึ้นมาจากบ้านอายุ 60-70 ปี ตัวบ้านมีการเล่นระดับที่สวยอยู่แล้ว มีหลังคาลาดที่ดูโรแมนติก แต่เราก็ปรับภายในเยอะเหมือนกัน ใช้เวลาสร้างอยู่หนึ่งปีเต็มๆ ซึ่งถือว่า ช้ามาก ส่วนชื่อร้านที่มีคำว่า ‘Wolf’ เพราะเราเชื่อในเรื่องทีม ในการทำอาหารไม่ได้ขึ้นอยู่กับเชฟคนเดียว แต่มันอยู่ในทุกส่วนประกอบที่จะต้องทำงานสอดคล้องกันเหมือนวงออเครสต้า แต่ละสเตชั่นในครัวต้องทำได้ดีไปพร้อมๆ กัน แล้วเอกลักษณ์ของอาหารที่นี่อยู่ที่ภายในหนึ่งเมนูเกิดจากหลายๆ สเตชั่นมารวมกันทีเดียว ดังนั้น มันต้องการความสามัคคี เราจึงชอบชื่อ Wolf ตรงที่มันเป็นสัตว์ป่าที่อยู่เป็นฝูง แต่ยังคงมีความเป็นตัวของตัวเอง พอพูดถึงสุนัขป่าคอนเซ็ปต์เรื่องพระจันทร์ก็ตามมา ตัวโคมไฟพระจันทร์เป็นเรื่องที่เราไม่ได้แพลนไว้ แต่ศิลปินเขาทำออกมาได้ดีมาก” เชฟญาดา เรืองสุขอุดม เชฟผู้ก่อตั้งและกำหนดทิศทางของร้านเล่าถึงความเป็นมาของร้านที่ไม่เหมือนใคร
ซึ่งหากถามว่า ถ้าคิดจะจับจองที่นั่งวิวดีที่สามารถชมจันทร์ได้อย่างถนัดตาควรจับจองที่นั่งโซนไหนถึงจะตรงกับความต้องการ เราแนะนำให้จับจอง The Moon Room บนชั้นสอง ที่สามารถมองเห็นโคมไฟพระจันทร์ลอยเด่นเป็นสง่าได้ชัดเจน มองลงมาเบื้องล่างยังได้เห็นการทำงานในครัวห้องกระจก ที่เชฟปรุงอาหารสดใหม่ทุกจานได้อย่างเพลิดเพลิน แต่หากมาเป็นกลุ่มใหญ่แนะนำให้เปิดห้อง Alex Room ซึ่งเป็นห้องไพรเวทขนาด 20 ที่นั่ง ชั้นล่างก็สามารถสังสรรค์กับเพื่อนๆ ได้อย่างสนุกสนาน เหมือนมาดินเนอร์ในบ้านเพื่อนสนิท
ภายในร้านยังตกแต่งไว้อย่างเป็นเอกลักษณ์ด้วยงานศิลปะที่กระจายตัวอยู่ตามมุมต่างๆ ของร้าน ชิ้นเด่นเห็นจะเป็นประติมากรรมของสตรีทอาร์ติสต์ชื่อดังอย่าง Alex Face ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นภายในห้องไพรเวท ส่วนอาร์ตเวิร์กชิ้นอื่นๆ ที่สะท้อนตัวตนของร้านนั้นส่วนใหญ่เป็นคาแร็กเตอร์สุนัขป่าที่ได้ กุ๊ก-ชนิดา วรพิทักษ์ นักวาดภาพประกอบที่มีลายเส้นที่บ่งบอกลายเซ็นเด่นชัด คาแร็กเตอร์ดังกล่าวยังถูกใส่ไว้ในเมนูกระดาษที่พริ้นต์ใหม่ทุกวัน เนื่องจากเมนูในแต่ละวัน เชฟแก้วจะครีเอทออกมาให้ไม่ซ้ำกัน ขึ้นอยู่กับว่า วัตถุดิบชนิดไหนคือวัตถุดิบที่ดีที่สุดในวันนั้น โดยส่วนใหญ่แล้วเมนูยืนพื้นที่ลูกค้ามักจะออเดอร์ ได้แก่ เมนูเนื้อวัว ล็อบสเตอร์ และอูนิ นอกเหนือจากนั้นจะเปลี่ยนไปตามซีซั่น และแรงบันดาลใจของเชฟ ซึ่งเชฟจะนำมารังสรรค์เมนูอาหารที่มีจุดกำเนิดมาจาก ‘ไฟ’ ที่จุดขึ้นจากถ่านและฟืน และไม่ได้มีเฉพาะเมนูกริลล์เท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับไฟโดยตรง แต่ทุกเมนูล้วนมีองค์ประกอบที่ถือกำเนิดจากความร้อนที่ได้จากธรรมชาติ
“อันที่จริงแล้วไฟสามารถทำอาหารได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ไฟแรง หรือ ไฟอ่อน ในครัวเราจะมีเตาอบ Josper ที่ควบคุมอุณหภูมิด้วยแรงลม ให้ความร้อนสูงมาก ทำให้เราย่างเนื้อได้ดีมาก ข้างนอกกรอบข้างในชุ่มฉ่ำ ส่วนสเตชั่นไฟอ่อนเราเอาไว้ย่างขนมปัง หรือการอุ่นซอสเราก็ทำบน fireplace อย่างเนื้อปลาคินเมได เราจะย่างแบบคาร์ดิโอ เราจะใช้พัดพัดไฟไปด้วย เพื่อเร่งให้หนังกรอบ หรือเมนูเนื้อวากิวที่ต้องใช้ burnt onion ทุกวันที่เตาดับลง มันจะมีถ่านที่ยังคงความร้อนอยู่ เราจะเอาหัวหอมมาหมกไว้ในถ่านข้ามคืน พอรุ่งเช้าก็จะได้ burnt onion ที่โดยปกติแล้วหลายๆ ร้านจะใช้วิธีการผัดจนกลายเป็นสีน้ำตาล หรือห่อฟอยล์อบมากกว่า แต่นี่เราได้ใช้ประโยชน์จากไฟในขณะที่เราไม่ได้ทำงาน และยังได้กลิ่นหอมกว่าวิธีอื่นด้วย หรือแม้กระทั่งน้ำสต็อกหรือซอสต่างๆ ก็ผ่านการย่างด้วยถ่านก่อนจะนำไปทำเป็นเบสซอสเช่นกัน”
เริ่มจากเมนูแรกกันเลย นั่นก็คือ Foie Gras & Blueberry เมนูใหม่ที่เริ่มกลายเป็นเมนูโปรดของลูกค้าที่มาแล้วต้องสั่งกันแทบทุกโต๊ะ ฐานด้านล่างทำจาก toasted brioche ที่ย่างด้วยไฟอ่อนๆ ให้กรอบนอกนุ่มใน ชั้นต่อมาเป็น foie gras terrine ราดบัลซามิกแยม ตามมาอีกชั้นเป็น crispy brioche ท็อปด้วยบลูเบอร์รี่สด และเมอร์แรงก์ เมนูนี้เสิร์ฟมาในขนาดพอดีคำ และแนะนำให้ทานหมดภายในคำเดียว จะได้สัมผัสเท็กซ์เจอร์ครบถ้วนทุกเลเยอร์ ได้ลิ้มรสชาติเนียนละมุนลิ้นของ terrine ความหวานกรุบกรอบของเมอร์แรงก์ ความสดชื่นของผลบลูเบอร์รี่ โดยมีบริยอชสองเท็กซ์เจอร์ช่วยประสานกันให้เป็นหนึ่งเดียว
ต่อด้วย Uni Toast เมนูที่เราตั้งตารอคอยมาชิมที่นี่เท่านั้น ฐานด้านล่างเป็น sourdough ชุบด้วย brown butter ให้ชุ่ม ก่อนจะนำไปย่างในเตาถ่าน ราดด้วยซอสไข่แดงดองกับมิรินและโชยุ ท็อปด้วยอูนิสดๆ จากฮอกไกโด ส่วนคาเวียร์ เชฟเลือกใช้คริสตัล คาเวียร์ เม็ดกลมโตเงางามจากฝรั่งเศส ชิ้นหนึ่งมาในขนาดพอเหมาะ รสชาติและเท็กซ์เจอร์ที่ได้สัมผัสต้องบอกเลยว่า สวรรค์อยู่ในปากดีๆ นี่เอง ด้วยความที่ตัวอูนิมีรสหวานไร้กลิ่นแปลกปลอมมากวนใจ ยิ่งได้มานอนอยู่บนฐาน sourdough ที่ทำให้รสสัมผัสไม่หนักหรือเลี่ยนจนเกินไปก็ยิ่งส่งเสริมกันได้ดี เมนูนี้แนะนำให้สั่งเบิ้ลอีกจานโดยเปลี่ยนท็อปปิ้งเป็นทรัฟเฟิลจะได้ลองอีกอรรถรสที่เยี่ยมยอดไม่แพ้กัน
Kinmedai เมนูปลากระพงแดงตากลมโตย่างกับไฟโดยตรง ด้านล่างเป็นบาร์เล่ย์ริซอตโต้และไวท์แอสพารากัสแบบกริลล์และแบบดอง ล้อมรอบด้วยซอสที่ทำจากไวน์ขาว Riesling ผสมกับพาสลีย์ออยล์สีเขียวมรกตรสกลมกล่อม เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ได้คะแนนไปเต็มๆ ทุกส่วน นับตั้งแต่เนื้อปลาคินเมไดเนื้อเด้งที่เกิดจากกรรมวิธีเฉพาะของทางร้าน ริซ็อตโตก็รสเข้มข้นเข้ากับไวท์แอสพารากัสสองแบบที่ตักไปก็เจอทุกคำ ส่วนซอส Riesling สีเขียวนั้นรสชาติกลมกล่อมจนแทบจะขอดให้เกลี้ยงจาน
ตามมาติดๆ กับเมนูโปรดที่เชฟชื่นชอบเป็นการส่วนตัวอย่าง Extraordinary Wagyu Hamburg Steak ที่เชฟนำเนื้อออสเตรเลียนวากิวส่วนที่ทริมออกจากเมนูสเต็กมารังสรรค์ให้เกิดเมนูใหม่ที่มั่นใจว่า เป็นแฮมเบิร์กที่เปี่ยมคุณภาพในทุกคำ ส่วนซอสทำจาก bone marrow เนื้อสับ และผิวทรัฟเฟิล ส่วนตัวเนื้อทรัฟเฟิลที่ถูกฝานเปลือกบางๆ ออกถูกนำมาท็อปไว้ด้านบนตัวแฮมเบิร์กให้รสชาติที่นุ่มนวลกว่าเดิม แต่ยังคงกลิ่นหอมชวนหลงใหลไว้อย่างครบถ้วน
ถึงเวลาเอ็นจอยกับเมนูเนื้อแบบเน้นๆ กับ Aus Wagyu Striploin MB9+ เนื้อสเต็กก้อนสวย สีของเนื้อด้านในเป็นสีชมพูกุหลาบชุ่มฉ่ำ เสิร์ฟมาพร้อมเครื่องเคียงหลากหลายให้เลือกตามชอบ ไม่ว่าจะเป็น มันฝรั่งสองแบบ ทั้งมันบด และ dauphine potatoes ลูกกลมๆ สีทองน่าเอ็นดู burnt onion สีน้ำตาลหอมกรุ่น สลัด ไวท์แอสพารากัสซึ่งเป็นวัตถุดิบประจำซีซั่น ตัวสเต็กโรยเกลือทรัฟเฟิลนิดหน่อย แล้วราดซอสไวน์แดงรสเข้มข้นลงไปแค่นั้นก็เพอร์เฟ็กต์แล้ว
ใช่ว่าจะโดดเด่นเพียงแค่เมนูอาหารคาว อาหารหวานของที่นี่ก็ทำให้เราปลื้มไปกับรสชาติ และหน้าตาสวยน่ารัก อย่าง Lemon Sorbet ที่เสิร์ฟมาในเปลือกเลมอนผ่าครึ่ง ให้กลิ่นหอมสดชื่นแบบซิตรัส และรสชาติเปรี้ยวอมหวานที่ช่วยชะล้างรสชาติตกค้างบนลิ้นได้ดี ตบท้ายด้วย Black Truffle Cheesecake ที่พิเศษตรงที่เชฟรังสรรค์ขึ้นเป็นรสทรัฟเฟิลหอมเตะจมูก และให้ทรัฟเฟิลมาแบบไม่อั้น ทานคู่กับกาแฟร้อนๆ นับเป็นการจบมื้ออาหารได้อย่างงดงาม
ใครอยากมาชมจันทร์แบบไม่ต้องรอวันฟ้าเปิด พร้อมลิ้มรสอาหารรสเลิศ อย่าลืมสำรองที่นั่งล่วงหน้า เพราะทางร้านมีโต๊ะจำกัด โดยเฉพาะโต๊ะที่เป็นจุดชมวิวยิ่งต้องรีบจับจองกันแต่เนิ่นๆ
984WOLF ซอยนราธิวาสราชนครินทร์ 17 แยก 7
โทร. 08 0939 4973
Facebook : 984wolf
Photography : Somkiat K.