เรื่องราวของฟ้าใส Miss Universe Thailand 2019 นั้นฟังดูเหมือนพลอตภาพยนตร์สร้างแรงบันดาลใจชั้นดีไม่มีผิด หญิงสาวลูกผสมไทยจีน-แคนาเดียน เชื้อสายฝรั่งเศส วัย 25 ปี จบปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหว ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ผ่านเวทีประกวดประขันความงามมาหลายเวที แต่ไม่เคยได้สัมผัสน้ำหนักมงกุฎบนศีรษะเลยสักครั้ง มีแต่เกือบจะคว้าไว้ได้แต่กลับไปถึง แต่เธอก็ไม่ละทิ้งความพยายามยังคงฝึกฝนตัวเองเพื่อเดินไปให้ถึงเป้าหมาย และในที่สุดความฝันของเธอก็เป็นจริง ฟังดูเหมือนแฮปปี้เอ็นด์ดิ้ง แต่เราเชื่อว่า นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นบนเส้นทางสู่เวทีระดับจักรวาลที่แฟนนางงามเชื่อมั่นว่า ตัวแทนของไทยแลนด์ปีนี้มีลุ้น
ไอเดียที่อยากจะลองขึ้นเวทีประกวดเริ่มต้นได้อย่างไร
ฟ้าใส : ครั้งแรกที่ประกวดเป็นเพราะว่า อยากได้เพื่อน ช่วงนั้นตรงกับ summer vacation ด้วย แล้วพอประกวดมาเรื่อยๆ ทำให้ฟ้าใสรักในการเก็บตัว การทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ แต่พอหลังจากประกวดนางสาวไทยปีพ.ศ. 2556ปุ๊บ ทำให้เรารู้เลยว่า การที่เราจะเป็นนางงาม เรามีหน้าที่อะไรบ้าง และเขาไม่ได้มองแค่ความสวยภายนอก แต่ว่ามองไปถึงว่า นางงามคนนี้ฉลาดหรือเปล่า แล้วก็ต้องดูที่เกรดคะแนนของการเรียนด้วย ฟ้าใสก็เลยตั้งเป้าไว้ว่า ถ้าครั้งต่อไปจะกลับมาประกวดอีก เราจะต้องเรียนให้จบ และได้เกียรตินิยมเท่านั้น
อะไรคือความสนุกในช่วงเวลาเก็บตัว และคุณได้อะไรจากการเก็บตัวเยอะเลยใช่ไหม
ฟ้าใส : ฟ้าใสรู้สึกเหมือนเป็นซินเดอเรลล่า เพราะปกติเราไม่เคยแต่งหน้า ไม่เคยแต่งตัวสวยๆ แต่งตัวสบายๆ ใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ มัดจุก ใส่แว่นตาเป็นเด็กเนิร์ด แล้วลองคิดดูสิว่า มาเมืองไทยแล้วก็ได้เที่ยวฟรี กินฟรี ได้ทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ ก็สนุกไปด้วย แล้วยังได้เรียนรู้ถึงการที่เราต้องมีสติในการตอบคำถามด้วย ได้เรียนรู้เรื่องการแต่งหน้าทำผมด้วย แล้วก็ทำให้ฟ้าใสกล้าที่จะแสดงออกมากขึ้น เพราะโดยปกติแล้วเป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยกล้าพูดต่อหน้า public เป็นคนที่กลัวไมค์มากๆ ก็เลยได้พัฒนาตัวเองด้วย ทำให้ตัวเองสตรองขึ้นด้วยค่ะ
คุณได้เรียนรู้ทริคอะไรที่สำคัญมากๆ ก่อนมาถึงเวที Miss Universe Thailand ในปีนี้
ฟ้าใส : น่าจะเป็นช่วง Miss Universe Thailand 2017 ช่วงนั้นฟ้าใสกดดันตัวเองมากๆ จนกลายเป็นว่าไม่มีความสุขกับกิจกรรมที่ทำ เราหาข้อดีของเราไม่เจอ เพราะก่อนหน้านี้เวลาที่เข้าประกวด ฟ้าใสมักจะมองว่า เราสูงที่สุด เราเป็นลูกครึ่งได้เรื่องภาษา เรียนจบนอกมา น่าจะเป็นโปรไฟล์ที่ดี แต่แล้วกลายเป็นว่าปี 2017 ฟ้าใสมาเจอพี่มารีญา ซึ่งเขาสูงกว่าเรา เขาเรียนจบโทจากเมืองนอก เขาเป็นคนที่มีพื้นฐานในการทำงานที่เมืองไทยอยู่แล้ว ทุกอย่างเขาดีกว่าเราหมดเลย นั่นเป็นครั้งแรกที่ฟ้าใสคาดหวังกับการประกวดมากๆ ทำให้รู้สึก failed เมื่อเราไม่ไปถึงฝันของเรา ก่อนหน้าที่จะมาประกวดครั้งนี้ ฟ้าใสถามตัวเองอยู่หลายครั้งเหมือนกัน บางครั้งท้อมากเลยนะคะ เหมือนมีหลายคำถามที่เราถามตัวเองว่า เราจำเป็นต้องประกวดอีกไหม เราจำเป็นต้องเป็นนางงามไหม
สุดท้ายแล้วอะไรที่ทำให้เราตัดสินใจกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
ฟ้าใส : เคยถามแฟนคลับว่า ทำไมถึงเชียร์ฟ้าใส ทำไมถึงรักฟ้าใส ทำไมถึงมองว่า ฟ้าใสควรจะประกวด Miss Universeอีก แล้วเขาก็บอกเหตุผลนู่นนี่นั่นมา แต่เรากลับบอกเขาว่า ข้อดีของเราข้อนี้ก็เหมือนคนนู้น ข้อดีข้อนั้นก็เหมือนคนนี้ จนแฟนคลับคนนั้นร้องไห้เลย ฟ้าใสสงสารแฟนคลับคนนั้นมาก เขาก็บอกกับเรานะว่า เขาไม่รู้จะอธิบายอย่างไร แต่มันต้องเป็นฟ้าใส แต่คุณพ่อก็มาบอกกับฟ้าใสว่า “ทุกคนเชื่อมั่นในตัวยู แต่ทำไมยูไม่เชื่อมั่นในตัวของยูเอง ว่ายูทำได้” ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ mindset ของเราค่ะ ถ้าเกิดเราเชื่อว่าเราทำได้ก็มีชัยไปเกินครึ่งแล้ว เพราะจะต้องทำทุกอย่างให้เราไปถึงจุดนั้นจริงๆ
ดูเหมือนว่า แฟนคลับจะเป็นกำลังใจของคุณเสมอมา คุณเริ่มมีแฟนคลับมาเชียร์เราตั้งแต่เมื่อไร
ฟ้าใส : ตั้งแต่เวทีแรกค่ะ แต่เวทีที่สังเกตว่า เริ่มมีกลุ่มแฟนคลับจริงๆ คือ ช่วง Miss Universe Thailand ปี 2017เริ่มมีทีเชิ้ตสกรีนชื่อ “ฟ้าใส” แต่ปีนี้เป็นอะไรที่เกินคาดมากๆ ไม่เคยรู้สึกถึงพลังแรงเชียร์แล้วก็ความรักของทุกคนเท่ากับปีนี้เลยค่ะ ปีนี้มาเต็มค่ะ มีทั้งป้ายไฟอะไรต่างๆ วันที่เห็นว่าปังจริงๆ คือวันแถลงข่าวว่านี่คือ 60 คนในการประกวด Miss Universe Thailand 2019 ตกใจมาก นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นรูปตัวเองอยู่ตรงนั้น แล้วก็เห็นป้ายไฟใหญ่ๆ เห็นแล้วจะร้องไห้ เพราะมันเป็นความฝันที่เราอยากจะมีแล้วได้มีในครั้งนี้ กลายมาเป็นพลังของเราให้เราทำให้เต็มที่แล้ว ไม่ใช่เพื่อตัวเราคนเดียว แต่เพื่อคนที่เชื่อในตัวเราด้วย
ฟ้าใสมีเรื่องน่ารักๆ จากแฟนคลับเยอะมาก แฟนๆ จะชอบเอาอาหารมาให้บ้าง ชานมไข่มุกบ้าง แต่เป็นชานมไข่มุกที่ไม่อ้วนนะคะ (หัวเราะ) สมมติแฟนคลับไปต่างประเทศ เขาก็จะพกรูปเราไปด้วยแล้วส่งมาให้เราดู แล้วบอกว่า เดินทางไปไหนก็สนุกเพราะมีฟ้าใสอยู่ด้วย แล้วครั้งนี้เป็นปีแรกเลยที่ไม่ว่าจะไปอีเว้นต์ไหน หรือไปถ่ายรายการอะไรก็จะมีกลุ่มแฟนคลับตามมาด้วย แล้วมีคนมารับที่สนามบิน ทำให้ซึ้งมากๆ ที่เขาไปให้กำลังใจเราในทุกที่
“เราไม่เคยคิดมาก่อนว่า เรื่องราวของเราจะสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นได้ด้วย จะมีคน message มาหาทาง inbox ตลอดว่า “พี่เป็นแรงบันดาลใจให้หนูพยายาม”
มีกำลังใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือ เราไม่เคยคิดมาก่อนว่า เรื่องราวของเราจะสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นได้ด้วย จะมีคน message มาหาทาง inbox ตลอดว่า “พี่เป็นแรงบันดาลใจให้หนูพยายาม” มีข้อความหนึ่งเขาบอกว่า “หนูได้ F ทุกครั้งที่หนูสอบ แล้วหนูรู้สึกท้อ ไม่อยากจะเรียน ไม่อยากจะอ่านหนังสือ แต่พอได้ยินว่าพี่เป็นคนสู้จนกว่าพี่จะประสบความสำเร็จ หนูก็เลยฮึดขึ้นมาอ่านหนังสืออีก ครั้งนี้หนูสอบได้เกรด C เกิดคาดมากๆ หนูขอบคุณพี่มากๆ นะคะ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้หนูสู้” หรือว่าในด้านของการลดน้ำหนักก็มี การที่สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้ นี่สุดยอดแล้วค่ะ
ถ้าพูดถึงนางงามที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับคุณเสมอมาคุณจะนึกถึงใคร
ฟ้าใส : คนไทยก็แน่นอนว่าต้องมีพี่ปุ๋ย-ภรณ์ทิพย์ เพราะว่าเขาเป็นคนที่เวลาพูดออกมารู้เลยว่า มาจากใจจริง และที่สำคัญหลังจากประกวดเสร็จ พี่ปุ๋ยก็ทำตามที่เขาพูดได้จริง ส่วนนางงามจักรวาลชาวต่างประเทศก็มีหลายคนเลยค่ะ มีทั้ง นาตาลี เกลโบวา, เปีย อลอนโซ วุลซ์บัค และ แคทรีโอน่า เกรย์ ทั้งหมดจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับเราตรงที่ว่าเขาเป็นคนที่พอไปไม่ถึงฝันแล้ว เขาก็พยายามจนถึงที่สุด อย่างนาตาลี จริงๆ ในปี 2004 เขามาประกวด เขาได้ Top 10 ใน Miss Universe แคนาดา พอเขากลับมาประกวดใหม่ในปี 2005 เขาก็ได้ที่หนึ่ง เปียต้องพยายามถึงสามครั้งนะคะ กว่าจะได้ตำแหน่ง Miss Universe ส่วน แคทรีโอน่า เป็นคนที่เคยได้ Miss World ของประเทศเขามาก่อน แล้วกลับมาประกวด Miss Universe ของประเทศเขาอีก มันมีความกดดันตรงที่ว่าถ้าไม่ได้ก็เหมือนเอาตำแหน่งมาทิ้ง แต่เขาไม่แคร์ แล้วสุดท้ายเขาก็ทำ ฟ้าใสก็ถือว่า เขาเป็นโรลโมเดลของเราเหมือนกัน
นอกจากนางงามแล้วคุณมีผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้คุณอีกบ้างไหม
ฟ้าใส : เอ็มมา วัตสัน เพราะเขาเป็นคนที่เห็นการเรียนสำคัญกว่าทุกสิ่ง อย่างขณะที่ถ่ายทำเรื่อง แฮรี่ พอตเตอร์ แล้วเขามีสอบ เขาก็บอกว่า ขออนุญาตอ่านหนังสือ หรือขอคิวให้ไม่ตรงกับรอบการสอบของเขา เขาไม่เพียงแต่เห็นความสำคัญเรื่องการศึกษาของตัวเองเท่านั้น แต่ทุกวันนี้เขาก็ยังซัพพอร์ตเรื่องการศึกษาของผู้อื่นด้วย อีกคนหนึ่ง คือ รีส วิเธอร์สปูน ชอบคนนี้มาก เพราะว่าเขาก็บอกว่า เขาไม่อยากจะเล่นบทที่ผู้หญิงเขามาถามผู้ชายว่า “Oh! No, what are we gonna do?” ในสถานการณ์ที่คับขัน ทำไมผู้หญิงต้องพูดแบบนี้กับผู้ชาย ได้ฟัง interview อันนี้แล้วขำมาก รีสเขาบอกว่า เวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์คับขัน เขาจะสอนลูกเสมอว่า “มีอะไรให้ไปถามผู้หญิง เพราะผู้หญิงจะรู้ว่า ควรจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร” แล้วเขาก็เลยกลายเป็นว่า เขาเบื่อกับการที่จะต้องเล่นสถานการณ์แบบนี้ เขาก็เลยมาเปิดบริษัทโปรดักชั่นที่สร้างหนังอย่าง Wonder Woman
เป็นนางงามคุยเรื่องความรักได้ไหม
ฟ้าใส : ไม่เคยมีแฟนน่ะสิคะ เลยไม่รู้จะพูดเรื่องความรักอย่างไรดี แต่ฟ้าใสยังไม่เจอคนที่ใช่ แล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องเดทคนที่เรามองว่าไม่ใช่ด้วยค่ะ ตั้งแต่เด็กแม่ก็เคยบอกว่า หนูห้ามมีแฟนจนกว่าเข้ามหาวิทยาลัยนะ พอเข้ามหาวิทยาลัยปุ๊บ แม่ก็บอกว่า มีได้แล้ว แต่ต้องอายุมากกว่าลูก ต้องเรียนเก่งกว่า และที่สำคัญต้องเรียนหมอด้วย ถ้าเกิดหนูยังไม่มีแฟนจนถึงทุกวันนี้ แสดงว่ายังไม่เจอคนที่ใช่ แล้วกลายเป็นว่า ช่วงที่มาเรียนมหาวิทยาลัยเราเริ่มมาโฟกัสเรื่องการเรียน เพราะเรามีเป้าหมายว่าอยากจะกลับมาประกวด Miss Universe Thailand และต้องเรียนให้จบเกียรตินิยมเท่านั้น ถามว่ามีเข้ามาจีบไหม ก็มีนะคะ ฟ้าใสเพิ่งเข้าใจคำว่า “จีบ” ก็ตอนที่กลับมาเมืองไทยนี่แหละค่ะ ด้วยความที่ฟ้าใสเป็นคนชอบดูละคร สามารถช่วยเหลือในความรักของเพื่อนได้ แต่ในมุมกลับกัน พอผู้ชายเข้ามาจีบเราบ้าง เรากลับไม่รู้ตัว “อ้าว! เขามาจีบเราเหรอ เพิ่งรู้ว่าเขา flirt กับเรานะเนี่ย ฟ้าใสไม่รู้เรื่องเลย เพื่อนๆ ก็ขำอยู่เหมือนกันค่ะ
คำว่า Empowering Beauty สำหรับคุณแล้ว คือ ผู้หญิงที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วพลังในตัวของคุณคือพลังอะไรกัน
ฟ้าใส : หลายๆ คนบอกว่า ฟ้าใสเป็นแรงบันดาลใจให้เขาในเรื่องความอดทน ต่อสู้ และไม่ยอมแพ้ค่ะ
ถ้าขอให้มีพลังวิเศษในตัวเองได้หนึ่งอย่างอยากมีพลังอะไร
ฟ้าใส : อยากสามารถทำให้คนเปลี่ยนมุมมองที่เศร้ากลายเป็นความสุข ไม่อยากให้ใครต้องมีความทุกข์ อยากสร้างรอยยิ้มให้คนที่กำลังเศร้าอยู่ค่ะ
แพลนหลังจากกลับมาจากเวที Miss Universe 2019
ฟ้าใส : อยากสานต่อโครงการและอยากทำงานในวงการบันเทิงด้วยค่ะ อยากทำงานเป็นคนพากย์เสียงละคร หนัง หรือไม่ก็การ์ตูน เรารู้ตัวดีว่า เราตัวสูงคงจะไม่เหมาะกับการเล่นละคร ฟ้าใสชอบเขียนบทด้วยคะ เคยเป็นไหมคะที่ดูหนังดูละครแล้วจบไม่ได้อย่างใจเรา ฟ้าใสชอบเก็บความอินตรงนั้นมาเขียนตอนจบในแบบของตัวเอง
ถ้าเปรียบชีวิตของคุณเป็นหนังสักเรื่องหนึ่งน่าจะเป็นเรื่องอะไร
ฟ้าใส : ยากจัง ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย ตอนนี้นึกถึงแต่หนังของดิสนีย์ เพราะเป็นเรื่องล่าสุดที่ดู แล้วก็ดูแต่ตอนย้อนหลังของกลิ่นกาสะลอง เลยนึกออกแต่หน้าญาญ่า (หัวเราะ) แต่จะไม่ชอบละครที่ตอนจบเศร้าอย่างเรื่องพิษสวาท ชอบละครย้อนยุคอย่าง บุพเพสันนิวาส สุดแค้นแสนรัก ปลาบู่ทอง ชอบดูละครของฝั่งเอเชียค่ะ ไทย ญี่ปุ่น เกาหลี ดูหมด