เมื่อพูดถึงดูไบ หลายคนอาจจะคิดว่า ดูไบเป็นเมืองทางผ่านที่ทุกคนต้อง transit ระหว่างเดินทางไปยุโรป ผมเองก็เคยคิดเช่นนั้นเหมือนกัน ผมรู้สึกว่า ดูไบเป็นเมืองที่มีแต่ความหรูหรา ไม่มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจเหมือนประเทศอื่นๆ ผมเลยไม่เคยนึกอยากจะมาเที่ยวดูไบเลย
แต่หลังจากที่ได้ติดอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 2 ปี เพราะโควิด-19 และได้ทราบมาว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกที่ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าออกได้อย่างอิสระในช่วงนี้ ผมเลยตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบิน ตรวจ RT-PCR test เตรียมเอกสารวัคซีน และบินตรงจากกรุงเทพสู่เมืองดูไบ เพื่อหาคำตอบว่า ดูไบมีอะไรเที่ยว และทำไมประเทศเขาถึงได้ move on จากสถานการณ์โควิด-19 ได้เร็วขนาดนี้
วันแรกในดูไบ ผมตัดสินใจไปเดินเที่ยวตลาดอาหรับ souk ในเขตเมืองเก่าของดูไบเพื่อพิสูจน์ว่า ดูไบนั้นไม่มีประวัติศาสตร์จริงอย่างที่ผมเคยคิดหรือไม่ เริ่มจากการนั่งเรือไม้ ราคา 1 เดียร์แฮม ข้ามแม่น้ำ Dubai Creek ไปยัง Al Seef และ Al Fahidi Historical Districts และเดินชมตลาดเก่าสไตล์อารบิกที่เต็มไปได้ร้านค้าขายประติมากรรม และเครื่องเทศต่างๆ เรียงรายสองข้างทาง
หลังจากเดินกินลมที่ Al Fahidi Historical District เสร็จ ผมได้เดินต่อไปยัง Museum District สถานที่ที่รวมพิพิธภัณฑ์ต่างๆไว้ในที่เดียวและเป็นการพิสูจน์ว่าดูไบนั้นมีประวัติศาสตร์น่าสนใจมากกว่าที่ใครหลายคนคิดไว้
เริ่มด้วย Al Shindagha Museum พิพิธภัณฑ์แบบ interactive ที่เล่าถึงประวัติความเป็นมาของดูไบ จากเมืองเล็กๆ ในทะเลทรายที่หากินจากการค้าขายไข่มุกจนมาเป็นเมืองมหานครน้ำมัน และแหล่งรวมนวัตกรรมและความสำเร็จระดับโลกที่ใครเห็นก็จะต้องร้อง “ว้าว!” อาทิ ตึก Burj Khalifa ที่สูงที่สุดในโลกไปจนถึงโครงการอวกาศสำรวจดาวอังคาร Hope Probe ที่ทำให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นที่ยอมรับทั่วโลก
รอบๆ Museum District มีอีกหลายพิพิธภัณฑ์ที่ไม่ควรพลาด เช่น Crossroad of Civilizations Museum, Camel Museum, Perfume Museum และ Heritage Village สำหรับใครที่ต้องการเรียนรู้ความเป็นมาของคนที่นี่ ความสำคัญของศาสนา การเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดดของดูไบ และอื่นๆอีกมากมาย ก็สามารถมาเข้าชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้เลย
หลังจากที่ผมไปเที่ยวตลาดอาหรับ souk มาเเล้วนั้น ในวันที่สอง ผมตัดสินใจไป Burj Khalifa ซึ่งยังคงแชมป์อันดับหนึ่งตึกที่สูงที่สุดในโลกและถือได้ว่า เป็นสถาปัตยกรรมแลนด์มาร์คของประเทศเลยก็ว่าได้ คุณสามารถขึ้นไปถึงชั้น 148 และชมวิวรอบเมืองที่จุดชมวิวสูงถึง 555 เมตร และต่อด้วยเดินช้อปปิ้งแบรนด์ดังๆที่ Dubai Mall ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ขาช้อปฯ ต้องห้ามพลาด และจบวันที่สองด้วยกาน (การ) ชมการแสดงน้ำพุสุดอลังการที่ The Dubai Fountain ตอนพระอาทิตย์ตกดิน
วันที่สาม ผมตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อที่จะเดินทางไป The View at the Palm หอคอยชมวิวสูงที่สามารถมองเห็นความอลังการของเกาะ The Palm จากด้านบนได้ ต่อด้วยสวนน้ำที่โรงแรม Atlantis เพื่อดับร้อนและลงไปดูพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ The Lost Chambers ก่อนที่จะมาชมพระอาทิตย์ตกดินที่ The Pointe และชมการแสดงน้ำพุที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ The Palm Fountain เป็นอันจบอีกวันที่เต็มไปด้วยกิจกรรมสนุกๆเยอะแยะมากมายในดูไบ
หลังจากสามวันที่เต็มไปด้วยกิจกรรมชมความอลังการของสถาปัตยกรรมเเลนด์มาร์คแล้วนั้น วันที่สี่เลยขอเป็นวันชิลล์ๆ กันบ้าง เริ่มที่ Kite Beach ชายหาดขาวที่เหมาะแก่การเล่นน้ำและทำกิจกรรมชายหาด เป็นที่ที่ดีถ้าคุณอยาก take it slow ต่อด้วยการไปเดินตากแอร์ที่ Souk Madinat ตลาดพื้นเมืองที่มีความ modern ไม่เหมือนใครและ จบด้วยการทานอาหารเย็นริมชายหาดระหว่างดูพระอาทิตย์ตกที่รัาน Shimmer และดื่มด่ำกับวิวตึกเรือใบ หรือ Burj Al Arab อีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญของดูไบ
ในวันที่ 5 เราก็ต่อด้วยการไปเยือนงาน Expo ซึ่งเป็นงานระดับโลกที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1851 เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้า ความร่วมมือ และแบ่งปันนวัตกรรมต่างๆระหว่างประเทศ และ ปีนี้ ดูไบได้ถูกเลือกเป็นเมืองเจ้าภาพจัดงาน Expo 2020 Dubai ซึ่งได้เชิญมามากกว่า 192 ประเทศทั่วโลกเพื่อเข้าร่วมแบ่งปันนวัตกรรมกันและหนึ่งในประเทศที่เข้าร่วมคือประเทศไทยนั้นเอง เพราะฉะนั้น ถ้าจะมาดูไบปีนี้ ต้องมาให้ถึงงาน Expo 2020 Dubai
ในงานนี้ดูไบ และหลายๆ ประเทศได้ถือโอกาสเปิดตัวสถาปัตยกรรมสวยงามมากมาย เช่น Al Wasl Plaza สถาปัตยกรรม unsupported dome ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สถาปัตยกรรมที่เน้นด้าน sustainability ของ Singapore เต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิด และ สถาปัตยกรรมอนาคตของ UK ที่ออกแบบมาให้มีรูปลักษณ์คล้ายสาย optical fiber และใช้ระบบ artificial intelligence ในการแสดง
แต่ในเมื่อผมเป็นคนไทย ผมก็ต้องไปเยี่ยมชมซุ้ม Thailand ก่อนกลับ ซึ่งเป็นซุ้มที่เน้นด้านการเชื่อมเทคโนโลยีใหม่ๆกับศิลปะพื้นเมือง โดยมีการแสดงเต้นพื้นเมืองต่างๆ ที่ผสมผสานความเป็นไทยกับแสงสีเสียงของตะวันตกที่ดึงดูดความสนใจและเรียกเสียงคนดูได้ไม่น้อย
และแล้วทริป 5 วันที่ดูไบของผมก็ได้สิ้นสุดลง จากการที่ได้เที่ยวดูไบมา 5 วัน สิ่งที่ผมประทับใจที่สุดเกี่ยวกับดูไบคือ ตั้งแต่โลกประสบกับปัญหาโควิด-19 ดูไบและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นประเทศไม่กี่ประเทศที่ไม่เคยต้องล็อกดาวน์ และกำหนดเคอร์ฟิว เพียงแค่ช่วงระยะเวลาแรกๆเท่านั้นและสามารถจัดการปัญหา บริหารคน บริหารประเทศ ดูแลประชากรได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว จนกระทั่ง ณ วันนี้ คนที่นี่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระเหมือนโควิด-19 ไม่มีอยู่ในโลก ผมได้เห็นรถสาธารณะต่างๆทำงานเต็มประสิทธิภาพโดยไม่ต้องเว้นว่างเหมือนที่อื่น ผมเห็นโรงเรียน สถานที่ราชการ สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้าเปิดตามปกติ ผมเห็นงาน Expo 2020 Dubai ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมานับพันคนต่อวัน ผมเห็นเคสโควิด-19 รายวันที่นี้ลดลงไม่ถึง 200 คนต่อวัน
และมันทำให้ผมมานั่งคิด ประเทศเล็กๆอย่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ยังสามารถเป็นผู้นำระดับโลกได้ขนาดนี้ ทั้ง สถาปัตยกรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกต่างๆที่เราได้ดูกันมา ไปจนถึงการเป็นผู้นำด้านการเปิดประเทศและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโควิด-19 มันทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าประเทศไทยเริ่มยอมรับสถานการณ์โควิดฯและใช้ชีวิตอยู่กับมันเร็วกว่านี้เหมือนที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ทำ ธุรกิจประเทศเราตอนนี้จะฟื้นตัวเร็วขนาดไหน
หลังจากที่ไม่ได้เที่ยวมานาน 2 ปี บทเรียนที่ผมได้มาจากทริปนี้ยังคงเหมือนเดิมและยังเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมยังเดินทางอยู่ทุกวันนี้แม้ว่าโลกจะประสบปัญหาโควิด-19 เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรขยายมุมมองและวิสัยทัศน์ของคนได้มากกว่าการท่องเที่ยวอีกแล้ว
ติดตามบทความฉบับเต็มได้ในนิตยสารลิปส์ฉบับตุลาคม 2564
Text & Photography : Peachanan R