สำหรับใครที่กำลังต้องการเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ การเดินทางท่องเที่ยวนั้นถือว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการเปิดโลกทัศน์ของเราให้กว้างขึ้น เพราะการเดินทางนั้นจะนำพาเราไปพบเจอสถานที่ เหตุการณ์ และผู้คนที่จะมาช่วยเติมพลังในตัวคุณ อีกทั้งยังสามารถให้ความรู้รวมถึงจัดระเบียบความคิดของเราได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หลาย ๆ คนจึงตัดสินใจเก็บกระเป๋าและออกเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก เห็นได้จากในช่วงหลาย ๆ ปีที่ผ่านมานี้เราจะพบกับ Travel Influencer ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในโลกออนไลน์ไม่แพ้ Beauty Influencer เลย
เราเชื่อว่าตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 หลายคนจะต้องพับโปรแกรมท่องเที่ยวของตัวเองเอาไว้ ซึ่งถ้านับระยะเวลาที่เกิดการระบาดใหญ่ในบ้านเราช่วงต้นปี 2020 ก็เป็นเวลาร่วม 2 ปีแล้วที่หลาย ๆ คนไม่ได้เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งตั้งแต่ช่วงกลางปีที่แล้วหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกเริ่มเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวได้เดินทางเข้าไปท่องเที่ยวในประเทศของพวกเขาอีกครั้ง
และในตอนนี้ที่หลาย ๆ ประเทศเริ่มปรับมาตรการและประกาศว่าโรคโควิด-19 นั้นเป็น ‘โรคประจำถิ่น’ ไม่ใช่ ‘โรคอุบัติใหม่’ คล้ายกับโรคอุบัติใหม่ในอดีตอย่าง โรคไข้เลือดออก และโรคไข้หวัดใหญ่ที่เคยระบาดเมื่อช่วงร้อยปีที่แล้วจนปัจจุบันได้กลายเป็นโรคที่เราคุ้นหูเป็นอย่างดี จึงเป็นช่วงเวลาพอเหมาะที่เราจะรื้อฟื้นโปรแกรมท่องเที่ยวที่เราวางแผนเอาไว้กลับมาอีกครั้ง
แต่หากคุณเห็นลิสต์สถานที่ท่องเที่ยวที่เรารวบรวมไว้ที่มีชื่อว่า ‘Amazing Monochromatic Place’ หรือสถานที่ท่องเที่ยวโทนสีเดียวสุดอัศจรรย์ เราเชื่อว่าคุณจะต้องเปลี่ยนโปรแกรมท่องเที่ยวของคุณแล้วแหละ เพราะว่าบนโลกของเรานั้นมีสถานที่สุดมหัศจรรย์ที่มีสีเดียวอยู่เยอะมาก และเรียกว่ามีหลากเฉดสีเลย ซึ่งสถานที่เหล่านั้นเป็นผลงานการสร้างสรรค์ของธรรมชาติ วันนี้เราเลยรวมรวมสถานที่ท่องเที่ยวสุดปังเหล่านี้โดยแบ่งเป็นสีต่าง ๆ ไว้สำหรับเป็นจุดหมายต่อไปของคุณในการเดินทางครั้งหน้า จะมีที่ไหนบ้างไปดูกัน!
White Monochromatic Place
เริ่มกันด้วยสีแรกอย่างสีขาวที่สื่อถึงความบริสุทธิ์ซึ่งล้อไปกับสถานที่สีขาวล้วนที่เกิดขึ้นจากฝีมือของธรรมชาติปราศจากการเจือปนของฝีมือของมนุษย์ สถานที่แรกอย่าง ‘Salar de Uyuni’ หรือทะเลเกลือขนาดใหญ่ในประเทศโบลิเวีย สถานที่แห่งนี้คือทะเลเกลือที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเมื่อฝนตกน้ำที่ขังอยู่จะสะท้อนท้องฟ้าราวกับว่าเราอยู่บนกระจกขนาดใหญ่เป็นอีกจุดมุ่งหมายของนักเดินทางทั่วโลก
สถานที่ที่สอง ‘Cave of the Crystals’ อยู่ในเมืองไนก้า รัฐชิวาวา ประเทศเม็กซิโกเป็นถ้ำคริสตัลขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในถ้ำที่สวยที่สุดในโลกอยู่ลึกลงไปใต้พื้นดิน 300 เมตร ซึ่งบรรยากาศสีขาวที่ตัดกับความมืดนั้นคือแย่ริปซัม (Gypsum) ที่เรียงตัวราวกับว่าเราอยู่ในดินแดนนอกโลกมนุษย์ เรียกว่าใครมีโอกาสแวะไปอเมริกากลางควรไปที่นี่มาก ๆ
สถานที่ต่อมายังคงอยู่ในทวีปอเมริกาใต้อย่าง ‘Los Glaciares National Park’ หรืออุทยานแห่งชาติลอส กราเซียเรส ประเทศอาเจนติน่า ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่สีขาวเหมือนก้อนเมฆที่อยู่บนพื้นดิน อุทยานแห่งชาติแห่งนี้ถือเป็นอุทยานที่ใหญ่ที่สุดในอาร์เจนตินาและเป็นธารน้ำแข็งที่เหล่านักท่องเที่ยวอยากไปชมมากที่สุด เพราะเดินทางง่ายกว่าไปขั้วโลกมากเรียกว่าถ้าได้ไปสักครั้งฟินมาก ๆ
สถานที่สุดท้ายขยับมาที่ทวีปแอฟริกาอย่าง ‘White Sand Dunes’ เนินทรายสีขาวในประเทศเยเมน ห่างออกไปจากพื้นดินบนเกาะ Socotra เราจะพบทรายสีขาวที่สวยเหนือจริงราวกับว่าเราเดินอยู่บนแป้งฝุ่นเลย
Orange Monochromatic Place
สถานที่แรกในสถานที่ท่องเที่ยวโทนสีส้มขอเริ่มที่ ‘Deadvlei’ ณ ประเทศนามิเบีย เป็นทะเลทรายทรายที่โอบล้อมบึงที่แห้งแล้ว ซึ่งภายในบึงอันแห้งแตกนั้นมีต้นคาเมลธอร์นอายุเกือบพันปีที่ตายแล้วตั้งตระหง่านอยู่เรียกว่าเป็นทัศนียภาพที่สวยและหาที่ไหนไม่ได้แล้วบนโลกนี้จนมันกลายเป็น 1 ในสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่สวยอันดับต้น ๆ ของโลก
ในคาบเรียนภูมิศาสตร์สมัยมัธยมเราคงเคยได้ยินชื่อ ‘Grand Canyon’ แลนด์มาร์คสำคัญของโลกใบนี้ตั้งอยู่ที่รัฐแอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา สถานที่แห่งนี้คือหน้าผาและหุบเหวสีส้มที่มีความยาว 450 อดีตที่แห่งนี้เคยเป็นแม่น้ำที่ขนาบด้วยหน้าผาขนาดใหญ่ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นเพียงลำธารเล็ก ๆ ไหลโชว์ความงามของหน้าผาสีส้มสุดอัศจรรย์จากการเปลี่ยนแปลงของโลก ถ้าใครได้ไปฝั่งตะวันตกของอเมริกาต้องไปนะ ซึ่งในรัฐแอริโซนายังมี Canyon อีกหลายแห่งมากแต่ที่ดังไม่แพ้กันก็คือ ‘Antelope Canyon’ สถานที่เช็คอินสุดฮิตของนักท่องเที่ยวสายถ่ายรูป
สถานที่ต่อมายังคงอยู่ในสหรัฐอเมริกาอย่าง ‘Grand Prismatic Spring’ บ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ อยู่ในอุทยานแห่ง Yellowstone มีอีกชื่อหนึ่งก็คือบ่อน้ำพุงร้อนสีรุ้งเพราะมันมีสีหลากหลายมาก ๆ ไล่ตั้งแต่ฟ้า เขียว เหลือง ส้ม แต่ที่เราเอามาอยู่ในหมวดนี้เพราะว่ารอบนอกของบ่อเป็นสีส้มที่สวยมาก เรียกว่าธรรมชาติสรรค์สร้างสุด ๆ สีส้มของมันเหมือนกับลาวาที่กลืนกินพื้นดินบริเวณนั้นอย่างในภาพถ่ายที่เรานำมาให้ชม
สุดท้ายในหมวดสีส้มเราขอยกให้เมือง ‘Ait Benhaddou’ ณ ประเทศโมร็อกโก สถานที่แห่งนี้ถูกยกให้เป็นเมืองมรดกโลกในเขตทะเลทรายซาฮาราของโมร็อกโกเลย เมืองแห่งนี้เคยเป็นเมืองป้อมปราการโบราณที่อยู่ริมแม่น้ำ Ounila ที่เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องมาที่บรรดาอาคารต่างๆ ของเมืองจะทำให้เมืองนี้กลายเป็นสีส้มที่สวยมากๆ จนกลายเป็นโลเคชั่นถ่ายทำหนังหลายๆ เรื่อง เช่น The Mummy
Green Monochromatic Place
หากพูดถึงสถานที่สีเขียวเราก็คงนึกถึงบรรดาป่าต่างๆ แต่ที่เราเลือกมาให้ทุกคนชมไม่ใช่ป่าธรรมดาที่เราไปขึ้นเขาแล้วเห็นนะ สถานที่แรกเราขอมอบมงให้ ‘Arashiyama Bamboo Groves’ หรือสวนป่าไผ่อาราชิยาม่าแห่งกรุงเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น เพราะป่าไผ่ที่ดูเหมือนจะธรรมดาที่ไม่ธรรมดานี้จะมีเส้นทางเดินเล็ก ๆ ที่รายล้อมไปด้วยไผ่สุดลูกหูลูกตาเรียกว่าเหมาะกับการถ่ายรูปสุด ๆ และให้ฟีลเหมือนอยู่ในหนังซามูไรเลยแหละ
สถานที่สีเขียวต่อมาก็ต้อง ‘Northern Lights’ หรือแสงเหนือปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เรามักพบได้แถบประเทศที่ติดกับขั้วโลกเหนือ เช่น ฟินแลนด์ นอร์เวย์ รัสเซีย รวมถึงรัฐอะแลสกา ประเทศสหรัฐ บอกเลยว่าใครที่ชอบท่องเที่ยวสายธรรมชาติสวย ๆ ต้องไปล่าแสงเหนือสักครั้งนะ
ส่วนที่สุดท้ายไม่ไกลจากบ้านเราเท่าไหร่อย่าง ‘Paddy Fields’ หรือนาขั้นบันไดที่ประเทศเวียดนามซึ่งกระจายอยู่ในหลายเมืองทางตอนเหนือของเวียดนาม เช่น ซาปา และมู่กางจ๋าย ทิวทัศน์สีเขียวอันสุดลูกหูลูกตาพร้อมรูปทรงที่เป็นขั้นบันไดตามชื่อ สถานที่นี้เหมาะมากสำหรับการเที่ยวในหน้าฝนเพราะมันจะเขียวชอุ่มเติมพลังให้กับเราได้เป็นอย่างดี
Blue Monochromatic Place
ขยับมากันต่อที่สีฟ้าตัวแทนแห่งผืนน้ำต่าง ๆ สถานที่แรกเป็นบ่อน้ำร้อนสีฟ้าในประเทศไอซ์แลนด์อย่าง ‘Blue Lagoon’ ทะเลสาบสีฟ้าซึ่งเป็นที่ท่องเที่ยวชื่อดังของไอซ์แลนด์ น้ำสีฟ้าอุดมไปด้วยแร่ธาตุนานาชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เรียกว่านอกจากสุขตาแล้วยังสุขภาพดีอีกด้วย
สถานที่ต่อมายังคงอยู่บนผืนน้ำแต่อยู่ในมหาสมุทรอย่าง ‘Great Blue Hole’ หรือหลุมยักษ์สีน้ำเงินครามในประเทศเบลิซ ทวีปอเมริกากลาง หลุมแห่งนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 300 เมตร ลึก 125 เมตรเรียกว่าใหญ่และลึกมาก ๆ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติใต้ทะเลเลยทำให้เรามีสถานที่ท่องเที่ยวสุดมหัศจรรย์อีกที่หนึ่ง แต่ในความงามนั้นก็แฝงไปด้วยความน่ากลัวเพราะว่ามันลึกมาก อาจจะเกิดอันตรายต่อนักท่องเที่ยวที่มาดำน้ำบริเวณนี้ได้
ขอขยับจากผืนน้ำมาสู่ผืนดินบ้างอย่าง ‘Glowworm Caves’ หรือถ้ำหนอนเรืองแสงที่ประเทศนิวซีแลนด์ ถ้ำสุดมหัศจรรย์แห่งนี้ถือเป็นถ้ำที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยเพราะว่ามันมีหนอนเรืองแสงอยู่ภายในถ้ำ ทำให้เมื่อเราเข้าไปในถ้ำแห่งนี้เราก็จะเห็นหนอนเหล่านั้นเรืองแสงเป็นสีฟ้า ราวกับว่ามีดวงดาวนับล้านอยู่ภายในถ้ำแห่งนี้นั่นเอง
ที่สุดท้ายไม่ใช่สถานที่ที่เกิดจากธรรมชาติแต่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์อย่างเมือง ‘Jodhpur’ เมืองสีฟ้าแห่งประเทศอินเดีย เมืองนี้เป็นเมืองโบราณที่ถูกทาด้วยสีฟ้าครามเป็นจุดมุ่งหมายอีกหนึ่งจุดที่คนมาอินเดียต้องแวะมา เรียกว่านอกจากลุ่มรวยไปด้วยวัฒนธรรมและวิถีชีวิตแล้วเมืองนี้มีทัศนียภาพที่สวยมาก ๆ เหมือนเราอยู่ในโลกการ์ตูนเลย
Pink or Purple Monochromatic Place
สำหรับสถานที่สีชมพูหรือสีม่วงเราขอยกให้ ‘Lavender Fields’ หรือทุ่งลาเวนเดอร์ที่เมือง Provence ประเทศฝรั่งเศสสำหรับสายแฟที่นี่คงจะคุ้นตากันดีเพราะ Jacquemus แบรนด์แฟชั่นชื่อดังเคยมาจัดแฟชั่นโชว์ที่ทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงนี้แล้วในคอลเลคชั่น Spring/Summer 2020 ใครจะรู้ว่าลาเวนเดอร์ที่ปลูกเรียงรายเพื่อการเกษตรได้กลายเป็นจุดหมายของนักเดินทางทั่วโลกรวมถึงแฟชั่นดีไซเนอร์คนนี้อีกด้วย
สถานที่ต่อมายังคงอยู่กับพืชพันธุ์ต่าง ๆ เราอย่าง ‘Hitachi Seaside Park’ ที่เมืองฮิตาชินากะ จังหวัดอิบะระกิ ประเทศญี่ปุ่น สวนแห่งนี้มีดอกไม้นานาชนิดอยู่ทั่วพื้นที่แต่ในช่วงเดือนตุลาคมพุ่มต้นโคเชียประมาณ 30,000 ต้นจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงอมแดงทำให้กลายเป็นทิวทัศน์สีม่วงขนาดใหญ่เหมาะกับการถ่ายรูปและไปเดินเล่นชมพืชพันธุ์มากๆ
ส่วนสถานที่อีก 3 แห่งถัดมาเราขอรวบให้อยู่ย่อหน้าเดียวอย่าง ‘Lake Natron’ ทะเลสาบเกลือแห่งประเทศแทนซาเนีย ‘Lake Eyre’ ทะเลสาบเกลือแห่งประเทศออสเตรเลียและสุดท้าย ‘Laguna Salada de Torrevieja’ ทะเลสาบเกลือแห่งประเทศสเปน ซึ่งทั้งสามเป็นทะเลสาบเกลือที่มีน้ำโทนสีแดงสีชมพูคล้ายๆ กันหมดแต่เราว่าถ้าใครสนใจลองเลือกไปสักที่ก็ได้นะ (เราว่าที่สุดท้ายสวยสุด)
Grey Monochromatic Place
เราขอจบไปด้วยสีเทาสีแห่งความลึกลับสถานที่แห่งเดียวของสีนี้ก็คือ ‘Giant’s Causeway’ หรือทางเดินยักษ์แห่งประเทศไอร์แลนด์เหนือ สถานที่แห่งนี้เกิดขึ้นจากกลุ่มแท่งเสาหินหกเหลี่ยมที่เรียงตัวกันราวกับมีสถาปนิกระดับโลกเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบแต่ความจริงแล้วเกิดจากฝีมือของธรรมชาติ ซึ่งเสาหินหกเหลี่ยมคือหินบะซอลต์ที่เกิดจากการแข็งตัวของลาวาเมื่อหลายหมื่นปีที่แล้ว เหมาะมากสำหรับสายท่องเที่ยวที่อยากเห็นสิ่งที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้นมา