ทุกครั้งที่เห็นข่าวจบการศึกษาของสมาชิก BNK48 ยอมรับว่าชื่อที่ลุ้นที่สุดก็เห็นจะเป็น เฌอปราง อารีย์กุล ยิ่งปลายปีที่แล้วได้จังหวะสัญญาเก่าใกล้สิ้นสุดลง ทางนี้จึงรอฟังด้วยใจจดจ่อ รอจนกระทั่งเริ่มศักราชใหม่ ‘แคปเฌอ’ ก็กลับมาพร้อมกับข่าวดีที่ไม่ใช่แค่การต่อสัญญา แต่ยังเซอร์ไพรส์ของพวกเราด้วยตำแหน่งและบทบาทใหม่ๆ
จาก ‘แคปเฌอ’ เธอก้าวมาเป็น ‘ผู้จัดการวง’ คนใหม่ป้ายแดง การเจอกันครั้งนี้ของเรากับเฌอจึงเจอเรื่องราวใหม่ๆให้อัพเดทอยู่ไม่น้อย ทั้งการเป็นคนเบื้องหลังอย่างเต็มตัว การตั้งคำถามและหาคำตอบให้ชีวิต ไปจนถึงบทบาทใหม่ใน บุษบาลุยไฟ ละครย้อนยุคฟอร์มยักษ์แห่งปี ที่เราจะได้เห็น ‘แม่หญิงเฌอ’ ในชุดนุ่งโจงห่มสไบเป็นครั้งแรก เฌอปรางที่เราเจอในวันนี้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ภาวะผู้นำในตัวเธอยังคงฉายชัดเช่นเดิม เพิ่มเติมคือต่อไปเราจะเรียกเธอว่า ‘แมเนเฌอ’ แล้วละ
LIPS: การรับตำแหน่งบริหารตั้งแต่อายุน้อย สิ่งนี้คือของขวัญปีใหม่ ไฟต์บังคับ หรือหน้าที่อันหนักอึ้ง
เฌอปราง: “สิ่งนี้คือสิ่งที่เฌอตัดสินใจเลือกเองค่ะ ถ้าเราเคารพในสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจแล้วก็ต้องลุย! จริงๆ ค่ายเคยเสนอโอกาสนี้ให้สักพัก ตั้งแต่ 2-3 ปีก่อนโควิด แต่ตอนนั้นเฌอรู้สึกตัวเองยังไม่แข็งแรงพอ แต่ตอนนี้พร้อมแล้ว ผ่านประสบการณ์มา 5-6 ปี รู้ทุกอย่างตั้งแต่ก่อนจะมีห้องซ้อม เป็นคนหนึ่งในบริษัทที่อายุการทำงานมากที่สุด ครั้งนี้จึงเสนอเรื่องขึ้นไปเองค่ะ (เป็นการต่อสัญญา?) ใช่ค่ะ ได้คุยข้อตกลงกันใหม่ มีเลขาเข้ามาเติม ซึ่งเป็นเพื่อนเฌอเอง นางบ่นเฌอมาตลอด เลยบอกว่างั้นมาช่วยฉันแล้วกัน”
LIPS: เหตุผลของการรับหน้าที่เป็นผู้จัดการวงคืออะไร โอกาสนี้สำคัญกับเฌออย่างไร
เฌอปราง: “มีอยู่หลายข้อค่ะ แต่อย่างน้อยต้องตอบโจทย์ตัวเอง ตอบโจทย์ค่าย แล้วก็ตอบโจทย์เมมเบอร์ ส่วนเหตุผลข้อใหญ่คือ เฌออยากพัฒนาตัวเองในสายแมเนจเมนต์ อยากเรียนต่อ MBA และอาจจะเบนเข็มเป็นโปรเจกต์แมเนเจอร์ โอกาสครั้งนี้จึงสำคัญกับเฌอมาก ด้วยความที่สงสัยว่าฉันถนัดในการบริหารจัดการจริงหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่ฉันทำได้ดีใช่ไหม สงสัยอะไรเราก็ต้องหาคำตอบตามสไตล์เด็กวิทย์
“การเป็นเมมเบอร์มานาน ทำให้เฌอเข้าใจทั้งฝั่งเมมเบอร์และฝั่งผู้ใหญ่ ถือเป็นสกิลเซตที่ถ้าเอาไปใช้ในงานอื่นก็อาจไม่เป็นประโยชน์ขนาดนั้น เหตุผลอีกอย่างคือยังเป็นห่วงวงค่ะ กลัวน้องๆ เคว้ง คิดว่าควรอยู่ช่วยเจนใหม่ๆ อีกสักนิด วางระบบดีๆ เพื่อการส่งต่อ นอกจากนี้คือไม่อยาก ‘รู้งี้’ ค่ะ ไม่อยากเสียดายว่าตอนนั้นฉันน่าจะลองนะ สุดท้ายคือ เฌอยังเอ็นจอยกับงานตรงนี้อยู่ ร่างกายยังไหว แล้วน้องๆ ก็น่ารักกับเฌอ ดีใจที่จู่ๆ เขาเดินมาขอบคุณ รู้สึกดีนะคะที่ยังเห็นคุณค่ากัน ถือว่าตัดสินใจถูกแล้วล่ะ”
LIPS: บทบาทของการเป็นผู้จัดการวงแตกต่างหรือได้ต่อยอดจากเป็นกัปตันวงอย่างไร
เฌอปราง: “ตอนเป็นกัปตันก็คอยประสานกับน้องๆ ในบางเรื่องอยู่แล้วค่ะ แต่เป็นลักษณะของการฝากเรื่องไปยังผู้ใหญ่ พอเข้ามาเป็นผู้จัดการวง เราได้คุยเอง ได้รายงานเอง ได้ติดตามงานกับคนที่เกี่ยวข้องโดยตรง แล้วก็มีอำนาจในการตัดสินใจหลายอย่างมากขึ้น เช่น กำหนดคนที่จะออกงาน ให้ความเห็นกับผู้ใหญ่ นำเสนอโปรเจกต์ ดูแลค่าใช้จ่าย แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าต่างๆ ที่สำคัญคือดูแลเมมเบอร์ ช่วยเป็นที่ปรึกษาให้น้องๆ ตอนนี้มานั่งนึกๆ ดู เราก็ทำหน้าที่แบบนี้มาตั้งแต่เด็ก เป็นหัวหน้าห้อง เป็นเลขารุ่น เป็นคณะกรรมการรุ่น การจัดการกับสิ่งต่างๆ ให้ลงตัวจึงน่าจะเป็นความถนัดโดยธรรมชาติของเฌอ ไม่ใช่แค่คนนะคะ แต่รวมถึงข้าวของของด้วย ชอบนั่งเรียงสี จัดหมวดหมู่ พับกระดาษให้สวยนิดนึง (หัวเราะ)”
LIPS: วางแผนอย่างไรกับการที่เป็นทั้งคนเบื้องหน้าและคนเบื้องหลังในเวลาเดียวกัน
เฌอปราง: “ตอนนี้น่าจะเบนน้ำหนักมาที่การเป็นผู้จัดการค่ะ เพราะงานเดี่ยวของเฌอก็ค่อนข้างหนัก อาจมีเวลาไม่มากสำหรับการซ้อมเพื่อออกงานในฐานะเมมเบอร์ แต่ด้วยความที่เป็นเพอร์เฟกชั่นนิสต์ ก็พยายามจะทำทั้งสองส่วนให้ดีที่สุด ต้องวางแผนให้น้องๆ ในบางอย่างด้วยว่าต้องทำอะไร เมื่อไร เวลาเลิกงานในแต่ละวัน เฌอจะอัปเดตเดดไลน์เป็นช่วงๆ เป็นคนแพลนเยอะ สบายใจที่ได้เห็นภาพรวม เห็นตารางงาน เห็นเวลาว่างของตัวเอง แต่ว่าเปลี่ยนแปลงได้ตลอดค่ะ เป็นคนปรับตัวง่ายมาก”
LIPS: ปัจจุบัน BNK48 มีสมาชิกที่ถึง 45 คน สิ่งนี้ท้าทายความสามารถในการบริหารอย่างไร และการเป็นครอบครัวใหญ่มีข้อดีอะไรบ้าง
เฌอปราง: “เท่ากับห้องเรียนหนึ่งห้องเลยค่ะ มีลำบากช่วงแรกๆ ค่ะว่าควรจะสื่อสารยังไง เพราะช่วงอายุห่างกันมาก ตั้งแต่ 13 – 25 ปี คือ ม.1 ไปจนถึงมหาวิทยาลัย ตอนหลังเลยแบ่งเป็นทีม บางเรื่องให้เพื่อนคุยกันเอง บางเรื่องกัปตันเป็นคนคุย เรื่องไหนคุยไม่ได้หรือเป็นภาพรวมก็จะเป็นเฌอ ถือว่าได้ฝึกน้องๆ ที่ขึ้นเป็นกัปตันด้วยค่ะ เขาก็เริ่มเข้าใจแล้วว่ามันมีเรื่องเยอะกว่าที่คิดในการบริหารให้ทุกคนโอเคที่สุด ข้อดีของทีมใหญ่คือแต่ละคนมีจุดเด่นจุดด้อยแตกต่างกัน แต่หักกลบกันได้พอดี ทำให้ภาพรวมของโชว์ดูสวยขึ้น ความยากของ BNK48 คือเหมือนเป็น on – the – job training ต้องยอมรับว่าไม่ได้มีสกิลเซตเหล่านี้ตั้งแต่แรก มันคือการเทรนตัวเอง ให้คนเห็นว่าเรามีจุดเริ่มต้นแบบนี้ และเราจะพยายามทำให้ดีขึ้น
LIPS: เสน่ห์ของ BNK48 แต่ละรุ่นในมุมมองของเฌอ และเรื่องเล่าในการร่วมตัดสายสะดือรุ่น 4
เฌอปราง: “รุ่น 4 (11 คน) คือความวุ่นวายแสบสันค่ะ น้องๆ เป็นเอเนอร์จี้ที่ดี เป็นความสดใหม่ที่บางทีเราเหนื่อยก็ได้น้องๆ มาเติมให้สดชื่น รุ่น 4 กล้าคิดกล้าทำแล้วก็ทำเต็มที่ รุ่น 3 (17 คน) คือลูกกระต่าย เป็นเด็กขี้เกรงใจ กลัวรุ่นพี่มากกว่าน้องรุ่น 4 อีก แต่ถือเป็นรุ่นที่พึ่งพาได้มาก เป็นกำลังหลักของพวกเราในตอนนี้ รุ่น 2 (14 คน) คืออาเจ้ที่ร่วมบุกเบิกและลุยงานมากับรุ่น 1 แต่ละคนมีคาแรกเตอร์ชัด ความรับผิดชอบสูง ไม่ต้องห่วงเลย รุ่น 1 (3 คน) คือผู้อาวุโสที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน ในยุคที่งานชุกสุดๆ
“เฌอได้เข้าไปอยู่ในกระบวนการสุดท้ายของการเลือกเมมเบอร์รุ่น 4 ค่ะ ร่วมกับทางญี่ปุ่นและทีมงาน ได้เห็นมาตั้งแต่เวิร์กช็อป อย่างแอลนี่ตลก อยู่ๆ ก็ Twerk ขึ้นมา ซินดี้พูดภาษาจีนได้ เอ็มมี่ร้องเพลงเก่งมาก แจมรี่แพลนตัวเองว่าจะเป็นรุ่น 4 ตั้งแต่ยังไม่เข้าวง มิชาเป็นแนวเท่ปนตลก ฯลฯ ตอนนี้น้องๆ มีซิงเกิ้ล วันใหม่ เป็นเพลงประจำรุ่น เจองานหนักที่ทั้งต้องเดบิวต์ แล้วก็ต้องขึ้นคอนเสิร์ตกับรุ่นพี่ AKB48 และ BNK48 เฌอเป็นคนลิสต์เพลงให้ แต่ก็พยายามจัดตารางซ้อมให้น้องได้มีเวลาพักบ้างค่ะ”
LIPS: เป้าหมายส่วนตัวต่อการทำงานให้วง BNK48 คืออะไร
เฌอปราง: “การส่งต่อระบบไปจนถึงวันที่น้องแข็งแรงค่ะ (วัดจากอะไร) วัดจากกัปตันและน้องๆ ที่มีหน้าที่ดูแลเมมเบอร์ก็ได้ค่ะ ตอนนี้ยังเป็นการโยนโจทย์หรือมอบหมายจากเฌอและผู้ใหญ่เสียมากกว่า ทีนี้ก็รอดูว่าถ้าเขาสามารถตั้งโจทย์และรันสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำได้ แค่นี้เฌอก็สบายใจแล้ว ปกติน้องๆ เขากล้าพูด กล้าเสนอ แต่ยังไม่ค่อยกล้าลงมือทำ ถ้าเมื่อไรที่เขาคุยกับผู้ใหญ่ได้อย่างมั่นใจว่า ‘อันนี้แหละพี่’ เฌอจะสบายใจ และเคารพกับสิ่งที่เขาจะทำ
LIPS: การประเดิมละครยาวแนวพีเรียดสุดละเมียดอย่าง ‘บุษบาลุยไฟ’ โดยผู้กำกับอย่าง พ่ออี๊ด สุประวัติ ประพันธ์บทโดย ปราณประมูล สิ่งที่ง่ายที่สุดและยากที่สุดคืออะไร
เฌอปราง: “เอ…มีไหมนะความง่าย (หัวเราะ) ความน่ารักของทีมงานเป็นสิ่งที่ช่วยให้การทำงานง่ายที่สุดเลยค่ะ เป็นกองที่เฌอเฮฮามาก ตัวละครใกล้เคียงเฌอในบางพาร์ท เช่น ตอนทำตัว alert ดี๊ด๊าเป็นเด็กอายุ 16 สนุกมากๆ เลยค่ะ แต่การเล่นเป็นตัวละครในหลายช่วงวัยก็ถือเป็นความท้าทายครั้งสำคัญของเฌอเหมือนกัน ส่วนที่ยากที่สุดน่าจะเป็นบท ภาษา แล้วก็การพูดช้าๆ ค่ะ เฌอติดพูดเร็ว แต่ ลำจวน (นางเอก) เป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน เฌอต้องท่องจำกลอนแบบใส่ทำนองเข้าไป มีการใช้ภาษาโบราณ มีการต้องประชันกัน บางฉากบทยาวมากถึง 4 – 5 หน้าเลยค่ะ”
LIPS: มุมมองใหม่ๆ ที่ได้จากการเล่นละครย้อนยุคกลับไปในสมัย ร. 3 – 4 มีอะไรบ้าง
เฌอปราง: “ได้เห็นว่าภาษามีวิวัฒนาการ มีการเปลี่ยนแปลงเยอะมากค่ะ ภาพในยุคนั้นสวยงามกว่าที่เราเคยจินตนาการไว้เสียอีก หรืออย่างละครใน-ละครนอกที่ได้เห็น ก็รู้สึกทึ่งว่าเขาจำบทกันยังไงนะ เขาแสดงเก่งมากๆ ค่ะ แบบว้าวเลย…ไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน อีกประเด็นก็คือสิ่งที่เรามีในปัจจุบัน มันง่าย มันสบายกว่ายุคนั้นมาก อย่างโอกาสที่ผู้หญิงในยุคนั้นจะได้เรียนหนังสือก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
LIPS: มีประสบการณ์พิเศษใดบ้างที่เฌอได้จากการเล่นละครเรื่อง ‘บุษบาลุยไฟ’
เฌอปราง: “เป็นครั้งแรกเลยค่ะที่มีโอกาสได้ฉลุทองตอนเวิร์กชอป แล้วก็ในบทจะต้องเขียนหนังสือด้วยปากกาแบบจุ่ม ซึ่งต้องฝึกอยู่ระยะหนึ่งเลย ฉะนั้นตัวอักษรที่ทุกคนจะได้เห็นในเรื่อง บางส่วนเป็นลายมือจริงของเฌอเองค่ะ ทั้งลายมือของลำจวนและลายมือในหนังสือที่ลำจวนต้องคัดลอก ดีใจมากเลยค่ะ นอกจากนี้ยังได้ใส่ชุดไทยที่สวยและอลังการมาก หลายชุดคงไม่มีโอกาสได้ใส่อีกเพราะไม่รู้ว่าจะหาได้จากไหน ที่สำคัญคือไม่เคยได้ปลอมตัวเยอะขนาดนี้มาก่อน แต่รับรองว่าคนดูจะไม่สับสนลุคของเฌอแน่นอนค่ะ อีกอย่างคือ เฌอได้ตีฉิ่งตีฉาบด้วยนะคะ ดีนะที่เคยเรียนมาบ้าง”
LIPS: เหตุใดเราจึงควรตั้งตารอชม ‘บุษบาลุยไฟ’ ในเดือนเมษายนทางช่องไทยพีบีเอส
เฌอปราง: “เพราะทีมงานได้ใส่เรื่องราวในยุคนั้นลงไปเยอะมากค่ะ และคงกลายเป็นภาพจำลองให้คนดูและคนในอนาคตได้เห็นว่าศิลปวัฒนธรรมที่เรามีในปัจจุบันมีที่มาอย่างไร เฌอดีใจนะคะที่มีส่วนร่วมในการได้ถ่ายทอดภาพที่งดงามของยุคสมัยนั้น แต่ละฉากเซตกันยากมาก เพราะแต่ละองค์ประกอบใช่ว่าจะหามาได้ง่ายๆ บางฉากต้องใช้ช่างศิลป์ตัวจริง คณะละครจริงมาร่วมแสดง อย่างพาร์ทของ พี่โทนี่ รากแก่น (พระเอก) จะมีฉากวาดภาพบนผนังโบสถ์ ซึ่งเฌอว้าวมาก…แบบขอหนูไปนั่งวาดด้วยได้มั้ย ส่วนพาร์ทของเฌอ ฝากติดตามกันด้วยนะคะว่าลำจวนจะมีวิธีการเอาชีวิตรอดยังไงบ้าง”
LIPS: หากสามารถมีนักเขียนบทส่วนตัวได้ เฌออยากได้รับบทใดมากที่สุดในเวลานี้
เฌอปราง: “บทบู๊ค่ะ อยากให้มีคนจับเฌอไปออกกำลังกายที (หัวเราะ) คือเฌอเพิ่งเคยเห็นการทำงานของสตั๊นต์เยอะๆ ก็ตอนถ่าย ‘บุษบาลุยไฟ’ นี่ล่ะค่ะ รู้สึกว่าเป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่น่าสนใจมากจนอยากเรียนรู้เอาไว้ และคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ในชีวิตจริงด้วยค่ะ”
LIPS: เฌอเปิดใจให้สัมภาษณ์ในประเด็นที่กล้าหาญขึ้น เช่น ภาวะเบิร์นเอาต์ ความกดดัน เหตุใดจึงถ่ายทอดมุมอ่อนไหวของตัวเองมากขึ้น ซึ่งออกจะขัดกับภาพจำของไอดอลที่ต้องสดใสเต็มแม็กซ์
เฌอปราง: “บางครั้งรู้สึกว่าคนมองว่าเฌอเพอร์เฟกต์ แต่จริงๆ แล้วเราไม่ได้เพอร์เฟกต์ อยากให้รับรู้ว่าเฌอก็คนธรรมดา อยากให้เข้าใจว่าแม้บนเวทีไอดอลจะเปี่ยมไปด้วยเอเนอร์จี้ แต่ไอดอลก็มีชีวิตส่วนตัว มีโมเมนต์ที่ไม่ได้สวยหรูเหมือนกัน ถามว่าตอนนี้ยังเผชิญกับความรู้สึกแบบนั้นอยู่มั้ย ก็มีนะคะ…ร้องไห้อยู่บ้างในวันที่มันไม่ไหวจริงๆ ก็พยายามใช้ชีวิตในแบบที่รับมือได้ งานของเราคือการเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ เป็นคนส่งความสุข เราก็อยากทุกคนได้รับพลังงานที่ดีจากเราให้มากที่สุด แต่แค่อยากให้รู้ว่าเราไม่ได้บวกตลอดเวลา เฌอเป็นคนที่สตริกต์กับตัวเอง ขีดความอดทนค่อนข้างเกินพิกัดจนหมอกายภาพยังทัก แต่เฌอจะรู้ลิมิตตัวเอง รู้ว่าแบบนี้ไม่รอด ต้องไปโรงพยาบาล ไม่ได้ปิดกั้นว่าห้ามช่วย แต่ถ้าไม่ไหวเดี๋ยวบอก สภาพอารมณ์ก็เช่นกันค่ะ ถ้ารู้สึกว่าเริ่มไม่ใช่ ก็ขอเข้าพบจิตแพทย์เอง ขอที่ปรึกษาอะไรแบบนี้ค่ะ”
LIPS: เหตุการณ์ครั้งใดในชีวิตที่ถือเป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญหรือเป็นบททดสอบอันยิ่งใหญ่
เฌอปราง: “โห…ถ้ายิ่งใหญ่ที่สุด เฌอเลือกลำบาก แต่ถ้าเบลอที่สุด ท้าทายที่สุดคือตอนติดอันดับที่ 39 จากการโหวตของแฟนๆ ทั่วโลก และต้องไปขึ้นเวทีงานเลือกตั้งเวิร์ลเซ็มบัตสึที่ญี่ปุ่นซึ่งใหญ่กว่าราชมังฯ ค่ะ วันนั้นตื่นเต้นมาก กดดันมากเครียดจนจำอะไรไม่ได้เลย เฌอได้เต้นตรงกลาง ที่เดียวกับรุ่นพี่ที่เราได้แต่ติดตามเขาผ่านหน้าจอมาโดยตลอด นาทีนั้นคือภาพตัดของจริงเลยค่ะ สติไม่อยู่แล้ว แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้…ได้ยังไงไม่รู้ จนต้องมาย้อนดูเองในคลิปวีดิโอ”
LIPS: ขอ 3 ประสบการณ์ตรงจากเฌอปรางในวัยย่าง 27 ที่อาบน้ำร้อนมาแล้วอยากบอกเด็กรุ่นใหม่
เฌอปราง: “หนึ่ง ตัดสินใจเลือกในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ จะได้ไม่รู้สึกใจหรือเสียดาย สอง เมื่อเลือกทำอะไรแล้ว ก็ต้องทำให้ดีที่สุดในคอนดิชั่นที่มี เผื่อมันจะพาไปในจุดที่แม้แต่เราเองก็คาดไม่ถึง อย่างเฌอที่ตอนแรกไม่ชอบการแสดง แต่มาวันนี้ชอบมาก และอยากไปต่อกับละครเวทีดูบ้าง สาม ถ้าต้องเจอเรื่องที่ไม่ชอบ ก็จงเรียนรู้มัน จะได้รู้ว่าที่ไม่ชอบเพราะอะไร บางทีสิ่งที่เราต้องเผชิญอาจจะให้อะไรโดยที่เราไม่รู้ตัว ขอให้อดทน ขอให้ลองพยายาม เพราะว่าถ้าผ่านได้แล้วครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปเราจะรับมือได้ดีขึ้น
LIPS: หากในอนาคตสามารถสร้างอวตารของตัวเองได้ ดีเอ็นเอใดของ ‘เฌอออริจินัล’ ที่จำเป็นต้องใส่ลงใน ‘เฌออวตาร’ เพื่อให้มีอรรถรสใกล้เคียงต้นฉบับมากที่สุด
เฌอปราง: “ความอดทนค่ะ ขีดความอดทนที่มากพอจะทำให้เราไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เราจะพยายามลุยต่อ”
เฌอปรางสวมเดรสแขนกุดจาก VERSACE
Words: Sasi Akkomee
Photos: Somkiat Kangsdalwirun
Style: Anansit Karnnongyai
Hair & Makeup: PongsamuschaSomboon