ออกเดินทางสู่ถิ่นวัฒนธรรมแห่งภาคพื้นทวีปยุโรปไปกับคอลเล็กชั่นเครื่องประดับชั้นสูง Le Grand Tour (เลอ กร็องด์ ตูร์) นิราศนครอารยศิลป์ โดย Van Cleef & Arpels ซึ่งอาศัยแรงบันดาลใจจากยุคทองของปรากฏการณ์วัฒนธรรมในระหว่างศตวรรษที่ 18 ถึง 19 ทวีประกายความงดงามของมวลรัตนชาติเลอค่า พร้อมบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์และการสรรค์สร้างผลงานอันทรงเอกลักษณ์
Le Grand Tour
ผลงานคอลเล็กชั่นนี้ประกอบขึ้นด้วยเรื่องราวต่างมิติผ่านการหลอมรวมธรรมเนียมนิยมในศิลปะเครื่องประดับอัญมณีเข้ากับศิลปะทางการตกแต่ง ผลงานบางชิ้นมีต้นแบบมาจากของที่ระลึกระหว่าง การสัญจรศิลป์ถิ่นวัฒนธรรมหรือ Grand Tour ขนบในการออกเดินทางของชายหนุ่มในวงสังคมชนชั้นสูง ในช่วงศตวรรษที่ 18-19 เป็นเวลา 2-3 ปี ในดินแดนสำคัญในยุโรปเพื่อเปิดโลกทัศน์ เรียนรู้ และเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมถัดไป โดยทางเมซงได้เลือกเมืองอันมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มาทั้งหมด 8 เมือง เพื่อมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานอันเลอค่าในคอลเล็กชั่นนี้
ในการถ่ายทอดความงดงามทางวรรณกรรม ควบคู่ไปกับเรื่องราวของศิลปะวัตถุทั้งหลายซึ่งปรากฏในเนื้อหาของ Le Grand Tour หรือ “นิราศนครอารยศิลป์” Van Cleef & Arpels ได้พัฒนาทักษะความชำนาญทุกแขนงทางงานผลิตเครื่องประดับ จากการใช้ความคิดสร้างสรรค์ในสตูดิโอออกแบบ สายตาที่เชี่ยวชาญของเหล่านักอัญมณีวิทยา และไหวพริบอันเป็นเลิศของช่างฝีมือหัตถศิลป์ในแผนกเครื่องประดับชั้นสูงของเมซง เพื่อให้ผลงานการออกแบบได้กลายเป็นจริงตรงตามที่จินตนาการไว้ และเมื่อนำมาร้อยเรียงเข้าด้วยกัน ก็ยังเป็นเสมือนภาพร่างเส้นทางสัญจรศิลป์ถิ่นวัฒนธรรมที่เชิญชวนให้ผู้พบเห็นได้ชื่นชมความงามแบบไม่มีที่สิ้นสุด
ร่วมสำรวจความงดงามของเหล่านครอารยศิลป์ ซึ่งเป็นแรงบันดาลในใจในการสร้างสรรค์ผลงานคอลเล็กชั่นเครื่องประดับชั้นสูงนี้ พร้อมดื่มด่ำกับเรื่องราวของจุดหมายปลายทาง และความงดงามของรัตนชาติไปพร้อมๆ กัน
มรดกอันเลอค่าแห่งกรุงลอนดอน (London)
การเดินทางเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความจอแจของถนนสายต่างๆ ในกรุงลอนดอน ด้วยแรงบันดาลใจจากคู่สีสัญลักษณ์ของ กระเบื้องเคลือบลายครามแห่ง Wedgwood สู่การสร้างสรรค์ สร้อยคอ Josiah (โจไซอาห์) สะกดสายตาด้วยสีน้ำเงินสดทอประกายล้ำลึกของไพลินสองเม็ดตัดกับตัวเรือนฝังเพชรน้ำสุกสกาว
พร้อมกันนั้น ยังมีรูปปั้นแกะสลักฝีมือประติมากรคาโนวา ซึ่งตระหง่านตัวอย่างโดดเด่นท่ามกลางความโอ่อ่าตระการตาภายในคฤหาสน์แช็ทส์เวิร์ธ เฮาส์ (Chatsworth House) ของดยุคแห่งเดวอนเชียร์จนได้รับสมญานามว่า ‘พระราชวังแวร์ซายแห่งอังกฤษ’ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ เข็มกลัด Dea eterna (เดเตรนา) อันเป็นคำเรียก ‘เทพีแห่งความอ่อนเยาว์ตราบนิรันดร์’ สมญานามแห่งเทพธิดาฮีบีตามตำนานเทพปกรณัม ดุจจำลองสารพันศฤงคารอันมั่งคั่งในเคหาสน์ของท่านดยุคมาไว้บนเข็มกลัดชิ้นนี้
มรดกอันเลอค่าแห่งกรุงปารีส (Paris)
ในฐานะเส้นทางสายบังคับของการเดินทางสู่ถิ่นวัฒนธรรมหรือ Le Grand Tour มหานครปารีสสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เหล่านักเดินทางด้วยบรรดาผลงานอย่าง ต่างหู ‘โคมตะเกียงสายโซ่’ หรือ Lucendi (ลูเซินดิ) ได้รับการออกแบบขึ้นเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำถึงตำแหน่งงานส่วนหนึ่งของนางสนองพระโอษฐ์ประจำราชสำนัก รวมถึงแสงสว่างไสวภายในห้องส่วนตัว ซึ่งได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงแบบฉบับปารีเซียง ด้วยการนำมิติทรงอันสละสลวยของแชนเดอเลียร์โคมแขวนในราชสำนักฝรั่งเศสระหว่างศตวรรษที่ 18 เจ้าของโครงสร้างสายโซ่ยึดถ้วยตะเกียงรองไฟ มารังสรรค์เป็นต่างหูระย้าร้อยโซ่สามห่วงทำจากทองคำสีกุหลาบ
มรดกอันเลอค่าแห่งเทือกเขาแอลป์ (The Alps)
อาจกล่าวได้ว่าเทือกเขาแอลป์เป็นจุดแวะพักของทางสัญจร ความงามสง่าในงานออกแบบสร้อยคอ ‘ราชินีแห่งภูเขา’ หรือ Regina montium (เรชินา มอนติยุม) อันเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเด่นของคอลเลคชั่นเครื่องประดับชั้นสูง Le Grand Tour raconté par Van Cleef & Arpels จุดประกายจินตนาการถึงทัศนียภาพตระการตาของเทือกเขาหิมะ โดยเฉพาะทะเลสาบลูเซิร์นเมื่อมองลงมาจากยอดเขาริจิในสวิตเซอร์แลนด์ตามถ้อยรจนาในเรื่องสั้น Lucerne ของลีโอ ตอลสตอย มรดกอันเลอค่าแห่งนครเวนิซ
มรดกอันเลอค่าแห่งนครเวนิซ (Venice)
ในฐานะศูนย์กลางวิถีการดำเนินชีวิตในแบบฉบับชาวนครเวนิซ Piazza San Marco จัตุรัสประวัติศาสตร์แห่งอิตาลีมอบแรงบันดาลใจให้ Van Cleef & Arpels ใช้ไหวพริบในการพลิกแพลงทักษะความชำนาญแขนงต่างๆ ในการสรรค์สร้างตัวเรือนลายเส้นกราฟิกรองรับงานฝังรัตนชาติสีน้ำเงินหลากเฉดต่างโทนของสร้อยคอ และเข็มกลัดเข้าชุด ซึ่งถูกตั้งชื่อตามสมญานามยกย่องความเลอเลิศของนครกลางน้ำแห่งนี้ว่า Reine de l’Adriatique (แรน เดอ ลาเดรียทีค)
มรดกอันเลอค่าแห่งฟลอเรนซ์ (Florence)
ในปีค.ศ. 1485 ซานโดร บ็อตติเชลลิ จิตรกรชาวเมืองฟลอเรนซ์ได้สรรค์สร้างหนึ่งในสุดยอดผลงานอันยิ่งใหญ่แห่งยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการของอิตาลี นั่นก็คือ ‘กำเนิดวีนัส’ หรือ The Birth of Venus ซึ่งได้กลายมาเป็น แหวน ‘วิหารรัก’ หรือ Ode à l’amour (โอดาลามูร) ขึ้นเพื่อยกย่องอัครศิลปินผู้นี้ด้วยการใช้ความเป็นเลิศในไหวพริบทางการสร้างสรรค์อันสุดแยบคาย
มรดกอันเลอค่าแห่งกรุงโรม (Rome)
สร้อยคอ ‘จัตุรัสแห่งแดนสรวง’ หรือ Piazza divina (ปิอาซซา ดิวินา) ได้รับการสร้างสรรค์ และตั้งชื่อขึ้นเพื่อยกย่องความเลอเลิศของแหล่งกำเนิดแรงบันดาลใจ นั่นก็คือสถาปัตยกรรมบาโรกที่ใช้ตกแต่งจัตุรัสลานหน้า และแนวเสาระเบียงของมหาวิหารเซนต์ ปีเตอร์ หรือมหาวิหารนักบุญเปโตรในนครรัฐวาติกันอันสุดตระการตาจนได้รับการยกย่องให้เป็นประตูสู่กรุงโรม
มรดกอันเลอค่าแห่งเมืองเนเปิลส์ (Naples)
สร้อยคอ ‘มงกุฎดอกไม้’ หรือ Ninfe (นินเฟ) คือการรังสรรค์รูปแบบความงดงามชวนฝันของมงกุฎดอกไม้ หรือ ‘มาลาพฤกษา’ ดังปรากฏบนลายปูโมเสก ซึ่งถูกค้นพบท่ามกลางซากปรักหักพังของวิหารนางอัปสรแห่งนครเฮอร์คิวเลเนียม โดยสันนิษฐานว่าถูกปลูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานบูชาเหล่าเทพธิดาอารักษ์แห่งพงไพร
มรดกอันเลอค่าแห่งเมืองบาเดิน-บาเดิน (Baden-Baden)
ในงานเทศกาลประจำเมืองบาเดิน-บาเดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเขตเทือกเขาแบล็ก ฟอเรสต์ บรรดาชาวบ้านผู้มาร่วมขบวนเฉลิมฉลองล้วนแต่งกายกันอย่างหรูหรา และที่ขาดไม่ได้คือการสวมหมวกประดับตระการดุจมหามงกุฎหลากสีสันจากการใช้ลูกปัด, ริบบิน และมวลดอกไม้ แหวน ‘มาลาประดับ’ หรือ Schäppel (สกาปเปล) คือการรังสรรค์สรรพสีสดใส บ่งบอกถึงความสนุกสนาน ร่าเริงใจบนหมวกประดับของชาวบ้านท้องถิ่น มาสู่ความพิถีพิถันในการคัดสรรรัตนชาตินานาชนิด
Words: Ayu Kulahathai