เมอร์เด้อเหรอ ฆาตกรรมอิหยังวะ หนังเรื่องล่าสุดของผู้กำกับผู้มีสไตล์ภาพสีจัดจ้านเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งอาจทำให้คนดูที่ไม่คุ้นสไตล์ของเขามาก่อนมีอึ้งกันบ้างว่า หนังไทยงานภาพเริดเบอร์นี้มีอยู่จริง ซึ่งเกิดจากงานออกแบบฉากและงานภาพฝีมือคนทำหนังชาวไทยที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก
ฉากกลางคืนทั้งหมด ถ่ายทำตอนกลางวัน
เหตุการณ์ในหนัง เมอร์เด้อเหรอ ฆาตกรรมอิหยังวะ เกิดช่วงกลางคืนเป็นส่วนใหญ่ ความสลัวลางของความมืดช่วยสร้างกลิ่นอาย “มีเรื่องแล้ว!” ในใจคนดู แต่ใครเลยจะรู้ว่า ฉากกลางคืนทั้งหมดถ่ายทำกันในตอนกลางวัน และความมืดที่เห็นเกิดจากการเซตฉาก เซตไฟล้วนๆ ในเต็นท์ยักษ์สูง 6 เมตร หรือสูงเท่าบ้านหนึ่งชั้นครึ่ง
วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง ผู้กำกับเล่าว่า “ช่วงที่ถ่ายทำ สตูดิโอใหญ่ๆ ไม่ว่างเลย เหลือคิวให้เราใช้ได้แค่สั้นๆ ซึ่งเราถ่ายไม่ทัน เราเลยเปลี่ยนวิธีเป็นการไปหาโลเกชัน หาบ้าน แล้วเอาเต็นท์กับผ้าดำมาครอบไว้อีกที โดยตัวบ้านที่ใช้ถ่ายเป็นบ้านที่มีอยู่แล้ว เราไปต่อเติม และตกแต่งให้ตรงกับบท อีกอย่างซีนส่วนใหญ่ถ่ายกลางคืนทั้งนั้นเลย เราก็แก่แล้ว ถ่ายดึกมากไม่ไหว (หัวเราะ) เลยหาวิธีแก้ปัญหา”
“สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน ทีมงานก็มีคำถามเหมือนกันว่ามันจะถ่ายได้จริงๆ เหรอ เพราะนอกจากถ่ายฉากกลางคืนกันตอนกลางวันแล้ว ความท้าทายอีกอย่างคือเราต้องทำให้คนดูเชื่อด้วยว่าที่เราถ่ายกันอยู่มันคือข้างนอกสตูดิโอ เพราะตอนถ่ายเห็นโครงหลังคาตลอดเวลา เราก็ต้องไปปรับให้มันสมจริง ก็เป็นการทดลองทำดู ซึ่งก็เวิร์กทั้งในแง่การควบคุมแสงและช่วยให้การถ่ายทำไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศนัก เพราะตอนถ่ายทำเป็นช่วงพายุเข้าพอดี”
งานภาพสีสวยจากตากล้องหญิง
ผู้กำกับภาพ (Director of Photography) ของหนังเรื่องนี้คือ พี่หญิง-นิรมล รอสส์ ผู้ฝากผลงานภาพสวยดีมีความหมายในหนังไทยมากมาย อาทิ ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ และ Die Tomorrow ของเต๋อ – นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ซึ่งจะเห็นว่าหนังของวิศิษฏ์ของพี่หญิงสไตล์ภาพต่างกันลิบลับ จุดนี้ผู้กำกับหนังและผู้กำกับภาพจึงต้องจูนกันก่อนถ่ายทำ
วิศิษฏ์เล่าถึงงานภาพของหนังว่า “ส่วนตัวเราจะเห็นภาพไฟนอลโปรดักต์ในหัวตั้งแต่แรกเลย แต่กับพี่หญิง เราใช้วิธีชวนเขาไปดูเกรดสีด้วยกัน ช่วยดูช่วยจูนกันไป เพราะสไตล์ในหนังเรื่องนี้ เป็นสไตล์ที่ต้องทำความเข้าใจนิดนึง และต้องทำหลายอย่างก่อนถ่ายจริง นอกจากนี้ก็จะให้ reference และคีย์เวิร์ดกับพี่หญิง อย่างในเรื่องนี้คีย์เวิร์ดงานภาพของมันคือ ความอลังการของธรรมชาติ ตัดเข้ามาในบ้านที่เล็กๆ แคบๆ อึดอัด คั่นด้วยความใหญ่โตของธรรมชาติ
“เรื่องนี้เราลองออกแบบภาพด้วยมุมมองของไม่ใช่บุคคลที่สาม แต่เป็นมุมมองของบุคคลในเรื่องเลย เช่น ตอนพี่หม่ำจ้องมาเวลาที่สอบสวนทราย เราก็ใช้ภาพที่แทนมุมมองของทรายกับมุมมองของพี่หม่ำ ทำให้รู้สึกเหมือนเราโดนสอบไปด้วย เหมือนเราเข้าไปอยู่ในมุมมองของคนคนนี้ แล้วก็สลับไปที่อีกคนหนึ่ง”
ฉากบนโต๊ะอาหารที่มีต้นแบบจากภาพเขียนของฟานก็อก
ถ้าใครดูหนังอาจติดตาตรึงใจกับฉากที่ครอบครัวล้อมวงกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน แต่แทนที่จะดูอร่อย กลับชวนพะอืดพะอมขมคอเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งฉากนี้มีต้นแบบจาก The Potato Eaters ภาพเขียนของฟินเซนต์ ฟาน ก็อก หรือที่เราเรียกกันติดปากว่าแวนโก๊ะ
วิศิษฏ์บอกเล่าความหินในการใช้งานภาพมาเล่าเรื่องโดยไม่ต้องมีบทพูดในฉากนี้ว่า “เราอยากได้บรรยากาศแบบชนบท มีไฟดวงเดียว ฉากนี้มีคนดูสังเกตด้วยว่ามันมีความเป็นสัจนิยมมหัศจรรย์ (magical realism) เพราะจริงๆ เรื่องนี้เราอยากใส่ความเป็นแฟนตาซีเข้าไป ความยากของฉากโต๊ะอาหารอยู่ที่การเล่าให้คนดูเข้าใจความสัมพันธ์ของตัวละคร ตำแหน่งที่นั่ง ใครนั่งตรงไหน ความสัมพันธ์เป็นยังไง มันจะบอกความสนิทหมด การจัดบล็อกกิ้งจึงยาก และที่ยากเป็นพิเศษคือการที่นักแสดงต้องกินต้มอึ่ง 50 เทค”
ภาพเขียน The Potato Eaters นี้ ฟานก็อกปาดฝีแปรงในปี 1885 โดยตัวฟานก็อกวาดภาพนี้ขึ้นเพื่อสะท้อนความจริงอันโหดร้ายของชีวิตในชนบทที่การอยู่กับท้องนาและธรรมชาตินั้นไม่ได้น่าอภิรมย์ หากเต็มไปด้วยความลำบากของมนุษย์ที่ต้องต่อกรกับธรรมชาติที่มิได้งดงามสงบเย็นเสมอไป – เพื่อจะมีชีวิตรอดไปมื้อหนึ่ง ฟานก็อกจึงวาดใบหน้าของชาวนาที่ผอมเกร็งและกร้านราวกับเป็นคนเป็นกึ่งซากศพ เพื่อสะท้อนความตรากตรำของชาวนาที่ ‘ขุดดินด้วยมือเดียวกับมือที่ตักข้าวเข้าปาก…ชาวนานั้นหาอาหารมาอย่างสัตย์ซื่อแท้จริง’
ฟานก็อกวาดภาพชาวนาในภาพนี้ 5 คนโดยใช้สีเอิร์ธโทน ‘เป็นสีที่เหมือนกับสีมันฝรั่งเปื้อนดิน และยังไม่ได้ปอกเปลือก’ สารที่แฝงอยู่ในภาพนี้สำคัญมากกว่าการวาดร่างกายมนุษย์ให้ถูกต้องตามหลักสรีระศาสตร์หรือเทคนิคทางศิลปะใดๆ และศิลปินก็พอใจยิ่งกับผลลัพธ์เมื่อวาดเสร็จ ทว่าภาพเขียนนี้ถูกวิจารณ์อยู่บ้าง ด้วยสีที่มืดทึมเสียจนแทบไม่เห็นรายละเอียด และภาพร่างกายมนุษย์ที่ผิดแผกไปจากหลักอนาโตมี
Words: Suphakdipa Poolsap
ข้อมูลจาก: www.vangoghmuseum.nl