Search
Close this search box.
Search
Close this search box.
HOME / Interview / People

ATLAS เติบโตอย่างแข็งแกร่ง จับมือกันเดินหน้าต่อจนเดบิวต์ครบ 7 คน

Interview / People

โอกาสที่ ‘ไม่ได้ไปต่อ’ ของศิลปินฝึกหัดคือหนึ่งในเรื่องราวที่เรามักต้องเผื่อใจไว้เสมอ เมื่อได้ติดตามข่าวคราวของเด็กฝึกผู้ล่าฝัน แต่นั่นไม่ใช่กับ ATLAS ในวันที่สัญญาเด็กฝึกภายใต้สังกัดเดิมสิ้นสุดลง การเติบโตของพวกเขากลับยิ่งแข็งแกร่ง กระทั่งกลายเป็นศิลปินกลุ่มชายหน้าใหม่ที่ทุกผลงานเพลงมียอดวิวทะลุหลักล้าน

ATLAS มีผลงานเพลงมาแล้ว 7 ซิงเกิล ประกอบไปด้วยสมาชิก 7 คน คือ ไลน์พี่ใหญ่ จูเนียร์ – นภัทร โอสายไทย, เจ็ท – ภัทร์ไพบูลย์ โอภาสสุวรรณ, ภูมิ – เดชาธร วรรณวานิชกุล พี่คนกลาง ไนซ์ – วิชญ์พล สมคิด และไลน์น้องเล็ก เออร์วิน – ศุภกฤต เพนนอร์ส, มิวอ้อน – ณณณ นามปีติ และ แทด – ฐาปนา จงกลรัตนาภรณ์

เมื่อไม่มีโปรแกรมการฝึกซ้อมจากค่ายเก่าอีกต่อไป พวกเขาจึงกางตารางเรียนแล้วจัดเวลาฝึกร้อง – ฝึกเต้นอย่างมีวินัย ควบคู่ไปกับการนำเสนอตนเองกับค่ายเพลงหลายแห่ง ทว่า ในเวลานั้นก็ไม่มีบริษัทใดสามารถรับพวกเขาไว้ได้ทั้ง 7 คน

“บางค่ายเลือก 3 คน บางค่ายเลือก 2 คน บางค่ายเอาแค่คนเดียวไว้เล่นซีรีส์ แต่พวกเราเลือกที่จะอยู่ด้วยกันแบบครบ 7 คน” ภูมิ หนึ่งในสองสมาชิกรุ่นบุกเบิกเล่าย้อนความ จนกระทั่งวันหนึ่ง หลังจากเคี่ยวกรำกันเองมาร่วมปี แมวมองกิตติมศักดิ์อย่าง ‘น้องชูใจ’ ลูกสาวของกอล์ฟ F.HERO ได้พบเห็นเข้า การเริ่มต้นกับสังกัดใหม่จึงเกิดขึ้น

“เป็นวันที่บังเอิญมากครับ พี่กอล์ฟพาน้องชูใจมาเรียนเต้น แล้วน้องเห็นพวกเราวิ่งวอร์มรอบตึกก่อนที่จะวิ่งขึ้นไปซ้อม เลยเล่าให้พ่อฟัง พอพี่กอล์ฟขึ้นมาดูและได้ทำความรู้จักกันก็ประทับใจ เลยเรียกพวกเราเข้าไปคุยครับ” ภูมิเอ่ยถึงคนสำคัญ ก่อนที่ในเวลาต่อมา กอล์ฟได้แนะนำหนุ่มๆ ทั้ง 7 ให้กับค่าย XOXO ENTERTAINMENT ซึ่งประสบความสำเร็จมาแล้วกับการปั้น 4EVE ให้เป็นศิลปินเกิร์ลกรุ๊ปยอดนิยมแห่งยุค

LIPS พูดคุยถึงเส้นทางที่ผ่านมา และถนนสายปัจจุบันที่ทอดยาวไปเบื้องหน้าของ ATLAS

LIPS: เส้นทางชีวิตของแต่ละคนก่อนโคจรมาเจอกันเป็นมาอย่างไรบ้าง

มิวอ้อน: ตอนอายุ 15 ผมเจอวง BTS ในยูทูบ ยิ่งดูก็ยิ่งอยากทำสิ่งเดียวกับเขา พูดง่ายๆ คืออิจฉาที่เขาให้รอยยิ้มกับผู้คนได้ อิจฉาที่เพลงเขาเป็นแมสเสจที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นในวันที่เราเศร้า วง BTS เป็นศิลปินที่สุดยอดจริงๆ เป็นวงเดียวที่ผมรักทุกคน ชอบคาแรกเตอร์ทุกคน เขาเป็นเหมือน ‘ตำนาน’ ในยุคของผม และจุดไฟให้ผมอยากที่จะเข้ามาทำสิ่งนี้

มิวอ้อน - ณณณ ATLAS
มิวอ้อน – ณณณ

ไนซ์: ผมเริ่มจากเล่นซีรีส์วาย ซีรีส์ผี ฯลฯ ก่อนที่จะเข้ามาเป็นแดนเซอร์ ผมเต้นแบ็กอัปให้ศิลปินเยอะมาก แทบจะทุกค่าย แต่จริงๆ ก็ชอบการร้องเพลงด้วย เราอยู่เบื้องหลังมา 5 – 6 ปี จนถึงจุดหนึ่งที่รู้สึกว่าเราต้องก้าวข้ามความกลัวได้แล้ว

ความกลัวที่ว่านั้นเริ่มจากคนรอบข้างที่บูลลีเราครับ ใช้คำนี้ได้เลย ตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม ผมเป็นคนสุดท้ายที่ถูกเลือกเข้ากลุ่มเต้นเสมอ พอเราตามไม่ทัน คนอื่นก็ไม่ชอบเรา เหมือนเราเป็นตัวถ่วง การพูดจาหรือสายตาที่ผมต้องเจอเลยหนักหนา เป็นความกลัวที่เคยทำให้ผมไม่กล้าทำในสิ่งที่ชอบ ตอนร้องเพลงที่โรงเรียนก็มีคนบอกให้เลิกร้องแล้วกลับไปเต้นเถอะ แต่สุดท้ายผมก็สู้และผลักดันตัวเองจนทำได้สำเร็จทั้งการเต้นและการร้องเพลง

ไนท์ วิชญ์พล ATLAS
ไนท์ – วิชญ์พล

เจ็ท: ผมรู้ลึกๆ มาตั้งแต่เด็กแล้วว่าเราชอบวงการเพลง แต่ออกตัวไม่ได้เพราะสังคมของผมที่โรงเรียนอินเตอร์ฯ ในเวลานั้นยังไม่ค่อยเปิดรับ ส่วนใหญ่เป็นลูกหลานนักธุรกิจที่มี mindset ในการต่อยอดกิจการครอบครัว หรือทำธุรกิจของตัวเอง ในขณะที่ผมฟังเพลงเกาหลีมานาน แต่ถ้าเพื่อนเห็นก็จะโดนล้อทำนองว่า ‘ยูชอบบอยแบนด์เหรอ?’ ตอนนั้นเราเป็นแค่เด็ก ม.ต้น ไม่อยากโดนเพื่อนล้อก็เลยหันไปฟังเพลงร็อกหรือวงอื่นๆ ที่เพื่อนส่วนใหญ่ฟังกัน พอไปทางบอยแบนด์ไม่ได้ เลยคิดว่าอย่างน้อยเล่นดนตรีก็ยังดี ช่วง ม.ปลาย ผมเล่นกีตาร์ในวงดนตรีที่งานโรงเรียน จริงๆ ก็อยากร้องเพลงนะครับ แต่ไม่เคยกล้าสักที

เจ็ท - ภัทร์ไพบูลย์ ATLAS
เจ็ท – ภัทร์ไพบูลย์

แทด: แม่อยากให้ผมเป็นนักร้องนักแสดงมาตั้งแต่เด็กๆ ส่งไปเรียนเต้นตอน 7 ขวบ แต่ผมไม่เอาเลย เขินมาก ทั้งที่จริงๆ ชอบนะครับ เลยเบนเข็มไปทางกีฬา ผมถนัดหลายอย่าง เล่นกีฬาทุกประเภทที่โรงเรียนมี แต่หลักๆ ผมชอบเล่นบาสมากที่สุด เคยไปแข่งระดับเซาธ์อีสต์เอเชียของโรงเรียนอินเตอร์มาแล้ว นักกีฬาต้องเล่นเป็นทั้ง 4 อย่างเลยคือ บาสเก็ตบอล ฟุตบอล ว่ายน้ำ และกรีฑา

แทด - ฐาปนา ATLAS
แทด – ฐาปนา

เออร์วิน: ผมเป็นทูเร็ตซินโดรม (Tourette Syndrome) หรือโรคติกส์ (Tics) มาตั้งแต่เกิดครับ โรคนี้รักษาไม่หาย ตอนเด็กๆ ผมเป็นหนักมาก ไม่มีสมาธิ เขียนหนังสือไม่ได้ พอกินยา กล้ามเนื้อก็จะเกร็งเหมือนเป็นอัมพาตชั่วขณะ จนต้องไปฉีดยาคลายกล้ามเนื้อ ซึ่งเราดันแพ้ยาอีก พ่อแม่เลยพยายามรักษาโดยพาผมไปทำกิจกรรมทุกอย่าง ทั้งดนตรี กีฬา เต้น ฯลฯ เพราะเป็นวิธีเดียวที่อาการไม่กำเริบ

คุณหมอแนะนำให้ผมเรียนการแสดงด้วย จนมีโอกาสแคสต์งานละครครั้งแรก ได้เล่นมินิซีรีส์เตอนอายุ 13 ปี เรื่อง LOVE SONGS LOVE SERIES: เรามีเรา ทางช่อง GMM25 หลังจากนั้นก็เริ่มมีงานประปราย ผมเดินทางไป-กลับเชียงใหม่คนเดียวมาตลอดตั้งแต่ตอนนั้น เพราะฝั่งพ่อที่เป็นคนฝรั่งเศสมองว่าลูกโตแล้ว ส่วนแม่ไม่ค่อยปล่อยครับ แต่ด้วยความที่ผมอยากเดินทางเอง แม่ก็เลยยอม

เออร์วิน - ศุภกฤต ATLAS
เออร์วิน – ศุภกฤต

ภูมิ: บ้านผมอยู่โคราชครับ แต่เป็นเด็กหอมาตลอดตั้งแต่ ป.5 เพราะแม่ส่งไปเรียนหลายที่ เคยเรียนนานาชาติที่ลำปาง พอเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ก็เลยชิน ผมเคยไปเวิร์ก แอนด์ ทราเวลที่วิสคอนซิน อเมริกา ทำงานในร้านอาหารในโรงแรมสวนน้ำ เริ่มจากล้างจาน แต่ก็กระเสือกกระสนจนได้เป็นพ่อครัว ตอนนั้นเพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่ไม่ได้เล่นโซเชียลก็เลยไม่รู้จะติดต่อยังไง ผมอยากเจอพวกเขาอีกสักครั้ง

ภูมิ - เดชาธร ATLAS
ภูมิ – เดชาธร

จูเนียร์: ผมเป็นนักกีฬาว่ายน้ำครับ ฝึกตั้งแต่ 4 ขวบ จนถึงอายุ 20 ปี เคยไปถึงเยาวชนทีมชาติและได้เหรียญเงินตอนไปแข่งที่บรูไน ชีวิตผมไม่เคยทำอย่างอื่นเลยนอกจากว่ายน้ำ จนกระทั่งรุ่นพี่คนหนึ่งชวนให้ไปเดินแบบเสื้อผ้า ผมเคยมาถ่ายแบบให้ LIPS ด้วย! ตอนนั้นเรียนปี 1 ครับ รู้สึกว่า ฮึ้ย..เราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้เหมือนกันนะ! ผมมีความสุขมากที่ได้ทำอะไรใหม่ๆ เพราะที่ผ่านมาก็ไม่รู้ว่าผมรักกีฬาว่ายน้ำหรือเปล่า แค่รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำทุกวัน ถามว่าซัฟเฟอร์มั้ย? สุดๆ ครับ เป็นกีฬาที่แข่งกับใจตัวเองสูงมาก การขึ้นไปยืนบนแท่นแล้วกระโดดออกไป เราต้องรู้ว่าจะทำอะไรบ้าง จะว่ายกี่แขน จะหายใจกี่ครั้ง ถ้าพลาดนิดเดียวก็แพ้แล้ว

ตอนเป็นนักกีฬา เรากดดันอยู่คนเดียว แต่พอเป็นศิลปิน ถ้าเราตื่นเต้น เพื่อนตื่นเต้น โอเคเรามาปลอบกัน หรือถ้าใครผิดพลาดบนเวที เรายังรู้ว่ามีอีก 6 คนที่จะคอยซัพพอร์ตเราอยู่

จูเนียร์ - นภัทร ATLAS
จูเนียร์ – นภัทร

LIPS: เล่าถึงประสบการณ์ของเด็กฝึกที่ไม่ต่างจากรายการเซอร์ไววัลหน่อย

ไนซ์: พอตัดสินใจที่จะลุยเส้นทางของการเป็นศิลปิน ผมก็เริ่มหาลู่ทางในการออดิชั่นและเป็นเด็กฝึกเต็มตัว ตอนนั้นถือว่าลำบากมากครับในเรื่องของค่าใช้จ่าย เพราะเราต้องหยุดทำงานแดนเซอร์ไปก่อน ผมเป็นคนสุดท้ายที่ได้มาเจอทุกคน เลยมีช่วงเวลาเป็นเด็กฝึกสั้นที่สุด คือประมาณ 2 ปีนิดๆ ถ้าไม่รวมช่วงที่เราเทรนกันเอง

จูเนียร์: ผมมีเพื่อนที่ทำงานด้านนี้ เขาชวนไปออดิชั่นจนผ่านและได้ฝึก ผมชอบนะครับวงการ แต่ไม่เคยร้องหรือเต้น เพราะคนรอบข้างชอบทักว่าเสียงแบบนี้จะร้องเพลงได้ยังไง บางคนบอกว่า “เดินมานิ่งๆ น่ะดี แต่อย่าพูดออกมานะ” ช่วงหนึ่งผมเลยไม่พูดกับใคร ไม่กล้าพูด กลัวคนรู้สึกว่าเสียงเราแปลก ไม่รู้ว่าเขาจะ react กับเสียงเรายังไง แต่จุดเปลี่ยนคือครูสอนร้องเพลงคนแรกตอนที่ผมเป็นเด็กฝึกครับ ครูบอกว่าเสียงแบบนี้ไม่ได้มีกันทุกคน แต่เราต้องฝึกซ้อมเพื่อให้เสียงอยู่ใน range ที่โอเค ซึ่งการเป็นนักกีฬาช่วยเยอะมากครับ ผมเป็นคนอึดเพราะเราต้องรับคำสั่งตลอด เช่น ต้องทำเวลาเท่าไร เราก็ทำได้ เลยไม่รู้สึกว่าการฝึกมันหนักกว่าตอนเป็นนักกีฬา การทำอะไรแรกๆ ยากอยู่แล้ว แต่ถ้ายังคงทำต่อไปก็จะง่ายขึ้นเอง

แทด: พอโตขึ้นเราเริ่มถามตัวเองว่าจริงๆ แล้วอยากทำอะไร เรียนก็ไม่ชอบ จนเจอว่ามีการเปิดออดิชั่น แต่หมดเวลารับสมัครไปแล้ว ผมเห็นแล้วรู้สึกเสียดายมากก็เลย DM หาพี่ผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับออดิชั่นนี้ ผมบอกว่าอยากลองจริงๆ โชคดีที่เขาได้อ่านข้อความและใจดีก็เลยให้ผมเข้ามาออดิชั่นในวันรุ่งขึ้น ทั้งที่ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว ตอนนั้นผมคิดแค่ว่าทักไปดีกว่าไม่ทัก ถ้าทักอาจจะมีโอกาส แต่ถ้าไม่ทักคือไม่มีโอกาสเลย

ผมได้พลังฮึดมาจากวง BTS ที่ผมชอบมาตั้งแต่เด็กครับ ผมเห็นเขาทำได้ เราก็น่าจะลองดู แล้ววันออดิชั่น ผมได้เห็นว่าทุกคนเริ่มจากศูนย์เหมือนกัน ผมก็เลยใส่สุด! ทั้งที่ไม่มีพื้นฐานร้อง-เต้นเลย ผมทำไปก่อน ถึงท่าทางจะออกมาแย่แค่ไหนก็ตาม (หัวเราะ) ตอนหลังที่ผ่านการคัดเลือกแล้วถึงได้รู้ว่าพี่ๆ ชอบที่เรากล้าลองทำอะไรใหม่ๆ ไม่ได้ดูที่สกิลเลย ซึ่งจุดนี้เองจะทำให้คนเราพัฒนาได้เร็วมาก

เออร์วิน: ผม มิวอ้อน พี่เจ็ท เข้ามาเป็นเด็กฝึกในช่วงเดียวกัน ต่อจากพี่จูเนียร์ พี่ภูมิ แทด ตอนนั้นผมถนัดเต้นที่สุดเพราะแข่งขันมาเยอะครับ ผมไม่เคยชนะเลย แค่เข้ารอบสุดท้าย HIP HOP INTERNATIONAL และได้ที่ 3 ของประเทศจากงาน TO BE NUMBER ONE เราไม่ได้แข่งขันเพื่อที่จะเป็นผู้ชนะตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เราเต้นเพราะสนุก มีความสุข ผมรู้สึกว่าการประกวดเป็นประสบการณ์ที่ดีในชีวิต ผมคิดแค่นั้นเลย

เจ็ท: พอผมจบปริญญาตรีด้านวิศวฯ เครื่องกล ก็บินกลับมาจากอังกฤษครับ ก่อนหน้านั้นได้ฝึกงานทั้งที่ธนาคาร สายการบิน โรงงานฮาร์ดไดรฟ์ แต่ไม่ชอบเลย ลึกๆ เราชอบวงการเพลง เลยตัดสินใจเป็นเด็กฝึก ตอนแรกรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรคู่ควรที่จะได้เป็นศิลปินเลย เราแค่มีเอเนอร์จี้ในการร้องเพลง แต่ไม่ได้ร้องดี เราชอบเต้นแต่ก็เต้นไม่เป็น พอเริ่มฝึก ผมโคตรมีความสุข ต่อให้ครูสอนท่าที่ยากมากๆ และยังทำไม่ได้ แต่ผมไม่เหนื่อย ไม่เซ็ง ก็เลยมั่นใจว่านี่คือสิ่งที่เราชอบ จากนั้นจึงพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆ

เอาจริงๆ ทางบ้านผมดีใจนะครับ เพราะผมไม่เคยบอกเลยว่าอยากทำอะไร หนึ่งในเหตุผลที่ผมเรียนวิศวฯ เพราะแม่อยากให้เรียน เขาดีใจที่ผมเจอสิ่งที่ทำให้มีความสุข คนเป็นพ่อแม่ไม่มีอะไรสุขใจเท่าได้เห็นลูกมีความสุขครับ

LIPS: แต่สุดท้าย สัญญาการเป็นศิลปินฝึกหัดก็หมดลง และเราไม่ได้เดบิวต์ ทำไมเลือกจะสู้ต่อแม้ไร้สังกัด

ภูมิ: ตอนหมดสัญญาจากค่ายเก่าก็เคว้งกันอยู่ช่วงหนึ่งครับ แต่พอคุยกันว่าจะทำวงต่อก็เริ่มวางแผนกันเอง อย่างไนซ์เป็นครูสอนเต้นอยู่แล้ว พวกเราก็จัดตารางเต้น หาสตูดิโอไปซ้อม ลงรายละเอียดการฝึก เช่น ต้องวิ่งรอบตึกกี่รอบก่อนเต้น หรือคนที่กำลังเข้าปีหนึ่ง เราก็ต้องดูตารางเรียนให้น้องๆ ด้วย ช่วงนั้นมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคนละแสนกว่าบาท ซึ่งถือว่าเยอะมากครับ ใครมีเงินไม่พอ เราก็หยิบยืมกันเองก่อน

จูเนียร์: ชีวิตพวกเราแต่ละคนผ่านอะไรกันมาเยอะครับ เราเห็นการจูนกันบางอย่างเลยคิดว่ามันน่าจะเป็นไปได้ เหมือนจังหวะสุดท้ายแล้ว มาลองกันอีกสักตั้งเถอะ เราก็เลยจับมือกันลุยครับ! ใครหมดใจก็ผลัดกันเติมไฟ คนกลุ่มนี้เติมพลังให้เราได้ตลอดจริงๆ

LIPS: กดดันไหมที่เดบิวต์ต่อจาก 4EVE ซึ่งประสบความสำเร็จสุดๆ

เจ็ท: ความคาดหวังก็มีบ้าง แต่ไม่กดดันนะครับ ผมเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุผลของมัน ทุกอย่างลิขิตมาแล้ว เราไม่สามารถบังคับให้อะไรๆ เป็นไปตามที่เราอยากให้เป็นได้ ผมมอง 4EVE เป็นแรงผลักดันที่ดีด้วยซ้ำ เพราะได้ดูที่เขาแข่งทุกอีพี ได้เห็นความมุ่งมั่นของเขา เราอยากทำให้ออกมาดีสมฐานะที่เป็นวงน้อง

ภูมิ: ส่วนตัวผมไม่กดดัน อาจเป็นเพราะน้องๆ 4EVE น่ารักมาก เขาต้อนรับและซัพพอร์ตเราทุกอย่าง ทุกวันนี้เราสนิทกันมากๆ เราคุยกันได้ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว แถมเขายังช่วยผลักดันให้เราเป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วย ผมรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณมากกว่า

เออร์วิน: ผมกดดันนะ แต่ไม่ได้เกิดจากค่าย ไม่ได้เกิดจากความคาดหวังที่เดบิวต์ต่อจาก 4EVE แต่เกิดจากตัวเองนี่ล่ะ ก่อนเดบิวต์ ผมกดดันว่าเราเก่งพอหรือยัง เราดีพอมั้ย เราเหมาะสมที่จะอยู่ในวงหรือเปล่า แต่เส้นทางหลังเดบิวต์นี่ล่ะหนักกว่า ผมรู้สึกว่าเราต้องทำให้ดีขึ้นอีก แต่บางทีสกิลเรายังไม่พร้อม เรายังพัฒนาได้ไม่เร็วเท่าความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมเพลง หลังเดบิวต์ คำถามและความกดดันผมเพิ่มขึ้นเยอะ

จูเนียร์: ไม่กดดันนะ แค่รู้สึกว่าอยากประสบความสำเร็จแบบเขาจัง จริงๆ สมาชิก ATLAS กับ 4EVE อายุใกล้เคียงกัน เขาให้คำแนะนำเราตลอด เช่น ลองทำแบบนั้นสิ ลองคุยแบบนี้มั้ย ฯลฯ เรามีทุกวันนี้ได้ก็ด้วยแรงซัพพอร์ตส่วนหนึ่งจาก 4EVE ผมเห็นเขาสู้มาตั้งแต่ในรายการ ฝึกฝนจนมาถึงวันนี้ ผมก็เลยคิดว่าเราก็น่าจะเป็นแบบเขาได้

ภูมิ เจ็ท มิวอ้อน ATLAS

LIPS: ใครในวงที่ต่างกันอย่างสุดขั้ว

เออร์วิน: ผมนี่แหละ ผมอ๊องครับ แล้วก็ใช้ชีวิตตามอารมณ์มากกว่าเหตุผล รู้สึกยังไงก็ทำตามนั้น สมมติผมนั่งทำเพลงอยู่ ถ้ามีใครทัก บางทีผมไม่ได้ตอบ เพราะกำลังโฟกัสกับสิ่งตรงหน้า เหมือนอยู่ในโลกของเรา บางคนไม่เข้าใจว่าเราเป็นอะไร โกรธอยู่หรือเปล่า เราเลยขอโทษแล้วอธิบายว่าแค่ฟีลมันมา อยู่ๆ ก็อยากอยู่เงียบๆ คนเดียว ทั้งที่ปกติเราเฮฮามากๆ แต่ตอนนี้ทุกคนเข้าใจแล้วว่า ถ้าผมนิ่งคือไม่ได้เป็นอะไร ผมแค่เป็น ‘มนุษย์เออร์วิน’ อยู่

เจ็ท: ผมว่าเพื่อนๆ 6 คนมีทั้งความ introvert และ extrovert ผสมกัน แต่ผม ‘introvert สุดๆ’ โลกส่วนตัวสูง ภายนอกดูเปิด แต่จริงๆ แล้วชอบทำอะไรคนเดียวมาก คอมฟอร์ตโซนของผมคือการได้อยู่ในห้องคนเดียว ได้ไตร่ตรองตัวเอง วันว่างขอนั่งเก็บของอยู่ที่บ้าน เอาลิ้นชักมาจัด ถ้าพี่ชายทำตู้เสื้อผ้ารก ผมก็จะนั่งพับผ้าเก็บเข้าตู้ให้ ไม่ก็ไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต อยู่แค่ในโลกของเรา เดินเข็นรถเข็น ฟังพอดแคสต์เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ฟิสิกส์แบบความรู้รอบตัว ประวัติศาสตร์ที่ไม่จำกัดว่าต้องชาติไหน

ไนซ์: ผมกับ ‘พี่ภูมิ’ ครับ เขาเป็นคนที่ดึงผมขึ้นมาจากความดิ่งเสมอ พลังบวกเขาเยอะมากๆ ส่วนผมถ้าอยู่หน้ากล้องจะสนุก เอนเตอร์เทนได้ตลอด แต่หลังกล้อง ผมจะกลับมาเครียดเรื่องงาน ผมเป็นคนที่คิดมากสุดๆ ชอบเปรียบเทียบโดยกดตัวเองลง เมื่อไม่นานมานี้ก็แทบจะไปพบหมอด้วยซ้ำ วันๆ ผมคิดแต่เรื่องงาน แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากครับ เราต้องพูดออกมาครับ เล่าให้คนในวงฟังว่าเราเป็นอย่างนี้นะ เราคิดแบบนี้อยู่ พอได้พูดก็สบายใจขึ้นเยอะ เหมือนได้ปลดความหนักอึ้งในการกดดันตัวเองลงมากๆ

จูเนียร์: ผมกับ ‘ภูมิ’ นี่ล่ะครับต่างกันมากเลย ผมโลกส่วนตัวสูง ไปไหนมาไหนคนเดียวได้ ผมชอบคาดการณ์ถึงสถานการณ์ที่แย่ที่สุดเอาไว้ก่อน ในขณะที่ภูมิเป็นคนคิดบวกสุดๆ ไม่มองอะไรในแง่ร้าย เขาจะคอยบอกให้ผมใจเย็นๆ เราเลยเถียงกันตลอด เราเล่นกีฬาประเภทเดี่ยวมา ซ้อมคนเดียวง่ายกว่า แต่พอทำงานเป็นทีม เราต้องเรียนรู้ว่าเพื่อนเป็นยังไง เขาถนัดหรือไม่ถนัดตรงไหน เราควรเสริมอะไร เราต้องเปิดตัวเองมากๆ เพื่อที่จะจูนกันให้ติดจริงๆ และในวงผมเป็นพี่ใหญ่สุด แต่ผมเป็นลูกคนสุดท้อง พ่อแม่ของสมาชิกในวงก็จะฝากดูแลน้องๆ ซึ่งเราไม่เคยรับหน้าที่นี้มาก่อน พอทำมากเข้าก็ได้รู้จักกับการเป็นผู้ให้จริงๆ

ภูมิ: ผมกับ ‘จูเนียร์’ เป็น 2 คนแรกที่ต้องฝึกอยู่ด้วยกัน แรกๆ เราไม่ถูกกันด้วยซ้ำ ผมรู้สึกไม่ชอบเลยคนนี้ เพราะเขาเจ้าระเบียบ นิ่งๆ ดุๆ ส่วนผมสบายๆ เฮฮา เล่นๆ ไป จนวันหนึ่งผมรู้สึกว่าเราจะไม่คุยกันอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน ถ้าอนาคตต้องอยู่วงเดียวกันจะเป็นยังไง ก็เลยคุยกันว่าเราจะแค่มองหน้าแล้วไม่ชอบกันแบบนี้ไม่ได้

ผมเปิดใจคุยกับเขา วันนั้นร้องไห้เลยนะ ผมบอกเขาว่ามันบั่นทอนจิตใจมากที่รู้สึกว่ามีคนไม่โอเคกับเรา ผมอยากมาซ้อมเพราะรักการร้องการเต้น แต่ผมไม่อยากเจอหน้าเขา เขาก็ตกใจว่าทำไมผมกล้าพูด แต่ผมก็อึ้งกลับเหมือนกันตรงที่เขาบอกว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิด เขาอาจจะผิดเองที่มีอะไรแล้วไม่บอก เขารู้สึกว่าผม ‘ใจมาก’ ที่กล้าพูดตรงๆ ต่อไปถ้ามีอะไรที่เข้าใจไม่ตรงกันต้องปรับความเข้าใจ เราต้องผ่านไปด้วยกัน เรามาสู้กันนะ จากวันนั้นเราสองคนก็เปลี่ยนเลยครับ เข้าใจกัน แลกเปลี่ยนความคิดกัน ใครเจอปัญหาก็ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

จุดเริ่มต้นของวง ATLAS มาจากความแตกต่างนี่ล่ะครับ มันเวิร์กนะการคุยกัน แล้วเราก็ทำจนถึงทุกวันนี้ เพราะแน่นอนว่าคน 7 คน มีปัญหาเต็มไปหมด แต่การคุยกันจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้พวกเราเข้าใจกันและยอมรับกัน

ท่าบูมของ ATLAS
“เราบูมกันท่านี้ตลอด เอามือของพวกเรามาซ้อนต่อกัน เพราะรู้สึกหนักแน่นดี รูปนี้ถ่ายตอนก่อนขึ้นแสดงที่ขอนแก่น เป็นการโชว์ครั้งแรกที่บ้านเกิด ผมน้ำตาไหลเลยครับ เพื่อนๆ ญาติๆ มาให้กำลังใจเยอะมาก” จูเนียร์

LIPS: แนวคิดและปณิธานของการทำงานในวงการบันเทิงของแต่ละคนเป็นอย่างไรบ้าง

เจ็ท: สิ่งหนึ่งที่ผมให้ค่ามากๆ ในฐานะศิลปินก็คือ การมอบ ‘พลังบวก’ ให้กับกลุ่มคนที่รักเรา หรือกลุ่มคนที่มักจะได้รับความสุขจากเรา ช่วงโควิดแรกๆ ผมเกือบมีภาวะซึมเศร้าจนต้องพบจิตแพทย์ จากเด็กร่าเริงที่ชอบออกนอกบ้าน กลายเป็นทำอะไรก็ไม่มีความสุข จนได้ดูศิลปินคนหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกมีพลังบวกและได้รับความสุข ผมติดตามผลงานของเขาเยอะมาก จนแทบจะเป็นสิ่งเดียวในเวลานั้นที่ทำให้ผมยิ้มออก เรียกได้ว่า ‘ฮีลใจ’ สุดๆ ถ้าไม่ได้ชมรายการและฟังเพลงของเขา ผมคงเป็นโรคซึมเศร้า เหมือนครั้งหนึ่งเขาช่วยชีวิตผมไว้ เขาคือ พี่โอ๊ต – ปราโมทย์ ปาทาน แท้จริงเขาเป็นคนยังไงผมไม่รู้นะ แต่ในฐานะศิลปิน พี่โอ๊ตประสบความสำเร็จมากๆ ในการให้พลังบวก ซึ่งผมก็คือหนึ่งในความสำเร็จนั้น พี่โอ๊ตทำให้ผมดีขึ้นได้ จนรู้สึกว่าถ้ามีโอกาสทำงานในวงการบันเทิง ผมจะต้องส่งต่อพลังงานดีๆ เช่นกัน

พอเป็น ATLAS แล้ว ผมมีโอกาสได้อ่าน DM บ้าง น้องคนหนึ่งเล่าว่าสิ่งที่ผมพูดในการให้สัมภาษณ์ช่วยเขาได้มากๆ บางคนใช้คำว่าช่วยชีวิตก็มี หรือดูพวกเราแล้วยิ้มได้จากที่รู้สึกแย่มาทั้งวัน ฯลฯ ถึงจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ข้อความเหล่านี้เติมเต็มใจผมมาก

มิวอ้อน: ผมรู้สึกว่าในอนาคตเราอาจจะค้นพบว่าจริงๆ แล้วเราอยากจะเอ็กซ์พลอร์อะไร เราอยากนำเสนอสิ่งที่เราค้นพบให้กับคนที่เป็นปีกให้เราอย่าง ALIS (ชื่อแฟนด้อม) ถึงผมจะมองวง BTS เป็นไอดอล แต่ผมไม่ได้อยากทำตามในสิ่งที่เขาเคยทำมาก่อน ผมอยากทำอะไรที่สร้างเอฟเฟกต์เดียวกัน แต่ด้วยไอเดียและรูปแบบที่แตกต่าง

แทด ไนซ์ เออร์วิน จูเนียร์ ATLAS

แทด: ผมอยากทำงานตรงนี้เพื่อที่จะเป็น ‘แบบอย่าง’ ให้คนอื่น ผมรู้จักหลายคนที่อยากเป็นนักร้อง-นักแสดง แต่ไม่กล้าที่จะเสียสละอะไรบางอย่าง ผมก็เลยอยากที่จะเป็นตัวอย่างให้เพื่อนๆ หรือน้องๆ ได้กล้าที่จะลงมือทำในสิ่งที่เราชอบ

เรื่องการเรียนที่ได้เกรดเฉลี่ย 3.9 และได้เดบิวต์ด้วย ผมใช้วิธี ‘ลดเวลาส่วนตัว’ จริงๆ แล้วหนึ่งวันมีเวลาเหลือเฟือ ตอนเด็กๆ ผมเรียน 2 ชั่วโมง แต่พัก 4 ชั่วโมง ซึ่งจริงๆ แล้ว 4 ชั่วโมงนั้น เราทำอะไรได้เยอะมาก ที่สำคัญคือผมเปลี่ยนวิธีการอ่านหนังสือ จาก ‘ท่องจำ’ เป็น ‘เข้าใจ’ ผมจะดูก่อนว่าคอนเซปต์หลักคืออะไร แล้วทำความเข้าใจมันจริงๆ พอเข้าห้องสอบก็แค่อธิบายในสิ่งที่เราเข้าใจ วิธีนี้ประหยัดเวลาได้ครับ

เมื่อก่อนผมเรียนไปด้วย เล่นกีฬาไปด้วย ในขณะที่ทุกวันนี้ ผมเรียนไปด้วย แล้วก็ทำงานไปด้วย ผมรู้สึกว่าการแบ่งเวลาของผมมันเป็นธรรมชาติ อีกอย่างหนึ่งคือผมรู้สึกว่าเราเรียนรู้การเต้นได้เร็วเพราะเป็นนักกีฬามาก่อน เราเข้าใจร่างกายมากๆ และผมก็มองว่าการเต้นเป็นกีฬาประเภทหนึ่ง

เออร์วิน: ผมคงอยู่ในวงการเพลงไปตลอดชีวิต ถึงไม่ใช่คนเบื้องหน้าก็อยากจะผลิตผลงานอยู่เบื้องหลัง ผมว่าจุดนั้นเราน่าจะมีความสุข เหมือนเวลาทำเพลงคัฟเวอร์ให้พี่ๆ ในวง ผมรักวงการนี้ อาจจะผันตัวเป็นแบ็กอัป เป็นนักดนตรี เป็นโปรดิวเซอร์ทำเพลงให้ศิลปินหน้าใหม่ เพราะผมก็อยากผลักดันคนอื่นๆ ด้วย

ผมเล่นดนตรีได้หมด กีตาร์ เบส กลอง เปียโน คีย์บอร์ด ฯลฯ ฟังเพลงทุกแนวด้วย เพราะผมเรียนวิทยาลัยดนตรี เราต้องศึกษาหมด คณะนี้เรียนยากมากครับ ผมเครียดถึงขนาดกินข้าวไม่ได้จนเกือบต้องพบแพทย์ เพื่อนๆ ที่เข้าปี 1 พร้อมกันคือ ‘เทพ’ เพราะส่วนใหญ่เป็นคนที่เรียนด้านดนตรีโดยตรงตั้งแต่มัธยมครับ บางคนเป็นเพอร์เฟกต์พิตช์ ดีดปุ๊บรู้ปั๊บว่าโน้ตตัวไหน บางคนเป็นเพอร์เฟกต์ฟรีเควนซี รู้ทันทีว่านี่คือย่านเสียงที่เท่าไร

สิ่งที่ทำให้ผมเครียดก็คือ ผมรักดนตรีมากจนกลัวว่าวันหนึ่งเราจะเกลียดมัน ผมเรียนดนตรีทั้งวัน ในมหาวิทยาลัยมีเสียงเพลงตลอด เรียนเสร็จมาซ้อมกับ ATLAS ก็มีดนตรี ถึงเวลาพัก กิจกรรมที่ผมรีแลกซ์ที่สุดก็คือการหยิบกีตาร์มาเล่น วนลูปแบบนี้ทุกวัน เราเรียนดนตรีเพราะอยากพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น แต่การเล่นดนตรีที่สนุกมันหายไป การฟังเพลงก็เปลี่ยนไป เราฟังแบบวิเคราะห์ ไม่ได้ฟังเอาความสุข จนผมเกือบซึมเศร้า ช่วงนี้ดีขึ้นครับ เพราะไม่ได้ไปเรียน จริงๆ เราต้องผ่อนตัวเองครับ หายใจลึกๆ ถ้าเล่นกีตาร์ช่วงพักก็เล่นมั่วๆ บ้าง ไม่ต้องเอาถูกต้อง

จูเนียร์: ทำทุกวันให้มีความสุขครับ ผมชอบปล่อยพลังงานโดยเน้นความสุขมากกว่าการหาเม็ดเงิน ผมให้คะแนนความสุขของตัวเองเต็มร้อยครับ เป็นช่วงที่ทุกอย่างโอเคมาก ไม่มีความกดดันแล้ว ผมมีความสุขกับทุกผลงานที่ปล่อยออกไป ถ้าเรามีความสุขกับตัวเอง คนอื่นก็จะมีความสุขด้วย

ไนซ์: ผมอยากให้วง ATLAS อยู่ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อยากให้ทุกคนเห็นว่าความสัมพันธ์ของกลุ่มเพื่อนแบบนี้มันดีนะ มันลึกซึ้ง และแน่นอนว่าจุดมุ่งหมายสูงสุดก็คือ การก้าวไปในระดับเอเชียหรือระดับโลกครับ

LIPS: ถ้าชวนใครมาแจมได้แบบเฉพาะกิจไร้ขีดจำกัด อยากให้เขาคนนั้นเป็นใคร

มิวอ้อน: ‘ปิง’ (กฤตนัน อัญชนานันท์) ทั้งวงเราสนิทกับปิงอยู่แล้ว

ไนซ์: ‘ตาออม 4EVE เขาเป็นคนลุย แล้วเราก็เป็นคนลุยๆ เช่นกัน

เจ็ท: ‘พี่นนท์ ธนนท์’ ไม่ว่าในฐานะนักร้องหรือเพอร์ฟอร์เมอร์ เขาก็ทำได้ดีมากๆ ผมมองว่าถ้าได้แสดงด้วยกัน เราก็น่าจะได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง

แทด: ‘ปิง’ ครับ เราสนิทกัน เคยเทรนมาด้วยกัน แต่เขาแยกไปเส้นทางการแสดง น่าจะรู้สึกดีครับที่เห็นเขาอยู่บนเวทีด้วยกัน

ภูมิ: ‘กอไผ่’ น้องชายของผมเอง น้องเรียนเก่งมาก ขยัน ตั้งใจทำงาน ชอบแอบเล่นกีตาร์แล้วก็ร้องเพลงอยู่ในห้อง น้องขี้อายและชอบคิดว่าตัวเองไม่หล่อ แต่ผมรู้สึกว่าเขาเก่งกว่าผมอีก ผมยังเล่นกีตาร์ไม่เป็นเลย อยากให้น้องภูมิใจในตัวเอง

LIPS: มีอะไรที่รอการสำรวจหรือค้นพบอีกบ้างในฐานะที่ ATLAS เป็น THE EXPLORER

มิวอ้อน: เพลงที่เราจะแต่งครับ ผมอยากพูดถึงสิ่งที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ แต่ทุกคนมีความคิดนั้นอยู่ในหัว เช่น ความรักในมุมที่ทุกคนคิด แต่ไม่มีใครกล้าพูด

เจ็ท: อยากเอ็กซ์พลอร์ด้านธุรกิจ F&B ครับ ผมชอบกินอาหารคลีน เป็นคนลิ้นจระเข้ ไม่ต้องหวานเปรี้ยวเค็ม ขอแค่เผ็ด ตอนอยู่อังกฤษผมชอบซื้อพริกมานั่งเคี้ยว

แทด: ช่วงนี้เริ่มเอ็กซ์พลอร์การอยู่คนเดียวมากขึ้นครับ เพราะเมื่อก่อนผมติดพี่ชายมาก พออยู่วงก็ติดพี่ๆ อีก แต่พอได้ลองอยู่คนเดียว รู้สึกได้เรียนและพัฒนาตัวเอง

ภูมิ: ตลอดปีกว่าที่ขึ้นโชว์ เราเจอทั้งเวทีรูปหัวใจ วงกลม สามเหลี่ยม เป็นอะไรที่ท้าทายและสนุกสุดๆ ผมหวังว่าอนาคตเราจะเจอเวทีแปลกๆ ที่ทำให้เราเก่งขึ้นไปอีก

เออร์วิน: ผมอยากจะถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับสังคมโลก ความเป็นมนุษย์ เช่น คนเราเกิดมาทำไม ฯลฯ เรื่องแต่งแร็ปภาษาฝรั่งเศส เราเคยแต่งเล่นๆ ไว้เหมือนกันครับ มิวอ้อนแร็ปญี่ปุ่น แทดแร็ปอังกฤษ ผมแร็ปฝรั่งเศส

จูเนียร์: ในอนาคตถ้าแข็งแรงพอ ผมก็อยากลองร้องแบบโซโล่ดูบ้างครับ

LIPS: ไอเดียของแนวเพลงที่ไม่เหมือนกันเลยในแต่ละซิงเกิลของวง ATLAS มีที่มาที่ไปอย่างไร

มิวอ้อน: ผมว่าดีนะ เราไม่ได้อยู่ในวงการเพลงมายาวนาน การได้ลองหลายแนวทาง หลายรสชาติ อาจทำให้เราค้นพบว่าสุดท้ายแนวทางของ ATLAS คืออะไร

เจ็ท: มองได้ 2 แง่ครับ บางคนอาจจะคิดว่าวงนี้ไม่มีคาแรกเตอร์เลย ไปทางนู้นที ทางนี้ที แต่ผมมองว่าเป็นสีสันที่ดี ที่หลากหลายนะ มันมีไดนามิกทางความรู้สึก

เออร์วิน: ผมชอบนะ ผมรู้สึกว่ามันถูกต้องสำหรับ ATLAS เราเคยคุยกันว่าควรมีแนวเพลงที่ชัดเจนไปเลยมั้ย แต่สุดท้ายก็ตกตะกอนได้ว่ามันไม่มีคำตอบนั้นจริงๆ

สำหรับ ATLAS โทนเสียงของพวกเราแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ก็รวมกันได้ในแต่ละเพลง เรานิสัยต่างกันแต่กลับเข้ากันได้ดี คล้ายกับผลงานของเราที่ทุกเพลงไม่เคยเหมือนกันเลย

MV เค้ามาก่อน (Lovefool) – ATLAS

LIPS: พูดถึง ‘เค้ามาก่อน’ ซิงเกิลล่าสุดที่ได้ THE TOYS มาเป็นโปรดิวเซอร์กันสักนิด

ภูมิ: ไม่คิดไม่ฝันว่าวันนึงพี่ทอยจะมาทำเพลงให้เราครับ เพลงนี้ผมฟังเองมาหลายเดือนแล้วก็ไม่เบื่อ ยังฟังได้ทุกวัน หวังว่าจะทุกคนรู้สึกพิเศษกับเพลงนี้เหมือนเรานะครับ

แทด: เพลงนี้เป็นเพลงโปรดผมเลย การร้องผมมีพัฒนาขึ้นมากเพราะพี่ทอย เขาชี้ให้เห็นในสิ่งที่ผมควรแก้ไข เช่น มีบางคำที่ผมพูดไม่ชัดแล้วเหมือนเสียงติดอยู่ตรงลำคอ ไม่พุ่งออกมา ผมรู้สึกมานานแล้วแต่ไม่รู้ว่าต้องแก้ยังไง ซึ่งพี่ทอยให้คำแนะนำได้จริงๆ เขาใช้เวลาอยู่ในห้องอัดกับผมเป็นชั่วโมงเลย สอนไปเรื่อยๆ จนกว่าผมจะทำได้ เช่นคำว่า ‘ฉันยอม’ สองพยางค์นี้ผมอัดอยู่ประมาณ 40 นาที

เออร์วิน: ความรู้สึกแรกคือกังวลครับ เพราะมันไม่เหมือนเพลงป๊อปทั่วไป วิธีการร้องหรือแสดงอารมณ์ก็ค่อนข้างยากและท้าทายมากสำหรับผม เพลงนี้ผมได้มีบทบาททั้งในการแร็ปแบบเดอะทอยที่เร็วมากๆๆๆ ร่วมกับการร้อง ต่างจากปกติที่แร็ปอย่างเดียว

ไนซ์: เป็นเพลงที่ชอบที่สุดเลยครับ เพราะส่วนตัวผมชอบเพลงช้าที่ติดกลิ่นอาร์แอนด์บี ฟังครั้งแรกตั้งแต่เป็นเดโมก็ชอบเลย เหมือนพี่ทอยมีภาพอยู่ในหัวแล้วว่าใครต้องร้องท่อนไหน ยังไง เขาศึกษาพวกเราแต่ละคนมาดีมากเลยครับ

จูเนียร์: ในเอ็มวีเป็นบรรยากาศของการปั้นดินเผาซึ่งเป็นหนึ่งในความฝันผมเลย วันถ่ายเอ็มวีผมเลยฟินอยู่คนเดียว เพราะปกติชอบเดินดูงานปั้น งานแกะสลักในพิพิธภัณฑ์อยู่แล้วครับ

เจ็ท: ยอมรับเลยว่าเป็นเพลงที่ดีมากๆ แล้วผมก็ชอบมากๆ เพลงนี้สื่อถึงอารมณ์เศร้าเป็นครั้งแรกของ ATLAS ก่อนหน้านี้เรามีเพลง ‘คุยแก้เหงา’ ที่แม้จะเศร้าแต่ก็มีรอยยิ้ม แต่ ‘เค้ามาก่อน’ นี่เศร้าสุดทางไปเลยครับ

LIPS: เพลงที่ชอบที่สุดล่ะ ถ้าไม่ใช่ซิงเกิลล่าสุด และเลือกได้แค่หนึ่งเพลง

มิวอ้อน: LOLAY ฮะ เป็นเพลงที่เขียนกันก่อนเดบิวต์และได้ใส่ไอเดียของพวกเราเข้าไปมากที่สุด ผมแต่งเดโมเพลงนี้ คือปกติผมแต่งเพลงเดือนละครั้งหรือสองอาทิตย์ครั้งอยู่แล้ว และเพลงนี้ก็เป็นหนึ่งในเดโมที่ผมส่งให้พี่ๆไป ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะเลือกไปทำเนื้อ ทำดนตรีต่อ

เจ็ท: ‘แกล้งลืม’ ครับ อย่างแรกคือชอบท่าเต้น ผมว่าเป็นกรูฟที่กำลังดี เนื้อเพลงก็ดีแล้วยังมีหลายไดนามิก คือเริ่มต้นจากลมๆ เซ็กซี่ๆ พอท่อนฮุกก็สนุกขึ้นมาหน่อย ก่อนต่อด้วยแร็ปเดือดๆ แล้วค่อยกลับมาฮุกอีก เป็นเทสต์ที่ผมชอบแบบอธิบายไม่ถูก

ภูมิ: ‘เธอมีความหมาย’ เพลงนี้เป็นตัวผมมากๆ ผมเองก็คิดแบบนั้น ฟังแล้วมีความสุข ประกอบกับเราใช้ในการปิดโชว์ทุกครั้ง ผมก็เลยรู้สึกจริงจังกับเพลงนี้

เออร์วิน: ‘เธอมีความหมาย’ ถึงส่วนใหญ่จะเล่นเป็นเพลงสุดท้าย แต่เป็นเพลงที่เติมเต็มผมที่สุด เพราะจะได้รับพลังจากแฟนๆ เหมือนปลุกใจให้มีเรี่ยวแรงขึ้นมา

จูเนียร์: ‘แกล้งลืม’ ผมรู้สึกว่าน่ารักดี ไปจีบเค้า แบบขอเป็นแฟนหน่อยน้า เวลาเข้าหาคนที่ชอบ ผมจะน่ารักใส่ครับ เอาตัวเองออกมาร้อยเปอร์เซ็นต์

LIPS: สมาชิกในวงแพ้ทางคนแบบไหน

ไนซ์: ผมว่าผมรู้นะ ‘พี่จูเนียร์’ ชอบคนใส่ใจ เขาให้ใจคนมากๆ เขาน่าจะมีความสุข ถ้าคนๆ นั้นให้ใจกลับ ‘พี่เจ็ท’ แพ้ทางคนฟันสวย เขาชอบคนยิ้มสวยด้วย ส่วน ‘พี่ภูมิ’ ผมว่าเขาชอบคนสบายๆ เหมือนเขานะ แบบเป็นเพื่อนกัน ‘เออร์วิน’ นี่ติสท์มาก คนที่ชอบน่าจะต้องเข้าใจเขามากๆ ทั้งการทำงานและการใช้ชีวิต ‘มิวอ้อน’ ชอบเล่นมุก ฉะนั้นต้องเก็ตมุกเขา มิวอ้อนชอบคนที่การกระทำน่ารัก ดูแลเอาใจใส่ ส่วน ‘แทด’ ชอบผู้หญิงเก่ง เพราะมีเสน่ห์ในสายตาของเขา ที่พูดมาทั้งหมดนี่ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่านะครับ (หัวเราะ) ส่วนผมเฮฮามาก สเป๊กคือคนตัวเล็ก สนุก สายลุย ไปเที่ยวปุบปับได้ อยู่ๆ ก็ขับรถไปทะเลกัน

Words: Sasi Akkomee
Photos: Somkiat Kangsdalwirun
Style: Anansit Karnnongyai

Related Articles

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ เราได้อธิบายความหมายและวิธีการใช้คุกกี้ของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือการเปิดเผย รวมถึงทางเลือกในการใช้คุกกี้ของเรา อ่านเพิ่มเติม