จรดสัญญาเป็น 1 ใน 12 สมาชิกศิลปินกลุ่ม 789 DEBUT GROUP ภายใต้สังกัด TADA Entertainment และ SONRAY MUSIC ไปหมาดๆ สำหรับ ขุนพล – ปองพล ปัญญามิตร หนึ่งในผู้เข้าแข่งขันออร่าทะลุจอจากเรียลลิตี้เฟ้นหาสุดยอดไอดอล 789SURVIVAL ซึ่งเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่กับการได้เดบิวต์ผ่านคอนเสิร์ตสุดพิเศษ 789 SPECIAL STAGE THE TIME CAPSULE ไปเมื่อวันที่ 22 – 24 กันยายนที่ผ่านมา
ขุนพลเป็นพี่ชายคนโตของบ้านและมักมีบทบาทที่โดดเด่นในการทำกิจกรรมต่างๆ ตั้งแต่ครั้งศึกษาอยู่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กระทั่งได้เป็นเด็กฝึกด้านการแสดงของนาดาว บางกอก พร้อมๆ กับโอกาสในการเป็นตัวละครสำคัญของ ‘แปลรักฉันด้วยใจเธอ’ ซีรีส์ที่ได้รับความนิยมถล่มทลายทั้งในและต่างประเทศ ก่อนเข้าร่วมเป็น 1 ใน 24 ผู้เข้าแข่งขัน 789SURVIVAL ที่เขากล่าวว่าเป็นประสบการณ์ล้ำค่าสำหรับชีวิต
“พระตั้งชื่อให้ว่า ‘สมปอง’ พอกลับถึงบ้าน คุณพ่อเพิ่งนึกได้ว่าเป็นชื่อหมาที่เลี้ยงไว้”
LIPS: ที่มาของชื่อเล่น ‘ขุนพล’ และชื่อจริงที่เน้นความเป็นผู้นำของ ‘ปองพล’ มาจากไหน
ขุนพล: คุณพ่อคุณแม่ผมมีความเป็นพุทธศาสนิกชนสูงมากครับ จริงๆ ชื่อแรกสุดคือ ‘หิริ’ ที่มาจาก ‘หิริโอตตัปปะ’ หมายถึงความละอายและเกรงกลัวต่อบาป แต่ต่อมาอาจกลัวลูกโดนเพื่อนล้อ เลยปรึกษาพระรูปหนึ่ง ท่านตั้งชื่อให้ว่า ‘สมปอง’ พอกลับถึงบ้าน คุณพ่อเห็นหมาที่เลี้ยงไว้ถึงเพิ่งนึกได้ว่าเป็นชื่อหมา (ยิ้ม) เลยให้คุณย่าตั้งให้ใหม่ คุณย่าเลือกเก็บคำว่า ‘ปอง’ ไว้และหาคำอื่นมาผสมจนได้ชื่อ ‘ปองพล’ โตขึ้นจะได้นำพาผู้คนไปในทางที่ดี แล้วชื่อเล่น ‘ขุนพล’ ค่อยตามมาครับ
LIPS: ความฝันตั้งต้นของเด็กผู้ชายสายวิทย์คืออะไร
ขุนพล: จริงๆ ผมไม่มีความฝันที่แน่ชัด เป็นเด็กวิทย์ – คณิตที่ไม่ชอบจำ แต่ชอบฟิสิกส์ การคำนวณ หรืออะไรที่ดูละเอียดๆ เลยคิดว่าเดี๋ยวคงเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่พอโตขึ้นเริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่ทาง หลังจากเข้าร่วม ‘ชุมนุมละคร’ ตอนอยู่โรงเรียนสวนกุหลาบฯ
จุดเริ่มต้นไม่ใช่เพราะอยากทำกิจกรรมนะครับ ช่วงนั้นผมแอบชอบผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งอยู่ต่างโรงเรียน (ยิ้ม) คิดแค่ว่าจะมีโอกาสไหนบ้างนะที่ทำให้เราได้เจอเขา จนรู้มาว่าชุมนุมละครจะมีการร่วมมือกับโรงเรียนอื่นๆ ซึ่งก็มีโรงเรียนของผู้หญิงที่ผมชอบ
ตอนแรกในหัวว่างเปล่าเพราะเข้ามาแบบไม่ตั้งใจ แต่พอได้เวิร์กช็อป ได้ละลายพฤติกรรมก็ทำให้เราได้เจอเพื่อนร่วมชุมนุมที่มีคาแรกเตอร์แตกต่างกัน เรารู้จักสังเกตคนมากขึ้น พอเริ่มเข้าใจคนอื่นก็ทำให้เราอยากด่ำดิ่งในศาสตร์นี้ต่อ เราสนุกกับการแสดง
พวกเราเป็นรุ่นแรกๆ ที่ทำละครเวทีประจำปีของโรงเรียนครับ ช่วงนั้นนอนน้อยมาก ต้องทำพร็อพ ทำฉาก เขียนบทกันเอง ผมขอเล่นเป็นตัวร้าย ‘ลูซิเฟอร์’ เพราะรู้สึกว่าบทพระเอกอัศวินที่ช่วยเจ้าหญิงดูคลิเช่เกินไป ผมอยากลองอะไรที่แปลกไปจากสิ่งที่เคยคิดว่าอยากทำ แต่สุดท้ายเรื่องนี้หักมุม ลูซิเฟอร์กลายเป็นพระเอก (ยิ้ม) อ้อ…สรุปว่าผู้หญิงที่ผมชอบไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมนี้นะฮะ แต่ถ้าไม่มีเค้าในวันนั้นก็ไม่มีขุนพลในวันนี้
“ผมแอบชอบผู้หญิงต่างโรงเรียน คิดแค่ว่าจะมีโอกาสไหนบ้างนะที่ทำให้เราได้เจอเขา ก็เลยไปเข้าชุมนุมละคร”
LIPS: นักแสดงที่ชื่นชอบในฐานะที่กำลังศึกษาในสาขาวิชาเอกสื่อสารการแสดงคือใคร
ขุนพล: ‘แอนดรูว์ การ์ฟิลด์’ ครับ ตอนเล่น The Amazing Spider-Man นี่แหละที่ทำให้ผมเริ่มชอบเขา การแสดงของแอนดรูว์มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองจนเราจำได้ เคมีกับนางเอกก็ดีมาก ถ้าเป็นพาร์ตการแสดง ผมก็อยากเป็นเหมือนเขาให้ได้ในสักวันหนึ่ง
LIPS: ก้าวแรกในวงการบันเทิงกับซีรีส์ ‘แปลรักฉันด้วยใจเธอ’ เป็นมาอย่างไร
ขุนพล: พี่ๆ แมวมองมาแคสต์ที่โรงเรียนครับ ผมก็เลยได้ไปเป็นเด็กฝึกในโปรเจกต์ NADAO ACADEMY ของนาดาวฯ ได้เล่นซีรีส์ ‘แปลรักฉันด้วยใจเธอ’ (นำแสดงโดยบิวกิ้น – พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล และพีพี – กฤษฏ์ อำนวยเดชกร) ฉากประทับใจที่สุดคือตอนบาส (ขุนพล) ส่งโอ้เอ๋ว (พีพี) หน้าบ้านเต๋ (บิวกิ้น) เป็นซีนอารมณ์ที่เล่นยากมาก ยิ่งได้ดูในจอผมยิ่งรู้สึกว่า ‘ไอ้บาสมันน่ารักดีเว้ย’ เป็นฉากเศร้าที่ผมภูมิใจว่าตัวเองทำได้แล้ว
ตอนไปร่วมรับรางวัล ‘ละครต่างชาติยอดเยี่ยมแห่งปี’ ที่งาน SEOUL INTERNATIONAL DRAMA AWARDS 2021 กับพี่พีพีและพี่บิวกิ้นที่เกาหลีใต้ ผมตื่นเต้นมากที่ได้เจอ ‘ชาอึนอู’ ซึ่งมาทำหน้าที่ประกาศรางวัล มีคนชอบบอกว่าผมหน้าเหมือนชาอึนอู แต่พอเจอตัวจริงแล้วผมว่าไม่นะ รู้สึกว่าโห…เขาหล่อมาก หล่อแบบจับต้องไม่ได้ เหมือนลอยมา (หัวเราะ) ผมก็ฝันไว้ว่าสักวันหนึ่งอยากหล่อลอยได้แบบเขาบ้าง
LIPS: เล่าถึงจุดเริ่มต้นในเส้นทางสายไอดอลสักนิด
ขุนพล: ช่วงเป็นเด็กฝึกนาดาว ผมแทบไม่มีเพื่อนเลย เป็นน้องเล็กสุด พี่ๆ เขามีผลงานกันมาก่อน ผมเลยไม่รู้จะคุยอะไร คิดในใจว่าสักวันหนึ่งอยากมีเพื่อนหรือรุ่นน้องที่อายุใกล้เคียงกันที่พอจะคุยกันได้ พอนาดาวฯ ปิดไปก็มีโปรเจกต์ใหม่ที่มีชื่อเล่นว่า ‘IDOL’ ขึ้นมา ตอนนั้นยังไม่รู้ว่ารูปแบบจะเป็นยังไง จะเป็นโครงการเด็กฝึกอีกรึเปล่า แต่ด้วยความที่ผมเป็นติ่ง NCT วงไอดอลเกาหลีและมีความฝันเล็กๆ ตรงนี้ก็เลยลองดูอีกสักครั้ง ยิ่งรู้ว่าดูแลโดยพี่ย้ง (ทรงยศ สุขมากอนันต์) ก็ยิ่งอุ่นใจ พอผ่านไปเรื่อยๆ ถึงค่อยมีชื่อ ‘789’ และเทรนนีก็เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นรายการ 789SURVIVAL อย่างที่ได้ชมกันครับ
แรกผมรู้สึกเกร็งๆ นะ เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนที่เข้ามาใหม่จะเป็นยังไง แต่พออยู่กันไปมันมีช่วงปรับตัว ไม่ได้คิดว่าใครเป็นพี่ ใครเป็นน้อง หรือต้องอายุใกล้กัน รู้สึกว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน 24 คน ที่เริ่มต้นด้วยกันและเรียนจบพร้อมกันในระยะเวลา 6 เดือน เราสนิทกัน เหมือนมีความผูกพันบางอย่างเกิดขึ้นชนิดที่ว่าถ้ารายการจบไปก็ไม่อยากทิ้งกัน
“มีคนชอบบอกว่าผมหน้าเหมือนชาอึนอู แต่พอเจอตัวจริงแล้ว ผมว่าไม่นะ เขาหล่อมาก”
LIPS: ถ้าชวนวง NCT มาจอยกับเราได้หนึ่งคน อยากชวนใครไปทำอะไร
ขุนพล: แน่นอนว่าเป็น ‘พี่มาร์ค NCT’ เมนผมครับ ทีแรกอยากชวนไปเตะบอลนะ เพราะเขาดูเป็นพี่ชายที่น่าพาไปเตะบอลด้วย ถ้าเตะบอลไม่เป็นก็จะชวนไปกินชาบูหมาล่า เพราะผมเคยดูคลิปพี่มาร์กสมัยเป็นเด็กฝึก เขาชอบกินอาหารจีนมากๆ
LIPS: ทักษะการแสดงเริ่มจากชุมนุมละคร แล้วทักษะร้อง – เต้นเริ่มต้นจากไหน
ขุนพล: ไม่รู้นับได้มั้ย พอเฟดจากชุมนุมละคร จำได้ว่าตอนนั้นโรงเรียนห้ามไว้ผมยาว (เกินทรงนักเรียน) แต่ผมเห็นรุ่นพี่ที่เป็นเชียร์ลีดเดอร์งานบอลจตุรมิตรฯ ไว้ผมได้ เราอยากไว้ผมบ้างก็เลยไปคัดลีด (หัวเราะ) เราน่าจะได้สกิลการเต้น การจับจังหวะ การเคลื่อนไหวร่างกายมา รู้สึกว่าตั้งแต่นั้นผมก็ชอบการเต้นมากขึ้น ชอบอะไรที่เป็นกรุ๊ปๆ มากขึ้น ได้วัฒนธรรมของการอยู่ร่วมกันแบบเพื่อน – พี่น้องที่ซ้อมดึกด้วยกัน เหนื่อยด้วยกัน พอผลลัพธ์ออกมาดี เราก็ยิ่งมีความสุขไปด้วยกัน
ตอนตัดสินใจเข้าร่วมโปรเจกต์ IDOL ผมบอกกับตัวเองว่าถ้าเข้ามาแล้วต้องจริงจัง ต้องตามเพื่อนๆ ให้ทัน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากประสบความสำเร็จในสักวันหนึ่ง
LIPS: จุดที่เริ่มรู้สึกว่า ‘เราก็ทำได้เหมือนกันนะ’
ขุนพล: ผมเทรนในโปรเจกต์ IDOL มาเกือบ 2 ปี ก่อนเริ่มรายการ 789SURVIVAL ช่วงแรกๆ ยอมรับว่ามองไม่เห็นภาพตัวเองเท่าไร เพราะเป็นช่วงเดียวกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งตอนแรกผมจะเข้าคณะวิศวฯ เลยเครียดมากที่ต้องฝึกร้องฝึกเต้นไปด้วย เหนื่อยจนท้อ แต่พอตัดสินใจใหม่และสอบเข้าคณะนิเทศฯ ได้ ทุกอย่างก็เบาลง มีเวลาฝึกมากขึ้น ช่วงนี้แหละที่ผมเริ่มสนุกกับการเต้น การร้อง และการเพอร์ฟอร์มบนเวที
LIPS: เส้นทางไอดอล VS การสอบเข้ามหาวิทยาลัย มีสักครั้งไหมที่รู้สึกสับสนลังเล
ขุนพล: เอาจริงๆ ผมเคยทะเลาะกับคุณพ่อหนักมากเรื่องนี้จนหนีออกจากบ้าน เพราะคิดว่ายังไม่น่าจะเคลียร์กันได้ แต่พอคุณพ่อกลับมาแล้วเห็นคุณแม่ร้องไห้ก็เลยต้องคุยกัน ผมบอกคุณพ่อว่าสักวันหนึ่งจะพิสูจน์ให้ได้ว่าสิ่งที่ผมเลือกไม่ได้เสียหายขนาดนั้น ผมไม่ได้เอาชีวิตตัวเองมาทิ้งกับสิ่งนี้ทั้งหมด คุณพ่อเงียบไปแต่ก็ยอมให้ลองดู ในตอนนั้นถึงเขาจะยังตึงๆ และไม่ได้ไว้วางใจเราขนาดนั้น แต่คนที่ซัพพอร์ตผม ขับรถไปส่งผมถึงที่ซ้อมทุกวัน คอยซื้ออะไรมาให้กินเวลาผมเหนื่อยๆ ก็คือคุณพ่อนั่นแหละ
พอ 789SURVIVAL ออนแอร์แล้วคุณพ่อได้ดู ผมก็รับรู้ได้ว่าเขาเริ่มเปิดใจนะ มีการทักไลน์หรือโทรมาถามว่าเป็นยังไงบ้าง เพราะตอนถ่ายรายการทุกคนไม่ได้กลับบ้าน จนสเตจสุดท้ายคุณพ่อมานั่งดูด้วย ผมดีใจมาก รู้สึกว่าคุณพ่อน่าจะปลดล็อกแล้ว
LIPS: เป็นคนที่ใช้ชีวิตแบบกำหนดเป้าหมายให้ก้าวไปหรือด้นสดตามสถานการณ์
ขุนพล: เมื่อก่อนผมเป็นคนชอบตั้งเป้าหมายนะ คาดหวังอะไรสักอย่างแล้วก็ก้าวเดินไปในเส้นทางนั้น เพราะอยากจะทำให้ได้ แต่พอเริ่มเข้าวงการจนถึงทุกวันนี้ ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นแนวอิมโพรไวซ์เสียมากกว่า ไม่ได้ตั้งเป้าอะไรขนาดนั้น เพราะอยากใช้ชีวิตอยู่กับแต่ละโมเมนต์โดยที่ไม่ต้องคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต
อย่างตอนเข้ามาใน 789SURVIVAL แรกๆ ผมกดดัน รู้สึกว่าต้องแข่งขัน แต่พออยู่ไปอยู่มาเราได้เจอสถานการณ์ต่างๆ ที่ทำให้ผูกพันกัน รู้สึกว่าการแข่งขันไม่ได้ทำให้เรามีความสุขก็เลยวางตัวเองลง แล้วหันมาโฟกัสกับการทำความรู้จักเพื่อนๆ ให้มากขึ้น
“ผมบอกคุณพ่อว่าสักวันหนึ่งจะพิสูจน์ให้ได้ว่าสิ่งที่ผมเลือกไม่ได้เสียหาย ผมไม่ได้เอาชีวิตตัวเองมาทิ้ง”
LIPS: 6 โจทย์ท้าทาย มิชชั่นไหนทำหายใจไม่ทั่วท้อง อาการไม่ปกติ
ขุนพล: มิชชั่นที่ 5 ปวดหัวสุดครับ ผมเป็น 1 ใน 2 ลีดเดอร์ที่ทุกคนต้องเลือกว่าจะอยู่กับลีดเดอร์คนไหน ถือเป็นช่วงที่หนักหน่วงมากเพราะเรายังไม่เคยทำงานกับเพื่อนๆ มาก่อนก็เลยต้องปรับจูนกัน อีกส่วนหนึ่งคือเราต้องคิดโชว์ คิดเสื้อผ้าเอง ฟีลเหมือนจัดมินิคอนเสิร์ต รวมถึงทำเบื้องหลัง คิด VTR เอง ฯลฯ ทุกอย่างใหม่มากสำหรับเราที่ไม่เคยมีประสบการณ์หรือความรู้มากพอ อย่าง VTR ผมก็ไม่รู้ว่าจะเอาตากล้องมาถ่ายหรือตัดต่อยังไง ต้องวิ่งไปถาม วิ่งไปหา ต้องดูภาพรวมทุกอย่าง มิชชั่นนี้เหนื่อยมากครับ ถามว่าผมขี้กดดันตัวเองด้วยมั้ย…ก็ใช่ครับ รู้สึกแบกรับอะไรหลายๆ อย่าง เราเป็นคนคาดหวังเยอะเวลาอยากได้หรืออยากทำอะไรให้สำเร็จ เลยยิ่งกดดันเข้าไปอีก
ถ้าไม่ถนัดที่สุดคือมิชชั่นที่ 2 ครับ ร้องเพลง ‘ลืมไปแล้วว่าลืมยังไง’ ของพี่เจฟ ซาเตอร์ แล้วก็เพลง ‘DRIVERS LICENSE’ ของโอลิเวีย โรดริโก เรามั่นใจเต้น มั่นใจแรป แต่สำหรับโวคัล เรารู้สึกว่าแค่พอร้องได้ พูดตามตรงตอนนั้นผมยังไม่มั่นใจขนาดนั้น พอได้ยินโจทย์ก็เลยกังวล สุดท้ายมันอุ่นใจตรงที่ว่าเพื่อนในกลุ่มช่วยเรื่องโวคัลได้ เราถามเขาได้ มิชชั่นนี้ทำให้ผมเรียนรู้ว่าการฝึกฝนซ้ำๆ ทำให้คนเราเก่งขึ้นได้จริงๆ จากที่ไม่เคยร้องเสียงสูงได้ แต่พอฝึกทุกวัน เดี๋ยวนี้เราแตะโน้ตสูงได้แล้ว
LIPS: ความรู้สึกและหน้าที่ของการเป็นเซ็นเตอร์เพลง LIMIT BREAK เป็นอย่างไร
ขุนพล: LIMIT BREAK เป็นเพลงธีมของ 789SURVIVAL ซึ่งหลักๆ ก็จะมีเมนร้อง เมนแรป เมนแดนซ์ ส่วนเซ็นเตอร์มีหน้าที่ในการพรีเซนต์เพลง ถ่ายทอดความหมายและมุมมองของเพลงนี้ครับ สำหรับผม LIMIT BREAK คือการปลดล็อกขีดจำกัดของตัวเอง แสดงความมุ่งมั่นในสิ่งที่เราสู้พยายาม เพื่อที่จะไปให้ถึงเป้าหมายครับ
“ผมชอบพูดกับตัวเองว่า ‘โอกาสมาน้อยมากนะ’ และมักพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง”
LIPS: ประโยคทองที่ใช้เจรจาหรือปลุกใจตัวเองในยามท้อแท้คืออะไร
ขุนพล: เวลาเราเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง พอทำไปเรื่อยๆ จะมีจุดหนึ่งที่รู้สึกว่าเรายังทำได้ไม่ดี เราต้องพยายามให้มากกว่านี้ ผมรู้สึกแบบนั้นทุกมิชชั่นเลย อาจจะด้วยเรามีเวลาแค่ 2 สัปดาห์ในการเตรียมโชว์ครั้งละ 2 – 3 เพลง ผมรู้สึกว่าเวลาฝึกซ้อมน้อยมาก มันเลยมีช่วงท้อว่าเราจะฝึกทันมั้ย แล้วต้องแข่งขันกันอีกเลยยิ่งกดดัน
ผมชอบพูดกับตัวเองว่า ‘โอกาสมาน้อยมากนะ’ แล้วโอกาสอันยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง อันนี้ดัดแปลงจากเรื่องสไปเดอร์แมนที่ผมชอบ (ยิ้ม) ผมมองสไปเดอร์แมนคล้ายๆ กับตัวเอง เขาได้พลังเยอะมากๆ เหมือนกับที่เราได้โอกาสมาทำสิ่งนี้ ต้องมีความผิดชอบมาเกี่ยวข้องมากขึ้น ต้องมีวินัยในการฝึกซ้อม การดูแลตัวเอง การใช้ชีวิต ฯลฯ ทำให้ผมคิดเสมอว่าเรายอมแพ้ไม่ได้
LIPS: ความพิเศษที่ห้ามพลาดใน 789 SPECIAL STAGE THE TIME CAPSULE คืออะไร
ขุนพล: เป็นคอนเสิร์ต 3 ชั่วโมงที่คุ้มค่ามาก เพราะพวกเราทั้งหมดจะกลับมาทำโชว์ใน 789SURVIVAL อีกครั้ง เหมือนเป็นการรีแคปว่าพวกเราผ่านอะไรกันมาบ้าง ต้องมาลุ้นกันว่าในคอนเสิร์ตจะมีความพิเศษอะไรอีก
LIPS: เพอร์ฟอร์แมนซ์สุดประทับใจ ดูซ้ำได้ไม่มีเบื่อล่ะ
ขุนพล: จริงๆ ผมชอบหมด ไม่ว่าจะเป็นโชว์ของศิลปินเกาหลี หรือศิลปินตะวันตกอย่างจัสติน บีเบอร์ แต่ถ้าชอบดูมากที่สุดในช่วงนี้เป็นคัมแบ็กโชว์ของวง TXT เพลง Opening Sequence ซึ่งใช้การเต้นสไตล์คอนเทมโพรารีที่ยากสุดๆ กับแนวเพลงฮิปฮอปอาร์แอนด์บี สมาชิกทั้ง 5 คน ทำออกมาได้ดีมากครับ ไลน์เต้นสวย เป็นโชว์ที่มีเสน่ห์
LIPS: สิ่งที่กำลังอิน นอกเหนือจากงานในวงการบันเทิงคืออะไร
ขุนพล: ผมเริ่มหานิยายอ่าน คือพอเราใช้ร่างกายเยอะหรือใช้ชีวิตนอกบ้านบ่อยๆ พอมีเวลาได้พัก ผมก็ชอบที่จะอยู่กับตัวเองเงียบๆ สิ่งที่ทำบ่อยมากในช่วงนี้คือการอ่านหนังสือ มีอะไรให้อ่านผมก็หยิบมาอ่านหมดเลย เวลาจับกระดาษแล้วรู้สึกดี รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ทำให้เราสงบได้ อย่างเรื่องล่าสุดที่อ่านเป็นนิยายเกี่ยวกับเด็กอินเดียที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐฯ ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความงดงามบางอย่างอยู่ในความเป็นมนุษย์
LIPS: ที่มาของการใช้รูป ‘ดวงจันทร์’ เป็นอิโมจิประจำตัว
ขุนพล: ตอนนั่งรถกลับบ้านช่วงเป็นเด็กฝึก IDOL ผมมักจะมองท้องฟ้าแล้วก็ดวงจันทร์ทุกคืน ไม่ว่าจะ 3 – 4 ทุ่ม หรือตี 1 – 2 แม้กระทั่งออกจากบ้านในตอนเช้าก็ยังเห็นลางๆ บนท้องฟ้า เหมือนดวงจันทร์คอยอยู่เป็นเพื่อนผมตลอดเส้นทางเดินของชีวิตช่วงหนึ่ง
Words: Sasi Akkomee
Photos: Tara Patumnakul
Style: Chris Kanisorn
Nails: In the Garden Nail Spa
Makeup: Kwankhao Sumalee, Praeskow Sangchai
Hair: GUIDE, Worawalan Permkitpaisarn