Search
Close this search box.
Search
Close this search box.
HOME / Interview / People

‘ณิชา – นัท กิจจริต’ ในบทเธอเปลี่ยนไป เขาไม่ยอมเปลี่ยนใจในหนัง ‘14 อีกครั้ง I Love You Two Thousand’

Interview / People

หนังไทยช่วงนี้พร้อมใจกันย้อนความหลัง นั่งไทม์แมชีนกลับไปยุค (ผู้กำกับยัง)วัยใสในอดีต และหนึ่งในหนังไทยรสชาติฮีลใจล่าสุดก็คือ  ‘14 อีกครั้ง I Love You Two Thousand’ เรื่องราวเมื่อครั้งอายุ 14 ของคนที่โดนวัยผู้ใหญ่โบยตีจนปอดบาน 

เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นนักแสดงสองน. น่าจับตา ‘ณิชา – ณัฏฐณิชา ดังวัธนาวณิชย์’  และ ‘นัท-ณัฎฐ์ กิจจริต’ ที่ละวางบทดราม่าเจ้มจ้น มาเป็นมนุษย์ธรรมดาที่คนดูไม่เคยเห็นทั้งสองในบทบาทเช่นนี้มาก่อน หนุ่มสาวที่รักกันเงียบๆ อ่านการ์ตูน เล่นมุข และ…อกหักเพราะรักเธอบ้างไรบ้าง 

LIPS: คาแรกเตอร์ของ ‘กิ๊บกับต้อ’ ในเรื่องเป็นยังไงบ้าง

ณิชา: เรื่องต่างๆ ในชีวิตที่กิ๊บกำลังเจออยู่ในตอนนี้ เหมือนเขาแบกไว้หนักมาก เลยเป็นคนที่มีความตั้งใจทะเยอทะยานในชีวิตที่อยากจะเป็นคนเก่งให้ได้ ท่าทางกิ๊บจะติดบอยเหมือนผู้ชายนิดนึง ผมยุ่งฟูได้ไม่ซีเรียส เป็นผู้หญิงที่ง่วงตลอดเวลา ชอบความสงบ แต่ต้องกลับมาเจอกับพวกเด็กๆ แก๊งหัวหมาของน้องเรา มันเลยรู้สึกว่าวุ่นวายมาก ต้องมีความเป็นผู้ใหญ่เวลาอยู่กับน้อง แตกต่างระหว่างกิ๊บ กับตัวณิชาคือ กิ๊บเขาไม่ belong ที่ไหนเลย แต่คนเดียวที่เขา belong คือต้อ 

LIPS: ซึ่งต้อรับบทโดยนัท เขาเป็นคนแบบไหน ทำไมผู้กำกับบอกว่าเป็นบทที่ไม่เคยเห็นนัทเล่นมาก่อน 

นัท: ต้อเป็นหนุ่มขลุง (อำเภอหนึ่งในจังหวัดจันทบุรี) ที่ไม่มูฟออน เขาจะวนเวียนในตัวเลข 14 นี่แหละ ตอนที่ผมได้รับบทนี้ น้าเป้ (นฤบดี เวชกรรม ผู้กำกับ) บอกว่าตัวละครต้อมีความเป็นมนุษย์สูงมาก เขาจะคอยมองสิ่งต่างๆ ตลอด จะเล่นมุขจะคอยทำให้บรรยากาศเบาขึ้น ผมพยายามมองคนที่มีอารมณ์ทำนองนี้รอบตัว

หลักๆ เลยที่ตัวละครต้อเริ่มทำงานกับผมจริงๆ  คือเรื่องการไม่ค่อยมูฟออน ไม่ค่อยทิ้งกับเรื่องราวอะไรเท่าไร ถ้าสังเกตตั้งแต่การแต่งตัว ก็จะเห็นว่าต้อใส่แต่รองเท้าเดิมๆ  ใส่รองเท้านักเรียนมาตั้งแต่ตอนเรียนยังไง ตอนนี้ก็ยังไม่มูฟออนจากมัน หรือแม้แต่ความรักของเขากับเพื่อน เขายังวนอยู่ในลูป ต้อมีคาแรกเตอร์ประมาณนั้น

“เมื่อ 2 ปีที่แล้ว  ขับรถไปรับลูกชายอายุ 14 ที่โรงเรียนเขานั่งอยู่ข้างๆ ตอนติดไฟแดงอยู่หน้าโรงเรียน อยู่ๆ ก็มีคนหนึ่งเดินมา เหมือนเขาจะข้ามถนน รถเราอาจจะเลยล้ำที่จอดไปนิดหนึ่ง เขาก็เลยเดินมาแปะที่กระจกข้าง เราก็ตกใจเขาทำอะไร เราก็มอง เขาก็มองลูกชาย แล้วก็ยืนยิ้มอยู่แบบนั้น เราก็อ๋อ.. เราคงไปขวางทางเขา แต่เขาก็ไม่ว่าเขาก็ยืนยิ้มอยู่แบบนั้น แล้วเอามือมาแปะกระจกรถด้วย เฮ้ย…พอดูชัดๆ เขาคือ “เสก โลโซ” มันเป็นสัญญาณว่า ลูกเราก็อายุ 14 นั่นก็เสกโลโซ เพลง 14 มันเหมือนคำว่า 14 อีกครั้งมันผุดขึ้นมาในหัวเลย นั่นแหละเป็นจุดเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้” เป้ นฤบดี เวชกรรม ผู้กำกับ 

LIPS: มารับบทเรื่องนี้ มีการทำการบ้านยังไงบ้าง

ณิชา: กิ๊บคือนิ่งมากแบบเบื่อโลกมาก อาจจะเพราะสิ่งที่เขากำลังเจอด้วย เลยพาให้เขาเป็นคนแบบนั้น น้องๆ เขาก็จะวุ่นวายตามเนื้อเรื่องเขา แต่เวลานอกงานก็จะจับกลุ่มกันเล่นอะไรมากขึ้น เหมือนแก๊งเด็กซนทั่วไป 

ตอนแรกไม่มีใครกล้าเล่นกับหนูเลย มีอะไรเขาก็จะถามพี่นัทอย่างเดียว ยกเว้นภูผา (อินทนนท์ แสงศิริไพศาล รับบทเป็น กัน)  เราต้องเล่นเป็นพี่น้อง แต่เวลาเข้าฉากนะ โห…ไปเอาความวุ่นวายนี้มาจากไหนก็ไม่รู้ ด้วยวัยของเขาเหมือนชื่อหนังเลยค่ะ อายุประมาณ 14 พอดี ก็จะอารมณ์นี้ มีเพื่อน มีกลุ่มก้อนพากันเล่นอะไรวุ่นวายไปหมด กองถ่ายก็มีสีสันค่ะ

นัท: เราเวิร์กชอปในแง่ของโครงสร้างความสัมพันธ์เป็นยังไง แต่หลักๆ น้าเป้ (ผู้กำกับ) บอกว่า สำคัญมากเหมือนกันที่จะมาหาโมเมนต์พิเศษที่หน้างาน เรื่องนี้น่าจะเป็นครึ่งๆ เลยที่เวิร์กชอปประมาณหนึ่ง และเราก็มาหวังผลหน้างานด้วยส่วนหนึ่ง 

ผมรู้สึกว่าต้อเป็นอะไรเล็กๆ ที่เราเอาไว้เล่นกับเพื่อนในชีวิตจริงของผม แต่รอบนี้เหมือนเราต้องถ่างออกมาเป็นหนึ่งชีวิต ความรู้สึกผมเหมือนต้องเล่นมุข ต้องเอนเตอร์เทนตลอดเวลา มันเหนื่อยและขัดกับธรรมชาติของผมนิดหนึ่งครับ 

ถามว่าเรามีเหลี่ยมนั้นเหมือนกันไหม ก็มีนะ แค่ว่ามันจะออกมาสั้นไม่มากเท่ากับที่เป็นต้อ พอเป็นต้อต้องใช้โหมดนี้ตลอดเรื่องเลย แต่ในแง่หนึ่ง ผมกำลังมองหาบทแบบนี้อยู่ด้วย จากที่ก่อนหน้านี้เราเล่นแต่บทเครียดๆ เดี๋ยวเป็นนักกีฬา (app war แอปชนแอป) เดี๋ยวเป็นอาชีวะ (4 kings อาชีวะยุค 90) มันเครียด ซีรีส์ที่เพิ่งปิดกล้องไปก็เครียด โชคดีที่พอมาถึงเรื่องนี้มันได้วางทุกอย่าง แล้วหายใจหายคอ สบายๆ 

LIPS: เรื่องนี้ณิชากับนัทร่วมงานด้วยกันครั้งแรก เป็นยังไงบ้าง

ณิชา: ถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่แรก รู้สึกว่าพี่เขาทางไหนเนี่ย ไม่เคยเจอกันเลย เคยเห็นผลงานเขามาก็จะรู้ว่าเขาเป็นคนตั้งใจทำงานมาก พอร่วมงานกันจริงๆ เขามีโหมดติงต๊องกว่านั้น สนุกทุกครั้งที่ได้เข้าฉากกับพี่นัท เพราะณิชาจะคาดเดาอะไรไม่ได้เลยว่าพี่นัทจะส่งอะไรมา เคยคุยกันตั้งแต่แรกว่าส่งมาเลยเดี๋ยวณิชาตั้งรับเอง ต้องตั้งสติด้วยนะไม่งั้นก็จะหลุดขำ เขาเพิ่มเสริมตลอด แล้วน้าเป้ก็ปล่อยให้เล่น จนน้าเป้บอกว่า “แล้วแต่นัท” ได้ความสดหน้างานไปเยอะเลยค่ะ ต้องอดทนกลั้นขำให้อยู่ ตรงนี้แหละที่ยากค่ะ 

ในเรื่องคาแรกเตอร์เรากับพี่นัทต่างกันมาก ของเราจะนิ่งเครียดกับชีวิต แต่ของเขามันคือล่องลอยด๊อกแด๊กไป แล้วเวลาเขาส่งอะไรมาตัวเราห้ามหลุดขำ เรารู้ละว่าเข้ากับคนนี้ต้องตั้งสติเยอะมาก 

นัท: จำได้ว่าเจอณิชาครั้งแรกเจอที่วันฟิตติง และวันเวิร์กชอป มีกิจกรรมที่ทำร่วมกันคือ ให้เราสลับกันเล่าเรื่อง แล้วให้ทายว่าเรื่องที่เล่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก เหมือนเป็นการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน แล้วผมทายณิชาผิด 100 % เลย เพราะทุกเรื่องที่เขาเล่าขัดกับสิ่งที่เรามองไว้ คือไม่คิดว่าณิชาจะมีมุมนี้ ความย้อนแย้งตรงนี้เป็นอะไรที่ตลกดี เพราะคาแรกเตอร์เขามีความดุ แต่ข้างในคือ…ใช้ได้ (ลากเสียง) มีอะไรคาดไม่ถึงเหมือนกัน

LIPS: นิยามคำว่าใช้ได้ของณิชาหน่อยสิ 

นัท: แสบครับ แล้วก็มีท่าฮัดเช้ยที่ตลก เขาจะโยกทั้งหัว และเขาชอบแกล้ง แต่ข้อดีของณิชาก็คือ ทุกคนที่เขาแกล้งไม่มีใครโทษเขา เขาไม่ใช่คนที่น่าสงสัย เป็นพวกเด็กๆ เป็นผม เขารอดพ้นจากคดีพวกนี้ไปเยอะ อาจเป็นเพราะณิชานิ่งได้เร็ว แต่พวกผมพิรุธเยอะไปหมด

“กลุ่มเด็กๆ อายุ 14 ที่มาเล่นเป็น ‘แก๊งหัวหมา’ ยากมาก เหมือนมันงมเข็มในมหาสมุทร มันเป็นส่วนที่ยากที่สุดเลย เริ่มจากให้เด็กๆ ส่งรูปกันมาจากทั่วประเทศ เด็กกลุ่มนี้อายุ 14 เริ่มมีความรักเริ่มอยากจะลองของ อยากจะเฮี้ยว อยากจะเป็นผู้ใหญ่ อยากซ่า ต้องแคสต์เอาตัวเขาออกมาให้ได้ เรียกว่า80% เลยนะที่มันตรงกับความคาดหวัง น้องๆ อาจจะสดใหม่ สำหรับภาพยนตร์ แต่ในความธรรมชาติของเขาทุกคนที่ได้มา มันตรง มันเหมาะ” เป้ นฤบดี เวชกรรม ผู้กำกับ

LIPS: นัทมีความเชื่อมโยงกับจันทบุรี เพราะคุณพ่อก็เป็นคนจันทน์ บทต้อเป็นคนจันทน์ และกองถ่ายก็ไปถ่ายทำกันที่เมืองจันทน์ด้วย 

นัท: จริงๆ เริ่มรู้สึกอินตอนมาถึงที่จันทบุรี ตอนแรกผมนึกไม่ออกว่า มนุษย์ลักษณะนี้โตมาในแวดล้อมแบบไหน ต้อต้องยังไง ความเจ๋งคือ มาที่นี่เราได้เจอกับพี่ต้อตัวจริงด้วย คิวที่อู่ซ่อมรถ พี่ต้อเอากีต้าร์มาให้เล่น เขาคือทุกอย่างที่น้าเป้เล่าให้ฟัง 

มีอยู่ซีนหนึ่งที่พี่ต้อตัวจริงมาร่วมซีน ในเรื่องผมต้องเดินมาท้ายสุด ผมก็รู้ละว่ามันไม่ได้หวังผลอะไรหรอกกับซีนนี้ เพราะเป็นการเล่นกันท้ายซีนละ ผมก็เล่นเอาสนุกเลย เขายื่นไอศกรีมให้ และเราต้องแกล้งทำตก ในบทมีแค่นั้น เขายื่นมาตามบทแล้วก็ทำตก ผมก็เอาเลย เฮ้ย…รู้ป่าวว่าต้อโมโหร้ายนะ เขาสวนขึ้นมาเลยว่า เปลี่ยนจากโมโหเป็นเบอร์โทรได้ไหม เนี่ยคือพี่ต้อตัวจริง แกทำทุกอย่างให้ซอฟต์ลงได้ 

พี่ต้อแกมาเล่นโดยไม่ได้เข้าใจกล้องเข้าใจซีน แต่เขามีเซนต์ในการทำอย่างนี้เลย ผมก็เลยโอเค เรามาถูกทางละ แปลกดีครับ มันสนุกขึ้นเรื่อย ๆ 

แล้วแปลกไหม คนแบบพี่ต้อตัวจริงก็มีบางอย่างเหมือนพ่อผม อย่างป๊าผม เป็นมนุษย์ที่สามารถเอาถั่วฝักยาวใส่ไว้ในฟัน แล้วก็อมไว้อย่างนั้นเพื่อรอไปเจอเพื่อนตอนกินข้าว เป็นคนที่ลงทุนกับการทำอะไรแบบนี้ ซึ่งน้าเป้ให้เซนส์มาแบบนั้นเหมือนกัน พวกการแบบตั้งใจเล่นมุก ช่วงหลังมาผมคุยกับแกเยอะขึ้น อย่างเรื่องเตะบอล ยิ่งรู้สึกว่าน้าเป้เหมือนปาป๊ามาก ก็ไม่รู้ว่าชายชาวจันทบุรีอารมณ์นี้กันเยอะไหม

แก๊งหัวหมา เด็กผู้ชาย 4 คน “กัน ต่าย ม่อน วัด” (ภูผา-อินทนนท์ แสงศิริไพศาล, เล็ก-ธีรเวช สุภาวงษ์, โยชิ-สุริยาวิชญ์ ถนอมชัยสนิท, วีเจ-นพรุจ ตันธนวิกรัย) และเด็กผู้หญิงสองคน คือ “ซาร่า” (โมเน่ต์ BNK48 – ภาริตา ริเริ่มกุล) กับ “ผิง” (แฟร์รี่-กิรณา พิพิธยากร) คือตัวแทนเด็ก 14 เรารู้สึกว่าเด็กอายุ 14 กล้าคิด กล้าถาม กล้าตัดสินใจ ขณะที่ผู้ใหญ่เคยผ่านการใช้ชีวิต ความเจ็บ ความทุกข์ เราอาจจะกลัวมากขึ้น มันจุดประกายออกมาเป็นเรื่อง ‘14 อีกครั้ง’” เป้ นฤบดี เวชกรรม ผู้กำกับ

LIPS: ตอนอายุ 14 แบบในหนัง ณิชากับนัทมีวีรกรรม หรือมีอะไรที่จดจำไว้เป็นพิเศษบ้าง

ณิชา: ตอนหนู 14 ก็มีนะหนีเที่ยวอยู่กับเพื่อน ติดเพื่อน คือต้องการเพื่อนตลอดเวลา ไปเที่ยวเดินเล่นหน้ามหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่ถึงขนาดในหนังนะคะ แค่ต้องการอยู่กับเพื่อน ต้องการทำอะไรสนุกๆ  ไม่มีชื่อแก๊งไม่มีคำมั่นสัญญาอะไร แต่มีเพื่อนที่จำได้ตอนอายุ 14 แก๊งเพื่อนน่าจะประมาณ 12 คน เยอะมาก ตอนเด็กหนูจะเล่นตี่เล่นเตย รู้จักไหมคะ ส่งเสียงตี่แล้วลากกันไป เล่นเตยที่มันเป็นด่านๆ ในโรงเรียนพวกหนูเล่นกันจนโตดึงกันเสื้อขาดเลย 

จำได้ว่าพวกหนูยังเล่นอะไรกันแบบเด็กน้อย เล่นบอลระเบิดขยำกระดาษปาใส่กันจนถึง ม.3 – ม.4 ก็ค่อยเลิกเล่นอะไรพวกนี้  แล้วก็หนีเที่ยวห้าง ไปหน้ามหาวิทยาลัย หลังมหาวิทยาลัย อยู่เชียงใหม่ก็มีแอบขึ้นรถแดงไปเที่ยวกับเพื่อน ไม่ค่อยมีวีรกรรมอะไรโหดเท่าไร หนูไม่ใช่คนที่โลดโผนขนาดนั้น พ่อแม่ก็รู้ค่ะว่าหนีเที่ยว เพราะว่าพ่อกับแม่นี่แหละที่เป็นคนจับได้  โกหกไม่เนียนไง 

นัท: ช่วงนั้น ม.2 -ม.3 น่าจะได้ เป็นช่วงคาบเกี่ยว กำลังเรียนอัสสัมชัญ และกำลังจะโดนโยกไปเรียนต่อที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย ช่วงอายุ 13 – 16 ได้ เป็นช่วงที่เราทำให้ตัวเองเป็นคนตัวเล็กที่สุด เงียบที่สุด เพราะเราอยู่หลายสภาพแวดล้อม เราย้ายจากชายล้วนไปอยู่โรงเรียนสห ย้ายจากสหไปอยู่โรงเรียนกับฝรั่ง จากฝรั่งไปอยู่มหาวิทยาลัย เป็นช่วงที่เปลี่ยนผ่านเยอะ วัย 14 ของผมคือการทำยังไงก็ได้ ให้มันผ่านไปง่ายๆ ไม่อยากเด่นมาก เดี๋ยวมีปัญหา เป็นการปรับตัวซะเยอะ ไม่ค่อยรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างช่วงนั้น 

พอมาเล่นเรื่องนี้ ผมมองย้อนกลับไปยังนึกไม่ออกเลยว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงอายุนั้น จำได้ว่ามันเป็นการเดินทางมาก เป็นการแพลนว่า ต้องเล่นกีฬาจะได้เข้ากับเพื่อนแก๊งนี้ เป็นวัย 14 ที่ไม่สนุกเลย ผมเชื่อว่ายังมีวัย 14 แบบผมอีกเยอะนะ ที่ผ่านเรื่องราวมาแบบเงียบ ๆ วัยรุ่นช่วงนั้นของผมไม่ค่อยแซ่บ มีเด็กสักคนหนึ่งในหมู่นักแสดงนี่แหละ เราเคยคุยกันเรื่องนี้ แล้วน้องบอก ‘พี่ไม่แซ่บ’ ใช่ครับ ผมไม่แซ่บ (หัวเราะ)

LIPS: มองความสัมพันธ์ระหว่างกิ๊บกับต้อในเรื่องนี้ยังไงบ้าง

ณิชา: ชอบนะคะ เป็นความสัมพันธ์ที่บาลานซ์กันดี ถ้ากิ๊บกับต้อได้คบกันมาเรื่อยๆ มันคงเป็นความสัมพันธ์ที่แฮปปี้ดี ถึงกิ๊บจะเป็นคนทะเยอทะยาน แต่สุดท้ายเขาได้ไปลองแล้วมันไม่ใช่ พอเขากลับมา ต้อก็ยังอยู่ที่เดิม บางคนอาจจะมองว่า ต้อไม่โตเลย ไม่ก้าวหน้า จะไม่ทำอะไรเลยเหรอ มีอะไรให้พึ่งพาได้บ้างไหม แต่จริงๆแล้วต้อมีความมั่นคงในความรู้สึกของตัวเอง เขามีความสุขเขาพอใจแค่ตรงนี้ มันคือความมั่นคง ถ้าเป็นผู้หญิงคนนึงที่กำลัง lost หรือหาอะไรไม่เจออยู่ แล้วกลับมาเจอแบบนี้ มันก็คงเป็นอะไรที่ เป็นโชคดีของเขาทั้งคู่

นัท: ผมคิดเรื่องนี้บ่อยเหมือนกันนะ ว่าความสัมพันธ์ของต้อกับกิ๊บเป็นความรักแบบไหน ถ้าได้ดูหนัง ถ้าได้มีโอกาสอ่านบทจะตีความได้เยอะ ทำไมผมถึงไม่ยอมปล่อยเขาไปสักที ทำไมยังมูฟออนเป็นวงกลม ต้อจะตกอยู่ในมุมมองความสัมพันธ์แบบไหน เชื่อว่าสิ่งที่คนที่เรารักเป็นอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา ต้อเป็นคนที่แบบ ‘กิ๊บ กลับมาบ้านเราเถอะ กลับมาใช้ชีวิตแบบที่เราโตมา’ 

ต้อจะคิดตลอดว่า การที่เขาอยากให้กิ๊บอยู่ที่ขลุงไปนานๆ อยากให้กิ๊บกลับมาอ่านการ์ตูนเหมือนตอนเด็ก ๆ เป็นเพราะว่าต้อเห็นเวอร์ชันที่แฮปปี้ที่สุดของกิ๊บไปแล้ว จะมองว่ามันไม่มูฟออนก็ได้ คือเราก็ไม่รู้ว่าที่กรุงเทพฯ กิ๊บไปเจออะไรมาบ้าง เราเห็นความเศร้าบางอย่าง ผมว่ามันไม่แปลกที่ทำให้ต้อมีความคิดต่อกิ๊บแบบในหนังที่สื่อสารออกมา มันเป็นความพยายามที่จะรักษา หรือเอากิ๊บคนเดิมคืนมา 

ซึ่งมองย้อนออกมาไกลๆ ก็ไม่ได้เป็นวิธีการมองความรักที่ถูกต้องเสียทีเดียว แต่ผมว่ามันทำให้ผมทนดี ผมเชื่อว่ามีคนหลายคนที่ไม่ได้มีความคิดต่อความรักเหมือนในหนังสือที่เข้าใจอย่างครบถ้วน ผมว่าต้อเป็นหนึ่งในคนที่ก็มีความคิดแหว่งๆ ในความรักเหมือนกัน เขาอยู่ที่ขลุง เสพสื่อแบบนี้ มีแต่ความคิดแบบนี้ ไม่แปลกที่เขาจะประกอบร่างความคิดของต้อมาได้ประมาณนี้ ในเมื่อเขาโตมาไม่เหมือนเรา เขายังโดนล้อมด้วยสื่อที่ไม่เหมือนเรา มันน่าสนใจมากที่จะบอกว่า อันนี้คือความสัมพันธ์ที่ถูกต้องนะ อันนี้ผิด น่าสนใจครับว่าคนจะคิดต่อไปยังไงหลังจากมาดูหนังเรื่องนี้ 

LIPS: เราเคยผ่านอายุ 14 มาก่อน มีอะไรอยากบอกน้องๆ วัยรุ่นที่ก้าวเข้าสู่วัย 14 แบบในหนังบ้างไหม

ณิชา: วัย14 เป็นช่วงเวลาที่เรามีเพื่อนมีสังคม เราสนุก เราเต็มที่กับมัน ได้เล่นให้สุด หาตัวเองให้สุดในตอนนั้น เพราะเดี๋ยวม.4 ก็ต้องเลือกสายแล้ว เก็บเกี่ยวความรู้สึกระหว่างทางนั้นให้ได้เยอะที่สุด 

เพราะช่วงวัยหนึ่งพอเราโตขึ้น หลายๆ อย่างจะบังคับให้เราต้องรับผิดชอบมากขึ้น คิดมากขึ้น นึกถึงคนอื่นมากขึ้น แต่เวลาตอนนั้นชีวิตเรามีแต่เรียน กลับบ้านแล้วก็เพื่อนเลยรู้สึกว่าเอนจอยให้เต็มที่ อยากทำอะไรทำ อยากลองอะไรลอง ตราบใดที่ไม่ทำร้ายคนอื่น และต้องรักตัวเองด้วยสนุกกับชีวิตให้เต็มที่ 

พอมาทำงานแล้วก็นึกถึงวัยนั้นเหมือนกันนะ อย่างที่หนูเอาตัวเองไปเรียนภาษาที่อังกฤษ จริงๆ มันไม่ใช่แค่เพราะแค่อยากไปเรียนเพิ่มเติม แต่อยากไปใช้ชีวิตไม่ต้องคิดอะไร อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบนั้น เหมือนอยากปล่อยสมอง อยากให้น้องๆ  ถ้าเก็บเกี่ยวได้เยอะเท่าไรก็เต็มที่เลยดีกว่า

LIPS: นัทล่ะ อยากจะบอกอะไรน้องๆ ที่ยังไม่แซ่บตอนนี้ 

นัท: ทุกชอยซ์ของการกระทำมันได้อย่างเสียอย่าง อย่างเราไม่แซ่บไปซะทุกเรื่อง เราก็ไม่ต้องลองอะไรมันทุกเรื่องทุกอย่างหรอก แต่ก็มีพาร์ตเพื่อนกลุ่มที่เรียนมาทำอะไรร่วมกันมา ผมเชื่อว่ายังมีเด็กแบบผมตั้งเยอะแยะ มีผู้ใหญ่อย่างผมอีกเยอะแยะ ถ้าจะแนะนำน้องเพียงแค่ว่า รับผิดชอบกับราคาที่ตัวเองต้องจ่าย เช่น ทุกวันนี้ผมไม่ได้โหยหาในการย้อนกลับไปทำให้วัย 14 มันแซ่บขึ้น จะต้องกินเหล้าสูบบุหรี่มาตั้งแต่เด็ก จะต้องมีประสบการณ์ครบถ้วน ดังนั้น ณ วันหนึ่ง เมื่อเรากลับมาเจอกับเพื่อนๆ อ๋อ นายผ่านเรื่องนี้มาเหรอ เราเจอเรื่องนี้มานะ มาแชร์กันได้อยู่ดีในความเป็นเพื่อน 

แต่ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนที่ไม่ได้ทำแล้วจะมีปัญหา ถ้าฉันไม่ได้ลองอันนี้แล้วฉันจะเสียดาย ผมว่าก็ลองได้นะ แค่ว่าต้องรับผิดชอบกับมัน เราทำอะไรลงไปก็ต้องมีราคาที่เราต้องจ่าย ผมไม่เชื่อเรื่องของการต้องมีแบบแผน ผมแค่เชื่อว่าทำอะไรก็ได้ แต่ต้องรับผิดชอบ และต้องมั่นใจว่าราคาของมันคืออะไร 

Words: Suphakdipa Poolsap
Photos: Somkiat Kangsdalwirun / SahamonkolFilm 

Related Articles

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ เราได้อธิบายความหมายและวิธีการใช้คุกกี้ของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือการเปิดเผย รวมถึงทางเลือกในการใช้คุกกี้ของเรา อ่านเพิ่มเติม