นับเป็นความภาคภูมิใจของวงการแฟชั่นไทยอย่างที่สุด เมื่อนางแบบสาวผู้มากับใบหน้าที่เก๋ล้ำนำเทรนด์ในทุกซีซั่นอย่าง แจน–ใบบุญ อรุณปรีชาชัย ได้เดินเฉิดฉายบนรันเวย์แบรนด์ระดับตำนานอย่าง Burberry ในลอนดอนแฟชั่นวีคซีซั่น Spring/Summer 2020 และไม่ใช่ว่า เดินแค่โชว์เดียวแล้วก็เงียบหาย แต่เธอยังได้รับความไว้วางใจจากดีไซเนอร์อีกหลากหลายแบรนด์ หนึ่งในนั้น คือ แบรนด์ดังสัญชาติอิตาเลียนอย่าง Dolce & Gabbana ก็ยังเลือกใช้เอเชียนลุคที่แสนจะยูนีคของเธอในการพรีเซ็นต์เสื้อผ้าในคอลเล็กชั่น Spring/Summer 2020 ด้วยเช่นกัน และในซีซั่นถัดไปเธอก็ยังได้เดินเปิดโชว์ให้กับ Kenzo คอลเล็กชั่น Fall/Winter 2020 และอีกหลายแบรนด์ชั้นนำในลอนดอนแฟชั่นวีค
ความฮอตของนางแบบไทยผู้นี้ส่งผลให้เธอได้เซ็นสัญญากับเอเจนซี่ระดับโลกอย่าง Wilhelminaได้มีโพรไฟล์ประดับบนหน้าเว็บไซต์ models.com แบบที่นางแบบแทบทุกคนใฝ่ฝันถึงทุกวันนี้นางแบบสัญชาติไทยเบสอยู่ที่ลอนดอน และเดินสายแคสต์งานตามห้องเสื้อแบรนด์ต่างๆ โดยในช่วงต้นปีนี้เธอเดินทางไปแคสต์ทั้งมิลานแฟชั่นวีค ปารีสแฟชั่นวีค และลอนดอนแฟชั่นวีค อันเป็นฐานที่มั่นของเธอ
“โดยปกติแล้วช่วงแฟชั่นวีคเราจะต้องเดินทางไปแคสต์งานวันหนึ่งประมาณเกือบ 20 ที่ค่ะ โดยเรามีเวลาทำให้ casting director เขาจดจำเราได้แค่ 5 นาทีเท่านั้นค่ะ เพราะแต่ละแห่งมีคนไปแคสต์เยอะมาก เข้าไปปุ๊บเขาจะมีระบบรันเร็วมาก พอยื่นพอร์ตโฟลิโอให้เขาดูปุ๊บเขาก็จะถามว่า ชื่ออะไร อายุเท่าไร บางคนที่สนใจเราหน่อยก็จะถามว่ามาจากไหน แล้วก็ลองให้เดินให้ดูหน่อยสิ แค่นี้ค่ะ
…ถ้าเขาไม่ถามอะไรเราเลย แจนก็จะพูดแนะนำตัวออกไปเลยว่า “My name is Jan. I’m from Thailand” พูดไปก่อน เพราะวันหนึ่งเขาแคสต์นางแบบตั้งหลายคน เขาก็ไม่มานั่งถามหรอกว่า คนนี้มาจากไหน ซึ่งส่วนใหญ่เขาจะคิดว่า แจนเป็นคนจีนน่ะคะ แต่พอพูดว่า เรามาจากไทยแลนด์เขาก็จะชวนคุยมากขึ้น ก็เปิดโอกาสให้เราได้คุยกับเขา ทำความรู้จักกันมากขึ้น”
แจนยังเล่าให้เราฟังต่อไปว่า ซีซั่นนี้เธอเดินทางมาปารีสเร็วขึ้น เพื่อที่จะแคสต์งานในปารีสให้ได้มากแบรนด์ที่สุด จนต้องยอมสละสิทธิ์จากโชว์ของแบรนด์ใหญ่ที่เคยร่วมงานกันมาเมื่อซีซั่นก่อนหน้า ซึ่งก็ดูเหมือนว่า เธอจะตัดสินใจไม่ผิด เพราะแบรนด์ในตำนานที่เธอใฝ่ฝันว่า จะได้ร่วมงานด้วยก็เลือกแจน-ใบบุญ ให้ไปโชว์สเต็ปการเดินต่อหน้า casting director แต่เมื่อสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เริ่มรุนแรงขึ้น แน่นอนว่า แพลนชีวิตในช่วงแฟชั่นวีคระดับโลกของเธอก็ต้องปรับไปตามสถานการณ์ที่นับวันยิ่งน่าวิตก
“ช่วงแรกๆ ที่เริ่มมีข่าวเรื่องโควิด-19 ช่วงนั้นตรงกับช่วงแฟชั่นวีคพอดีค่ะ แจนอยู่มิลานแล้วก็ข้ามมาปารีส พอมาถึงปารีส ข่าวทางมิลานก็ออกมาว่า ที่มิลานเริ่มหนักแล้วนะ ตอนนั้นก็เริ่มกลัวค่ะ เพราะตัวแจนเองน่ะมีมาสก์อยู่แล้ว เราพกมาจากไทย แต่คนที่นั่นไม่ใส่มาสก์เลย เราก็เลยไม่กล้าใส่มาสก์ค่ะ เราได้แต่เอาผ้าพันคอพันๆ ใส่หมวกบ้าง ใส่ฮู้ด พกเจลแอลกอฮอล์เพื่อป้องกันตัวเองน่ะค่ะ เพราะตอนนั้นคนทางยุโรปเขาไม่คิดว่า มันจะร้ายแรงขนาดนี้”
…ยิ่งในงานแฟชั่นวีคนางแบบก็มาจากหลายที่ใช่ไหมคะ เราก็ไม่รู้ว่า คนนี้มาจากไหนบ้าง บินไปทำงานที่ไหนมาบ้าง เขาไปเจอใครมาบ้างบนเครื่องบิน แล้วเขาป้องกันตัวเองขนาดไหน แต่ส่วนใหญ่นางแบบที่ concern เรื่องนี้จะเป็นคนเอเชียค่ะ พวกนางแบบเกาหลี กับนางแบบจีน โดยเฉพาะนางแบบจีนนี่จะ concern มากๆ บางคนเขาก็สู้นะคะ ถึงคนอื่นๆ จะไม่ใส่แมสก์แต่เขาใส่ เพราะเขาห่วงสุขภาพตัวเองมากกว่า”
ด้วยความที่รูปลักษณ์ของเธอประกาศชัดว่า เป็นสาวเอเชียเต็มตัว การใช้ชีวิตในช่วงที่คนทั้งโลกมองว่า โรคระบาดที่เกิดขึ้นเริ่มแพร่มาจากฝั่งตะวันออก แถมยังมีแนวโน้มว่า จะขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงอดเป็นกังวลไม่ได้
“จริงๆ แล้วแจนก็กลัวว่า จะเจอเหตุการณ์เหมือนในข่าวที่ลอนดอนที่คนเอเชียใส่มาสก์แล้วโดนบูลลี่ แต่เราไม่เจอขนาดนั้นค่ะ เขาไม่ได้มองว่า เราเป็นเอเชียแล้วเราจะมีเชื้อโควิด-19”
เมื่อตัวเลขผู้ป่วยไปจนถึงผู้เสียชีวิตเริ่มทะยานสูงขึ้น เมืองแฟชั่นพร้อมใจกัน lockdown การกลับสู่บ้านเกิดจึงเป็นทางเลือกที่อุ่นใจ
“ตอนแรกแจนยังไม่มีแพลนที่จะกลับเมืองไทย เพราะมีจ็อบ booked ไว้ แต่พอทางรัฐบาลอังกฤษประกาศให้ ทุกคนหยุดทุกอย่างแล้ว stay home จ็อบก็ทยอย cancel มีงานของแบรนด์ใหญ่แบรนด์หนึ่ง แล้วก็พวกแมกกาซีนค่ะ งานหลักๆ จะเป็นแคมเปญ e-commerce ของ Burberry ที่แจนทำประจำทุกอาทิตย์ แจนก็ถามเอเจนซี่ว่า ทำอย่างไรดี เพราะถ้าแจนอยู่ลอนดอนต่อแล้วไม่มีงาน มันจะมีค่าใช้จ่ายไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ว่ามันจะจบเมื่อไร
…แล้วอีกประเด็นหนึ่งก็คืออาหาร แจนคิดถึงอาหารไทยด้วย ยิ่งร้านอาหารทยอยปิดไปเรื่อยๆ ร้านอาหารเวียดนามที่เคยเป็นที่พึ่งของเราเวลาคิดถึงอาหารไทยก็ปิดไปเยอะ ของในซูเปอร์มาร์เก็ตก็มีน้อยลงเรื่อยๆ เหมือนที่เราเห็นในข่าวน่ะค่ะ ที่ shelf ต่างๆ จะว่าง เพราะคนเริ่มกักตุนของอย่างพวก ขนมปัง นม เส้นพาสต้านี่ไม่ต้องพูดถึงค่ะ หมดเกลี้ยง”
สุดท้ายเธอจึงตัดสินใจเดินทางกลับมายังเมืองไทยเมื่อวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา และกักตัวอยู่ที่บ้านนับตั้งแต่วันนั้น
“ช่วงนั้นขั้นตอนในการบินกลับเมืองไทยเข้มงวดกว่าปกติค่ะ เพราะว่าตอนแจนกลับมา มีมาตรการจากรัฐบาลออกมาแล้วว่า ต้องมีใบ Fit to Fly จากสถานทูต ถึงจะบินกลับมาได้ แต่ขั้นตอนการขอเอกสารไม่ยากมากค่ะ แจนได้รับการอำนวยความสะดวกจากสถานทูตดีมาก ทุกอย่างก็ราบรื่นดีค่ะ
…พอกลับมาบ้านด้วยความที่แจนคิดถึงอาหารไทย ก็เลยกินเยอะเลย แต่ก็ยังต้อง strict เรื่องการกินอยู่นะคะ เพราะถ้าเราไม่ strict หลังจากนี้พอสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ เราก็จะอ้วน แล้ววันไหนมีอารมณ์อยากฝึกเดินแบบ แจนก็จะใส่ส้นสูงฝึกเดินแบบอยู่บ้าน เพราะพอเรากลับไปเดินแบบแล้ว ถ้าเราไม่คุ้นกับส้นสูง สกิลการเดินแบบของเราเหมือนจะหายไปค่ะ
…ส่วนเรื่องโพสท่าจะดูจากแมกกาซีนมากกว่าค่ะ แจนชอบเปิดแมกกาซีนดูเพื่ออัพเดทเทรนด์ต่างๆ ตอนนี้ออกไปหาแมกกาซีนใหม่ๆ ไม่ได้ ก็จะออนไลน์สั่งมาค่ะ”
หากสถานการณ์โลกดีขึ้นเมื่อไรซูเปอร์โมเดลผู้นี้คงได้คืนรันเวย์อย่างสมศักดิ์ศรีอีกครั้ง เพราะถึงแม้โลกแฟชั่นจะต้องหยุดพักไปก่อน แต่นางแบบมืออาชีพคนนี้ไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง
“ แจนว่า วงการแฟชั่นมันเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ เราต้องคอยอัพเดทว่า มีอะไรใหม่ๆ เข้ามาบ้าง แต่สุดท้ายแล้ว แจนคิดว่า ความเป็นตัวของตัวเองจะทำให้เราอยู่ในวงการนี้ได้นานค่ะ มันทำให้เราแตกต่างจากคนอื่น ไม่เหมือนใคร”
ส่วนจะประสบความสำเร็จหรือไม่ จะเข้าตา casting director หรือเปล่า เธอกระซิบบอกกับเราว่า เรื่องโชคชะตาหนุนนำก็มีส่วน
“ก่อนหน้านี้ตอนแจนเด็กๆ แจนก็ไหว้พระไหว้เจ้าตามที่พ่อแม่สอน แต่พอมาเข้าวงการนางแบบที่ไทย เขาก็จะมีใส่เครื่องรางกันบ้าง ไปไหว้พระ ดูดวงกันบ้าง เราก็ฟังเขามาแต่ยังไม่ได้ลงมือทำ ไม่เคยเชื่อถึงขนาดว่าจะต้องไป แต่พอดีมีพี่ช่างแต่งหน้าคนหนึ่งชวนไปคำชะโนดเมื่อปีที่แล้ว แจนก็เลยลองไปดู ตอนนั้นได้ไปทำงานที่ต่างประเทศแล้วค่ะ ซึ่งคราวนั้นแจนก็ขอให้งานราบรื่น ขอให้ได้แบรนด์ใหญ่ๆ
…แล้วแจนก็ได้เดินแบบในโชว์ของ Burberry ซึ่งเป็นแบรนด์ที่แจนไม่คาดคิดมาก่อนว่า จะได้เดินเลยในชีวิต เพราะมันใหญ่เกินตัวเรามาก ตอนไปแคสต์ไม่คิดว่าจะได้เจอดีไซเนอร์ Riccardo Tisci ด้วย แต่แล้วเราก็ได้เจอเขาจริงๆ วันที่ไปแคสต์แจนก็ยังไม่ได้นึกถึงคำขอที่เราไปไหว้ที่คำชะโนดนะคะ แต่พอกลับมาไทยแล้วพี่ที่ชวนเราไปไหว้ก็มาทักว่า “เป็นไงล่ะ ไปขออะไรไว้ที่คำชะโนด” เราก็เลยนึกขึ้นมาได้ แล้วพอได้กลับมาไทยช่วงปีใหม่ปีที่แล้วก็เลยกลับไปไหว้อีกครั้งค่ะ”
เธอแชร์โมเม้นต์เปลี่ยนชีวิตที่ไม่เคยลืมเลือน และตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เล่า แต่นั่นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น เพราะหมุดหมายของแจน-ใบบุญในโลกแฟชั่นเริ่มขยายอาณาเขตออกไปเรื่อยๆ ชนิดที่ยังมองไม่เห็นจุดสูงสุดที่จะควรจะไปถึง
อ่านบทสัมภาษณ์เวอร์ชั่นเต็มได้ที่ lips-mag.com/magazine
┃Photos : @jbaiboon, Lips Magazine