ดูเหมือนจะหายหน้าไปสักพัก สำหรับเจ้าของเพลงฮิต “ทางของฝุ่น” และ “อ้าว” แต่หลังจากชาร์จแบตมาเต็มอิ่มแล้วบอกได้เลยว่า ปีนี้อะตอมจะ Come Back อย่างเปรี้ยงปร้าง เพราะเขากำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ในช่วงกลางปีนี้ ที่แว่วๆ มาว่าบัตร Sold Out ไปเรียบร้อยแล้วเสียด้วยสิ
เราชวนลิปสเตอร์มานั่งคุยกับเขาให้หายคิดถึงผ่านบทสนทนาในคอลัมน์ Feature นิตยสารลิปส์ ฉบับมกราคม 2563
ชีวิตปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง เราถามเขาอย่างไม่อ้อมค้อม
“ปีที่ผ่านมาทั้งปี ต้องบอกว่าเรารับงานน้อยลง ช่วง 2-3 ปี ก่อนหน้านี้เราจะบู๊โดยที่ไม่สนใจสุขภาพ บ้าทำงานอย่างเดียว แต่ว่าปีที่แล้ว เราบอกผู้จัดการว่า เราขอรับงานน้อยลง เรารู้สึกว่า เราล้าจากการทัวร์ ด้วยสภาพร่างกายที่เราใช้ร่างกายเปลืองเอง โดยเราไม่ดูแล เราเป็นเด็กที่พอมีแรงก็ใส่ๆ ไปทุกอย่าง กินนอนไม่เป็นเวลา ออกกำลังกายก็ไม่ออก
..ปีที่แล้วจึงเป็นปีที่เราหยุด เบรก ลดเกียร์ลงมาสักเกียร์หนึ่ง แล้วก็หันมาดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้นครับ เราออกกำลังกายต่อเนื่องตลอดตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงสิ้นปี สำหรับคนที่แทบไม่ดูแลสุขภาพตัวเอง แล้วหันกลับมาทำได้ขนาดนี้ ก็ดีใจที่ตัวเองทำได้ครับ การออกกำลังกายทำให้เวลาแสดงสด เรามีเรี่ยวแรงมากขึ้น พลังเยอะขึ้น แล้วก็รูปร่างดีขึ้น เราแต่งตัวได้มั่นใจมากขึ้น ก็ส่งผลกับเรื่องความมั่นใจในการโชว์ ทำให้เราสดชื่นขึ้น รู้สึกมีพลังในการทำงานมากขึ้น สดใสมากขึ้น”
ส่วนเรื่องกิน ดื่ม ปาร์ตี้ หนุ่มที่ทำงานอยู่กับแวดวงบันเทิงก็ยังไม่ได้ตัดขาด เพียงแต่เว้นระยะให้ห่างไปบ้าง เพื่อให้เวลากับตัวเอง และคนในครอบครัว
“เรื่องดื่มกิน ปาร์ตี้ ความถี่น้อยลงไปมาก เราเดินทางมาถึงช่วงอายุที่พอถึงคืนวันศุกร์ คืนวันเสาร์ เราไม่อยากออกไปหาเพื่อนแล้วล่ะ เรารู้สึกว่าเราหาอะไรดีๆ กิน นอนดูหนังที่เราชอบ อ่านหนังสือที่เราชอบอยู่ที่ห้องอย่างมีความสุขดีกว่า
…แล้วทุกวันอาทิตย์เราจะพยายามกลับบ้านที่ศาลายาเพื่อไปหาพ่อแม่ ก่อนหน้านี้มีอยู่ช่วงไม่กลับบ้านเลย จนแม่งอน เรามาเช่าคอนโดอยู่ในเมือง แล้วก็กลายเป็นไม่กลับบ้านเลย ปีที่ผ่านมาจึงเป็นปีที่เรากลับไปใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น เมื่อก่อนนี้ด้วยความเด็ก ด้วยความซ่า เราก็เอาแต่เที่ยวเล่น เอาแต่ทำงาน”
“ ความรักก็ดีครับ ตอนนี้ก็คบกันมาเกือบสองปีแล้วครับ ก็แฮปปี้ดี ไม่ได้หวือหวา ไม่ได้ออกสื่อทุกวัน เพราะเรามองว่า เราเป็นคนทำงานในสปอตไลท์ เราเป็นที่สนใจของสื่อบ้างก็เป็นเรื่องปกติ แต่เราไม่อยากจะลากคนที่เขาไม่ได้ทำงานตรงนี้ให้มาอยู่ในสปอตไลท์แบบเดียวกับเรา ”
นอกจากเรื่องครอบครัวที่ต้องให้เวลามากขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างคนรู้ใจก็เป็นไปอย่างราบรื่น และมองเห็นเป้าหมายชัดเจนขึ้นตามวัย
“ความรักก็ดีครับ ตอนนี้ก็คบกันมาเกือบสองปีแล้วครับ ก็แฮปปี้ดี ไม่ได้หวือหวา ไม่ได้ออกสื่อทุกวัน เพราะเรามองว่า เราเป็นคนทำงานในสปอตไลท์ เราเป็นที่สนใจของสื่อบ้างก็เป็นเรื่องปกติ แต่เราไม่อยากจะลากคนที่เขาไม่ได้ทำงานตรงนี้ให้มาอยู่ในสปอตไลท์แบบเดียวกับเรา เราทำงานตรงนี้ เรายอมรับแล้วมันเป็นราคาที่เราต้องจ่าย แต่ว่าเขาไม่ใช่ เราก็ไม่อยากเอาจุดนั้นไปให้เขา เพราะว่ามันก็เห็นหลายครั้งแล้วว่าบางทีมันเป็นปัญหาจริงๆ เราก็บาลานซ์ให้ดีครับ อาจจะไม่เปิด แต่เราก็ไม่ได้ปิดนะ เราก็ไปไหนมาไหนปกติ
…เขาเป็นคนที่เข้ามาในช่วงที่เราโตแล้ว มันจึงเป็นความรักในรูปแบบที่เข้าใจกันมากกว่าที่จะเป็น puppy love เหมือนตอนวัยรุ่น ต่างคนต่างทำให้อีกคนดีขึ้นอย่างเช่น พากันไปออกกำลังกาย แล้วเป้าหมายในชีวิตมันจับต้องเป็นชิ้นเป็นอันชัดเจนได้มากขึ้น เราอยากจะมีบ้าน อยากจะเลี้ยงหมากี่ตัว มันเริ่มเป็นรูปธรรม เริ่มเป็นความฝันที่จับต้องได้จริงๆ”
“ ช่วงปีที่ผ่านมา เราไม่ได้ผลิตผลงานที่เป็นเพลงป๊อปตีหัว หรือเพลงแมส เหมือนในยุคเพลง “อ้าว” เราไม่อยากทำอะไรเดิมๆ เราไม่ดูถูกคนฟังด้วยการย่ำอยู่กับที่เพียงเพราะรู้ว่า เราทำเพลงแบบนี้ออกไปถึงอย่างไรคุณก็ซื้อ ”
ปีที่ผ่านมาอะตอมบอกว่า เขาตกผลึกเรื่องการทำเพลงมากขึ้น
“ช่วงปีที่ผ่านมา เราไม่ได้ผลิตผลงานที่เป็นเพลงป๊อปตีหัว หรือเพลงแมส เหมือนในยุคเพลง “อ้าว” แต่ปีที่ผ่านมาเราปล่อยอัลบั้มที่ชื่อ Moon ออกมา เป็นอัลบั้ม big band ซึ่งใจเรากับทีมก็รู้แหละว่า มันขายยากแหละ มันไม่ได้แมสขนาดนั้น แล้วก็คนฟังที่เป็นวัยรุ่น ที่เป็นกลุ่มของเราก็อาจจะต้องปรับตัวกันนิดหน่อย แต่ใจเราก็คิดว่า เราไม่อยากทำอะไรเดิมๆ เราไม่ดูถูกคนฟังด้วยการย่ำอยู่กับที่เพียงเพราะรู้ว่า เราทำเพลงแบบนี้ออกไปถึงอย่างไรคุณก็ซื้อ
…เราเคารพตัวเองในฐานะคนทำงาน ว่า เราต้องพัฒนาอะไรข้างหน้า เราต้องปล่อยอะไรที่แปลกใหม่ออกมาบ้าง หาความท้าทายให้ตัวเอง แล้วก็ในฝั่งคนฟัง เราก็อยากให้เขาได้ฟังอะไรใหม่ๆ ไม่ใช่ฟังอะไรที่อยู่กับที่ แต่เราก็พยายามบาลานซ์ครับ อย่างที่บอกว่า มันก็ต้องแคร์คนฟังด้วย ใครจะบอกว่าฉันเป็นตัวของตัวเอง ฉันปล่อยเพลง ไม่แคร์คนฟังเลย มันไม่จริงหรอก คุณทำเพลงมา คุณไม่มีคนฟัง แล้วจะมีความหมายอะไร เราพยายามหาจุดที่เราคิดว่า เรายังสามารถทำงานศิลปะของเราได้ออกมาสวยงามในแบบที่เราต้องการ แล้วก็เข้าถึงคนฟังได้ด้วย”
│Photography : Somkiat K.