ตามธรรมชาติของโลกแฟชั่นนั้นคือการสร้างสรรค์เทรนด์และสไตล์ใหม่ๆ เพื่อแนะนำให้กับผู้บริโภคและสายแฟในทุกๆ ฤดูกาลอยู่เสมอ และอย่างที่ทุกคนรู้กันดีว่า ‘แฟชั่น’ ในทุกวันนี้คือการนำเอาแรงบันดาลใจหรือความคิดสร้างสรรค์ในอดีตมารังสรรค์ให้เกิดสิ่งใหม่ในโลกของแฟชั่น ซึ่งบ่อยครั้งที่วงการแฟชั่นในปัจจุบันนี้นั้นได้รับแรงบันดาลใจจากเหล่าแฟชั่นไอคอนชื่อดังที่ทรงอิทธิพลต่อโลกแฟชั่นในอดีต
ทำให้หลายๆ เทรนด์และแบรนด์แฟชั่นในปัจจุบันนี้นั้นได้รับอิทธิพลอย่างมากจากเหล่าแรงบันดาลใจสุดคลาสสิคหรือ ‘An Iconic Inspiration’ เพราะว่าพวกเขาได้บุกเบิกสไตล์ที่ไม่เหมือนใครในอดีตและได้ส่งต่อเป็นสไตล์สุดคลาสสิคเหนือกาลเวลาในทุกวันนี้ นอกจากนั้นแรงบันดาลใจเหล่านั้นส่งต่อให้กับเหล่าสายแฟทั่วโลกในทุกมิติให้หยิบสไตล์ของพวกเขามาเป็นสไตล์ส่วนตัวของตัวเองได้
สาเหตุที่สไตล์สุดเหนือกาลเวลาของเหล่าแรงบันดาลใจสุดไอคอนิคนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในโลกแฟชั่นในปัจจุบัน เป็นเพราะเทรนด์ ‘Nostalgia’ หรือ ‘การหวนอดีต’ ที่ได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งเทรนด์หลักของโลกแฟชั่นในปัจจุบันและ “การเรียนรู้อดีตเป็นการก้าวไปข้างหน้าที่ยั่งยืนที่สุด” ก็เป็นอีกหนึ่ง Cliche ที่ใช้ได้กับการคงอยู่ของเหล่าแรงบันดาลใจสุดคลาสสิคนี้ วันนี้ LIPS เลยจะพาทุกคนไปรู้จักกับแรงบันดาลใจสุดไอคอนิคของโลกแฟชั่นที่ได้กลายมาเป็นบรรทัดฐานในการ #REMASTER ผลงานและสไตล์แฟชั่นในปัจจุบัน
Audrey Hepburn
เริ่มกันที่แฟชั่นไอคอนคนแรกที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับการแต่งตัวของสาวๆ อย่าง ‘Audrey Hepburn’ ความไอคอนิคของเธอนั้นส่งให้เธอเป็นภาพจำของแฟชั่นไอเท็มต่างๆ ที่เธอสวมใส่อย่างเช่น Little Black Dress หรือเครื่องประดับแบรนด์ Tiffany & Co. ซึ่งทั้งสองอย่างล้วนปรากฏอยู่ในภาพยนตร์เรื่อง ‘Breakfast at Tiffanys’ ภาพยนตร์คลาสสิกขึ้นหิ้งที่ส่งให้เธอกลายเป็นแรงบันดาลใจสุดคลาสสิคต่อสายแฟทั่วโลก
แต่นอกจาก Little Black Dress สุดไอคอนิคเธอยังมีลุคสุดคลาสสิคอีกหลายๆ ลุคที่เธอสวมใส่ทั้งในภาพยนตร์ที่เธอแสดงและในชีวิตส่วนตัวของเธอ ซึ่งส่วนใหญ่รังสรรค์โดยกูตูริเยร์ชื่อดังอย่าง ‘Hubert de Givenchy’ หนึ่งในเบื้องหลังที่ทำให้เธอรักในแฟชั่นและทำให้เธอหลายมาเป็นแฟชั่นไอคอนจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนั้นความงามอันแสนอ่อนหวานของเธอก็ยังเป็นความงามในอุดมคติที่สาวๆ ทั่วโลกฝันถึงตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้ เราจึงเห็นเซเลบริตี้หลายคนหยิบยกเอาสไตล์แฟชั่นและความงามของเธอมาใช้ เช่น Lily Collins, Kendall Jenner และ Zoë Kravitz
Marilyn Monroe
หาก Audrey คือภาพจำของความงามอันแสนบอบบางในยุค Old Hollywood พูดเลยว่า ‘Marilyn Monroe’ ก็เป็นภาพจำของความงามอันแสนยั่วยวนที่คลาสสิคเหนือกาลเวลาไม่แพ้กัน เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าภาพผู้หญิงผมบลอนด์ในเดรสค็อกเทลคล้องคอสีขาวยืนอยู่บนท่อระบายอากาศกลายมาเป็นหนึ่งในภาพสุดคลาสสิคที่ใครๆ ก็ต้องเคยเห็น ภาพนี้เป็นอีกหนึ่งฉากในภาพยนตร์เรื่อง ‘The Seven Year Itch’ ที่ Marilyn รับบทนำ
เดรสสีขาวชุดนั้นเป็นผลงานของนักออกแบบที่ชื่อว่า ‘William Travilla’ คอสตูมดีไซเนอร์ผู้ออกแบบชุดสุดไอคอนิคให้กับเธอในภาพยนตร์หลายๆ เช่น The Seven Year Itch และ Gentlemen Prefer Blondes สองภาพยนตร์ที่ทำให้เธอโด่งดังเป็นพลุแตก และเสื้อผ้าเหล่านั้นได้กลายเป็นซิลูเอ็ตต์ยอดนิยมในยุค 50s-60s และเช่นเดียวกันกับ Audrey ที่ความงามของเธอได้กลายเป็นมาตรฐานความงามที่สาวๆ ทั่วโลกเชิดชูและสร้างภาพจำแบบ ‘Blonde Girl’ จนถึงปัจจุบันนี้ เราจึงเห็นเซเลบริตี้อย่าง Madonna, Kim Kardashian และ Margot Robbie หยิบเอาสไตล์ของเธอมาใช้อยู่บ่อยครั้ง
Cher
มีประโยคที่กล่าวไว้ว่า “การเป็นไอคอนนั้นต้องมาจากตัวตนไม่ใช่สร้างขึ้นมา” ซึ่ง ‘Cher’ แฟชั่นไอคอนสุดคลาสสิคที่อธิบายประโยคนี้ได้เป็นอย่างดี นักร้องและนักแสดงสาวผู้นี้มีความเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมป๊อปมากว่า 6 ทศวรรษ และความยูนีคและความมั่นใจของเธอทำให้เธอหยิบเอาเสื้อผ้าสุดแปลก (ในตอนนั้น) มาใส่จนทำให้เธอกลายเป็นที่สนใจของผู้คนและยกระดับให้เธอกลายเป็นแฟชั่นไอคอนที่อยู่เหนือกาลเวลา
ความแหวกขนบของเธอทำให้เธอกลายเป็นอีกหนึ่งแฟชั่นไอคอนที่มีชื่อเสียงและเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนแฟชั่นมาจนถึงปัจจุบันนี้ เธอทำลายกรอบการแต่งตัวต่างๆ ด้วยการหยิบเอาชุดเลื่อมสุดยั่วยวนมาสวมใส่ซึ่งถือว่าต่างจากภาพจำของนักร้องในยุคนั้นเป็นอย่างมาก แต่ที่เห็นภาพชัดที่สุดก็คงเป็นชุดราตรีสองชิ้นที่ประกอบด้วย เสื้อครอป กระโปรง และเครื่องประดับศีรษะขนนกของ Bob Mackie ซึ่งในตอนนั้นโดนวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก แต่ความแหวกขนบของเธอก็ส่งต่อมายังเหล่าคนแฟชั่นในปัจจุบัน เช่น Dua Lipa, Zendaya หรือคอลเลคชั่นสุดท้ายที่ Louis Vuitton ของ Marc Jacobs ซึ่งมีกลิ่นอายของลุคขนนกของ Cher อยู่ทั่วทั้งคอลเลคชั่น
David Bowie
หากพูดถึงสไตล์แบบ ‘Androgyny’ หรือสไตล์แบบไร้เพศนั้นไม่ได้เพิ่งมามีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่เกิดขึ้นเพื่อโอบรับกับความหลากหลายทางเพศ แต่จริงๆ แล้วมันเกิดขึ้นตั้งแต่ยุค 70s เพราะร็อกสตาร์ที่ชื่อว่า ‘David Bowie’ เสื้อผ้าสไตล์เธียเตอร์แบบไร้เพศนั้นถูกเขาใช้เพื่อสร้างบุคลิกสุดยูนีคขึ้นมาและหลีกหนีความเป็นจริงในชีวิตประจำวันนั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเขาถึงเป็นผู้ชายคนเดียวในลิสต์นี้และเป็นอีกหนึ่งแฟชั่นไอคอนที่ทรงอิทธิพลตลอดกาล
และนอกจากสไตล์ที่ทิ้งไว้เขายังเป็นหนึ่งในศิลปินที่ใช้แฟชั่นเป็นเครื่องมือในการแสดงออกผลงานของเขา ทำให้ลุคสุดไอคอนิคของเขามาจากหลายๆ ผลงานเพลงของเขา เช่น Ziggy Stardust, Aladdin Sane และ Thin White Duke ส่งให้คนแฟชั่นหลายคนหยิบเอาลุคสุดไอคอนิคของเขามาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการถ่ายทอดผลงานเช่นกันยกตัวอย่างเช่น Jean Paul Gaultier ที่นำเอาลุคไอคอนิคของ David มาถ่ายทอดในคอลเลคชั่น Spring 2013 และ Harry Styles ที่หยิบเอาลุคของเขามาทำซ้ำอยู่หลายครั้ง
Princess Diana
มาต่อกันที่อีกหนึ่งสไตล์ไอคอนตลอดกาลที่ครองใจประชาชนทั่วโลกอย่าง ‘Princess Diana’ หรือ ‘เจ้าหญิงไดอานา’ ผู้ทรงอิทธิพลทั้งในแง่ของบทบาททางสังคมและแฟชั่นไอคอนที่ถ่ายทอดสไตล์สุดคลาสสิค ฉีกกฏ และนำเทรนด์อยู่เสมอ และเป็นอีกหนึ่งแฟชั่นไอคอนที่สามารถถ่ายทอดการเปลี่ยนแปลงและบอกเล่าถึงตัวตนได้เป็นอย่างดี
เราจะเห็นได้จากสไตล์ของเธอนั้นมีความหรูหราและสดใสครั้งเมื่อเธอดำรงตำแหน่งเจ้าหญิงแห่งเวลส์ซึ่งปรากฏในภาพถ่ายที่ถูกเผยแพร่ในแท็บลอยด์ทั่วโลก แต่พอเธอก้าวออกจากราชวงศ์วินด์เซอร์สไตล์ของเธอนั้นเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนจะเห็นได้จากความเซ็กซี่ที่เพิ่มมากขึ้นแต่ในขณะเดียวกันก็มีความรีแล็กซ์และจับต้องได้ เราขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดจากลุคสปอร์ตแวร์ของเธอที่เธอใส่ไปออกกำลังกายในฐานะสามัญชนอย่างเปิดเผยโดยที่เธอไม่ต้องแคร์ธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์
รวมถึงลุค ‘The Revenge Dress’ จากดีไซเนอร์ Christina Stambolian ชุดซึ่งเปรียบเสมือนจุดเปลี่ยนสไตล์ครั้งใหญ่ของเธอของเธอที่เธอสวมเข้าร่วมงานเลี้ยงของนิตยสาร Vanity Fair ในปี 1994 ในวันเดียวกับที่เจ้าชายชาร์ลสารภาพกับสื่อว่าเป็นชู้กับ Camilla Parker Bowles ซึ่งมีภาพที่ต่างกับชุดแต่งงานในตำนานของเธอเป็นอย่างมาก และกลายมาเป็นต้นตำรับชุดแก้แค้นของสาวๆ จนถึงปัจจุบันนี้
Jacqueline Kennedy
มาถึงแฟชั่นไอคอนอีกหนึ่งคนที่เป็นผู้นำระดับโลกอย่าง ‘Jacqueline Kennedy’ หรือ ‘Jackie O’ อดีตสตรีหมายเลขหนึ่งชื่อดังของอเมริกาผู้ผันตัวมาจากนักเขียน ช่างภาพ และนักสังคมสงเคราะห์ เธอได้กลายมาเป็นแฟชั่นไอคอนเมื่อก้าวเท้าเข้ามาสู่ทำเนียบขาว และเป็นผู้สร้างภาพลักษณ์สุดหรูหราและโมเดิร์นฉีกภาพจำของสตรีหมายเลขหนึ่งคนอื่นๆ
สไตล์ของเธอขณะที่เธอดำรงตำแหน่งสตรีหมายเลขหนึ่งนั้นมักจะเป็นชุดในโทนสี ‘Monochrome’ และเครื่องประดับสุดหรูหราอย่าง หมวกทรงกล่อง และถุงมือสีขาวสุดคลาสสิค แต่นอกจากสไตล์แบบ First Lady แล้วนั้นเธอยังสร้างสไตล์สุดเก๋และโบฮีเมียนหลังจากเธอลงจากตำแหน่งอันทรงเกียรตินั้น เธอพาไอเท็มหลายๆ ชิ้นให้กลายเป็นไอเท็มสุดคลาสสิคไม่แพ้กับการแต่งตัวของเธอเลย เช่น แม็กซี่เดรสสุดพลิ้ว แว่นกันแดดขนาดใหญ่ หรือ Menswear ที่เธอมักหยิบมาสวมใส่ในชีวิตประจำวัน
Kate Moss
จบกันด้วยสไตล์ไอคอนผู้เป็นแรงบันดาลใจให้กับโลกแฟชั่นคนสุดท้ายอย่าง ‘Kate Moss’ ซูเปอร์โมเดลสาวผู้ทำให้สไตล์ Grunge กลายมาเป็นอีกทางเลือกการแต่งตัวของผู้หญิงยุคใหม่ แต่ที่โดดเด่นไปกว่าสไตล์สุดเท่และไม่พยายามของเธอ เธอคือสไตล์ไอคอนผู้เป็นกำเนิดการแต่งตัวไป ‘Music Festival’ ซึ่งเป็นหนึ่งในเสตรทเมนต์ของเธอที่พาเธอให้กลายเป็นอีกหนึ่งแฟชั่นไอคอนอันทรงอิทธิพล
จุดเริ่มต้นของ Music Festival Style ของเธอนั้นเกิดขึ้นที่เทศกาลดนตรี Glastonbury เนื่องจากเธอออกเดตกับนักดนตรีฝั่งอังกฤษอยู่บ่อยครั้งทำให้เธอต้องร่วมเทศกาลดนตรีนี้อยู่เสมอ การแต่งตัวสุด Effortless ผนวกกับไอเท็มเสื้อผ้าสไตล์โบฮีเมียนได้กลายมาเป็น Style Code ของเธอและส่งต่อไปยังสาวๆ ทั่วโลกเมื่อพวกเธอต้องไปร่วมงานเทศกาลดนตรีทั่วโลก นอกจากนั้น Street Style ของเธอก็ยังคงความ Grunge, Bohemian ที่ผสมผสานความ Effortless ทุกครั้งที่เธอปรากฏตัว ส่งผลให้เธอกลายเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจของโลกแฟชั่นที่น่าสนใจและแตกต่างจากคนอื่นมากๆ
#REMASTER
#LIPSERA
#LIPSMAGAZINE
