“หากเลือกจะใช้ชีวิตเป็นผู้หญิงคนอื่นได้ 1 ปี คุณจะเลือกเป็นใคร และเพราะเหตุใด” ภายในเวลาเสี้ยววินาที แอนโทเนีย โพซิ้วตอบคำถามในรอบชิงมงนางงามจักรวาล 2023 นี้ว่า
“ฉันจะเลือกเป็น มาลาลา ยูซาฟไฟ เพราะฉันรู้ถึงความยากลำบากที่เธอต้องเผชิญเพื่อจะมาในจุดที่เธออยู่ในทุกวันนี้ได้…”
แอนโทเนียอยากลองเป็นมาลาลา แล้วมาลาลาล่ะ อยากเป็นใคร? LIPS จะเล่าให้ฟัง
“มาลาลาต้องต่อสู้เพื่อการศึกษาของผู้หญิง และต่อสู้เพื่อผู้หญิงทุกคนให้ยืนหยัดเข้มแข็งและสร้างความเปลี่ยนแปลง รวมทั้งเป็นผู้นำด้วยการทำตนเป็นแบบอย่าง หากฉันเลือกเป็นใครได้ คนคนนั้นคือมาลาลา” แอนโทเนียตอบคำถามอย่างชาญฉลาด มีไหวพริบ แต่วืดมง?!? กะเทยไทยจนปัญญาทั้งประเทศกันเลยทีเดียวว่าจะหาใครเหมาะพร้อมกว่านี้ได้อีก
เบนาซี บุตโต นายกฯ หญิงคนแรกของปากีสถาน
ในหนังสือ I am Malala : The Story of the Girl Who Stood Up for Education and was Shot by the Taliban เขียนเล่าถึงช่วงที่มาลาลาพักรักษาตัวในโรงพยาบาลว่า เธอได้รับของขวัญจากลูกๆของเบนาซี บุตโต อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงของปากีสถาน ซึ่งมาลาลาเรียกว่า “เป็นของล้ำค่าที่สุด” ของเธอ เพราะมาลาลามองเบนาซีว่าเป็นผู้หญิงปากีสถานที่แข็งแกร่ง ฉลาด และพึ่งพาตนเองได้ ทั้งยังต่อสู้เพื่อความเปลี่ยนแปลงในสังคม ดังนั้นการที่เบนาซี บุตโตโดนลอบสังหารจนเสียชีวิตในปี 2007 จึงส่งผลสั่นสะเทือนต่อมาลาลาผู้มองนายกฯหญิงผู้นี้เป็นแรงบันดาลใจ
ดังนั้น เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ปี 2013 มาลาลาฉลองวันเกิดครบ 16 ปีด้วยการไปพูดที่สหประชาชาติ “วันเกิดอายุ 16 ปีของฉัน ฉันไปนิวยอร์กเพื่อไปพูดที่สหประชาชาติ ฉันผูกผ้าพันคอสีขาวของเบนาซี บุตโตกับชุดซาลวาร์ กามีซสีชมพูตัวโปรด และเรียกร้องให้ผู้นำโลกทำให้การศึกษาฟรีสำหรับเด็กทุกคนเกิดขึ้นได้ทุกแห่งหนในโลกนี้…”
“เมื่อมองดูต้นแบบที่เป็นผู้หญิง วิสัยทัศน์ของฉันจึงกว้างไกลขึ้น…ฉันมอง ‘เบนาซี บุตโต’ ในฐานะผู้นำหญิงที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีของปากีสถานถึงสองสมัย…มันทำให้ฉันตระหนักถึงศักยภาพที่ฉันมีและสามารถจะมีได้ในฐานะผู้หญิง เพื่อจะทำสิ่งใดก็ตามให้สำเร็จได้ในชีวิต และความฝันฉันก็เปลี่ยนจากอยากเป็นหมอไปเป็นนายกรัฐมนตรีปากีสถาน เพื่อแก้ไขอุปสรรคในการนำพาการศึกษาไปถึงทุกคน”
เบนาซี บุตโต เป็นผู้หญิงคนแรกที่ชนะการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย และกลายเป็นผู้นำหญิงคนแรกของรัฐอิสลาม(เป็นส่วนใหญ่)ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ในปี 1988 เธอเป็นนายกรัฐมนตรีสองสมัยในปี 1988–90 และปี 1993–96 ก่อนจะก้าวลงจากตำแหน่งในสมัยที่สองในปี 1996 ก่อนที่ปากีสถานจะเป็นรัฐบาลที่มีทหารเป็นผู้นำ
ในเดือนตุลาคม ปี 2007 ขณะอยู่ในขบวนแห่ฉลองการเดินทางกลับสู่บ้านเกิด หลังจากเนรเทศตัวเองไปอยู่ดูไบนานถึง 8 ปี แผนการลอบสังหารเธอในครั้งนั้นล้มเหลว เพราะเบนาซีรอด แต่ประชาชนที่สนับสนุนเธอเสียชีวิตไปไม่น้อย เนื่องจากเป็นเหตุระเบิดพลีชีพ ต่อมาในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน เบนาซีเดินสายหาเสียง พยายามจะชนะการเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 3 เธอถูกลอบสังหารอีก เพียงแต่ครั้งนี้เธอโดนยิงก่อน ตามด้วยระเบิดพลีชีพซ้ำ จึงไม่อาจรอดพ้นความตายไปได้
และชะตากรรมก็ไม่ทิ้งสายเลือดของมัน เมื่อปี 2012 มาลาลาที่ขณะนั้นอายุ 15 ปี นั่งรถกับเพื่อนนักเรียนจากโรงเรียนกลับบ้าน รถนักเรียนของเธอโดนตาลีบันบุก และเสียงผู้ก่อการความกลัวตะโกนถามว่า “คนไหนมาลาลา?” และเมื่อระบุตัวตนได้ว่าเป็นเธอ กระสุนในมือตาลีบันก็เจาะเข้าที่ศีรษะและคอ 2 นัดของมาลาลาในระยะเผาขน โทษฐานที่เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่อยากเรียนหนังสือ และอยากให้เด็กผู้หญิงคนอื่นได้เรียนด้วย มาลาลารอดชีวิต กลายเป็นนักสิทธิมนุษยชนที่ทำงานด้านการศึกษาของเด็กผู้หญิงทั่วโลก และเป็นคนอายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลโนเบล แม้ร่องรอยยังหลงเหลือที่อาการอัมพาตบนใบหน้าซีกซ้าย
ขบถแบบไร้ความรุนแรง
นอกจากเบนาซี บุตโตแล้ว มาลาลายังชื่นชมชาวปากีสถานอีกราย เมื่อเจอคำถามจาก Prospect Magazine นิตยสารในอังกฤษถามว่า “คำพูดใดของใครที่คุณชื่นชอบที่สุด”
มาลาลาตอบว่า “อับดุล กัฟฟาร์ ข่าน หรือที่รู้จักกันในนาม บัดชา ข่าน” นักกิจกรรมเพื่อสังคมชาวปัชตุน และเป็นผู้ติดตามใกล้ชิดของ ‘มหาตมะ คานธี’ ซึ่งเผยแพร่การศึกษาเป็นดั่งวิถีต่อต้านเจ้าอาณานิคมอย่างอังกฤษในแบบไม่ใช้ความรุนแรง อันเป็นวิถีทางเดียวกับที่มาลาลาทำในยุคของเธอ “เขาได้กล่าวไว้อย่างชาญฉลาดว่า ‘หากคุณอยากรู้ว่าวัฒนธรรมใดเป็นอารยะมากน้อยเพียงใด ให้ดูว่าคนในวัฒนธรรมนั้นปฏิบัติต่อผู้หญิงอย่างไร’”
Words: Suphakdipa Poolsap
ข้อมูลจาก:
