ช่วงนี้แฟนละครคงจะคุ้นหน้าคุ้นตาหนุ่มหล่อหน้าคมคนนี้เป็นพิเศษ เพราะละคร “ให้รักพิพากษา” ที่เขาประเดิมเป็นพระเอกเรื่องแรกคู่กับนางเอกแถวหน้าของช่อง 3 อย่าง เบลล่า-ราณี แคมเปน กำลังออกอากาศ เรื่องราวของความรักต่างวัยที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจ คลายเครียดจากสถานการณ์โควิด-19 ไปได้บ้าง ส่วนเรื่องราวของพระเอกใหม่แกะกล่อง ความสามารถรอบด้านอย่าง กองทัพ พีค ทายาทคนบันเทิงที่ก้าวเข้าสู่วงการด้วยความสามารถอันเจิดจรัสของตัวเอง น่าจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ที่มีความฝันได้ดี
กองทัพ เป็นบุตรชายคนเดียวของคุณพ่อปราบ ยุทธพิชัย นักแสดงมากประสบการณ์ เติบโตมาด้วยการสนับสนุนให้เลือกทำในสิ่งที่ชอบอย่างเต็มที่มาแต่ไหนแต่ไร และเมื่อสนใจสิ่งไหนเขาจะไปให้สุดทางเสมอ
“เรื่องการร้องเพลงกับการว่ายน้ำนี่ผมชอบมาควบคู่กันตั้งแต่เด็กครับ การว่ายน้ำช่วยให้ปอดแข็งแรงด้วยก็เลยคิดว่ามันเป็นการซัพพอร์ตกัน คุณแม่คุณพ่อก็ให้การสนับสนุนทั้งสองอย่าง ผมก็เลยลองว่ายน้ำก่อน แล้วก็ไปมาด้วยความที่ผมเป็นคนมือใหญ่ เท้าใหญ่ ทำให้เราทำตรงนี้ได้ดีจนได้เป็นนักกีฬาว่ายน้ำจนเกือบจะถึงขั้นทีมชาติได้ แต่ว่าก็ต้องหยุดไปก่อน เพราะต้องมาโฟกัสการเรียนก่อน
…แล้วพอเราหยุดว่ายน้ำไปตอนนั้นก็ได้ดูสารคดี Justin Bieber ครับ ก็เลยรู้สึกว่า เราอยากจะเป็นนักร้องตั้งแต่เด็กเลย โฟกัสกับการร้องมาเรื่อยๆ เริ่มไปสู่การเต้น จนได้ไปเรียนโรงเรียนการแสดงที่อังกฤษครับ”
กองทัพได้มีโอกาสไปศึกษาในระดับไฮสคูลที่ Sylvia Young Theatre School โรงเรียนการแสดงชั้นนำในลอนดอนที่มีศิษย์เก่าเป็นศิลปินนักแสดงระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น นักแสดงหนุ่มมากฝีมือ Nicholas Hoult หรือป๊อปสตาร์แถวหน้าอย่าง Rita Ora ซึ่งต้องบอกว่า เขาเป็นคนไทยคนแรก และคนเอเชียคนเดียวในโรงเรียนแห่งนี้
“มันเป็นโรงเรียนเกี่ยวกับศิลปะการแสดงที่มีโอกาสเข้าไปเรียนน้อยมาก เพราะเขาไม่รับเด็กต่างชาติอายุต่ำกว่า 12 ปี แล้วตอนนั้นพีคอายุแค่ 11 ปีเอง อีกแป๊บเดียวก็จะอายุ 12 ปีแล้ว ตอนนั้นคิดหนักเหมือนกัน เพราะเราต้องไปอยู่คนเดียวด้วย แต่ก็ตัดสินใจลองไปสอบดู ซึ่งต้องออดิชั่น 2 รอบนะครับ ก็มีทั้งวิชาการ ทั้งการร้อง การเต้น และการแสดง ซึ่งไปๆ มาๆ พีคก็ผ่านหมดทั้ง 2 รอบเลย แล้วทางโรงเรียนบอกว่า เขาไม่เคยรับคนไทย ไม่เคยรับคนเอเชียมาก่อน นี่เป็นเคสแรก แต่ก็อยากให้มาลองเรียนดู 3 เดือนก่อน แล้วหลังจากนั้นถ้าความประพฤติเราไม่ดี เขาจะเชิญออก
…ตอนเรียนที่นั่นพีคได้เรียน มิวสิคัล, แท็ปแดนซ์, แจ๊สแดนซ์ และบัลเล่ต์ สำหรับแท็บแดนซ์นี่พีคไม่เคยรู้จักมาก่อนว่าคืออะไร แต่พีคก็ก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ จนอยู่ที่ระดับ Tap 12 ซึ่งเท่ากับท็อปในโรงเรียน ตอนนั้นพีคยังเป็นเด็กอยู่ ยังมี baby fat จนมาได้เต้นตลอดทุกวัน จนเริ่มผอมลงเรื่อยๆ จากเด็กอ้วนคนหนึ่งก็เลยกลายมาเป็นหุ่นดีขึ้นครับ”
หลังเรียนจบไฮสคูลเขาก็ได้รับทุนสนับสนุนให้เรียนต่อจนจบปริญญาตรี แต่เขาตัดสินใจเดินตามความฝันด้วยการลงสนามจริง
“คุณพ่อคุณแม่อยากให้พีคตัดสินใจว่า ระหว่างจะไปเรียนต่อ หรือว่าจะให้พีคกลับมาเมืองไทย แล้วพีคจะเลือกใช้ชีวิตอย่างที่พีคอยากทำก็ได้ แต่ต้องทิ้งทุน 100% ตรงนั้นไปเลยครับ ซึ่งพีคก็เลือกกลับมาบ้าน เพราะว่าคิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัว แล้วก็จะได้ทำในสิ่งที่พีคอยากทำ”
หลังกลับมาเมืองไทยเขาได้ออกซิงเกิ้ลของตัวเอง รวมเพลงประกอบละคร ได้ไป Seoul Fashion Week ได้ไปออกรายการ I Can See Your Voice ที่เกาหลี ซึ่งนำไปสู่โอกาสดีๆ บนเวที Produce X 101 2019 อีกครั้งที่เขาได้เป็นคนไทยคนแรกที่มีโอกาสได้มายืนอยู่ในจุดที่ได้รับการยอมรับในต่างชาติ เวที Survival Show ที่แสดงให้เห็นการฝึกอย่างเข้มข้นของไอดอล K-Pop ให้ประสบการณ์แก่เขาหลายอย่าง และยังทำให้เขาได้รับรู้ถึงแรงสนับสนุนจากครอบครัว ที่คุณพ่อปราบนอกจากจะตามไปเชียร์อยู่ห่างๆ แล้วยังลงแรงถือป้ายเรียกคะแนนโหวตให้ลูกชายกลางย่านเมียงดง ตามมาด้วยแรงใจจากแฟนคลับที่พร้อมส่งพลังบวกให้เขาเสมอ
“หลังจาก Produce X 101 แล้วชีวิตเปลี่ยนเลยครับ ต้องกลับมาถ่ายละครด้วย แล้วก็มีแฟนคลับคอยซัพพอร์ตตลอดเวลา แล้วไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะมีนามสกุลนี้ติดตามไปด้วย กลายเป็น “กองทัพ พีค จากรายการ Produce X 101” พีคว่า มันคือความภาคภูมิใจของพีคอีกอย่างหนึ่งที่ได้มีโอกาสได้ไปที่นั่นครับ”
และอาจจะเรียกได้ว่า เป็นการเปิดตัวที่สวยงามเมื่อละครเรื่องแรกในชีวิตของเขา “ให้รักพิพากษา” (Dare to Love) ได้ประกบคู่กับนางเอกระดับแม่เหล็ก
“ตอนแรกไม่ทราบว่า ได้เล่นกับใคร พอไปๆ มาๆ เขาบอกว่า “พี่เบลล่านะ” พีคก็ไม่แน่ใจว่ามีพี่เบลล่าอื่นไหม จนถึงวันที่ไปเจอกันตัวจริง วันเวิร์กช็อปวันแรก โอเค…ชัดเจนเลย พี่เบลล่า-ราณี นี่แหละนางเอกของพีคคนแรก ตั้งแต่เวิร์กช็อปกันมาก็รู้เลยว่า การได้เล่นเข้าคู่กับเขาต้องสนุกมากแน่นอนครับ
…พี่เบลเป็นคนที่น่ารักมากครับ ชอบซื้อของกินมาให้ตลอด เวลาอยู่ในกองก็เฮฮามาก คอยให้กำลังใจตลอด เวลาเราเข้าฉากด้วยกัน โดยเฉพาะซีนไหนที่ยากมากๆ พีคได้เรียนรู้อะไรจากเขาเยอะมาก เขาคอยแนะนำเรื่องมุมกล้องด้วย ด้วยความที่พีคเป็นคนตัวสูงไงครับ ยืนปุ๊บไปบังไฟเขามิดเลย เวลาเขาเอามือสะกิด ๆ เราก็รู้กันแล้วว่า โอเค…แต่ละคนบังกัน มันก็จะมีมุมที่สามารถขยับได้นิดเดียว แล้วทุกอย่างเป๊ะแสงก็จะพอดีทั้งตัวเขาทั้งตัวเราด้วย
…แล้วถึงเราจะอายุห่างกันประมาณหนึ่ง แต่ไม่ได้รู้สึกเหมือนอายุเราห่างกันเยอะเลย เราสามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง แชร์กันได้ทุกเรื่อง เวลาถ่ายละครเราจะเช็คกันตลอดว่า อันนี้ดีไหม ซีนต่อไปเป็นซีนที่เราเข้าฉากด้วยกัน ตรงนี้ปรับนิดหนึ่งไหม แล้วเราก็ไปเสนอผู้กำกับ มันทำให้งานมันโฟลว์ขึ้นมาก”
…ส่วนฉากโรแมนติกกับพี่เบลถามว่าเขินไหม มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วแหละครับ ด้วยความสวยของพี่เบลด้วย แล้วก็ด้วยความที่พีคเป็นคนที่ไม่ได้ใกล้ชิดกับผู้หญิงเลย มันต้องเขินเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
ปกติเวลาพีคจะแตะตัวใครพีคก็ต้องบอกก่อน “ขอโทษครับ ขอแตะนะครับ” แต่พอมาถึงเรื่องนี้เราต้องเล่นเข้าคู่กันตลอด แต่ว่าพอด้วยความที่เราใกล้ชิดกัน แล้วก็เราปรึกษากันตลอด ยิ่งเราไปถ่ายที่เกาะพีพีเป็นเวลา 5 วัน เราเจอกันทั้งวันทั้งคืน ยิ่งทำให้เหมือนเราได้ละลายพฤติกรรมไปแล้วครับ”
ด้วยวัยเพียง 20 ปีกับชีวิตที่อยู่แต่ในรั้วโรงเรียน และการฝึกฝนตนเองทำให้เขาอาจจะไม่มีเวลาให้กับความรักโรแมนติก แต่เขาก็มีมุมมองเรื่องความรักตามแบบฉบับคนรุ่นใหม่
“พีคว่ายุคนี้ ความรักมันไม่มีขีดจำกัด จะเป็นเพศไหนก็แล้วแต่ อายุเท่าไรก็ไม่สำคัญ ถึงอย่างไรความรักก็คือความรัก ยิ่งเรื่องรักต่างวัย พีคว่า ทุกคนเปิดรับแล้วแหละ สำหรับตัวพีคเองก็ไม่ได้ติดอะไร เพราะถึงอย่างไรความรักก็เป็นสิ่งที่สวยงามเสมอครับ”
Photography : Somkiat K.
Style : Chanasorn P.
Makeup : Hollyhua
Hair : Auddy Paiboon
เสื้อผ้าจาก Dolce & Gabbana