ถ้า ‘เพื่อน’ มีไลฟ์สไตล์คูลๆ…ก็ลองไปเยี่ยม ‘บ้านเพื่อน’ หากอยากได้อะไร ก็หิ้วของกลับ!
วันนี้ LIPS ฟีลดีทั้งวันหลังจากมีนัดไปเยี่ยม ‘บ้านเพื่อน’ ที่เต็มเป็นด้วยเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน ตลอดจนครีเอทีฟไอเทมเก๋ๆ ละลานตา พร้อมสัมผัสโมเมนต์พิเศษฟีลวัน Thanksgiving นั่งกินข้าวพร้อมกันบนโต๊ะอาหารที่ประดับด้วยของแต่งบ้านเว่อร์วังจากสแกนดิเวีย
บ้านตรอกถั่วงอกที่ไม่มี ‘ถั่วงอก’ มีแต่ ‘บ้านเพื่อน’
เผลออีกที LIPS ก็ยืนอยู่ ณ บ้านตรอกถั่วงอกซะแล้ว! อาคารพาณิชย์ขนาด 5 คูหาที่รีโนเวตมาเพื่อโอบกอดเหล่าครีเอเตอร์สายสร้างสรรค์ โดยวันนี้ได้ร่วมมือกับ NORSE Republics ผู้นำเข้าแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งบ้านจากประเทศแถบสแกนดิเนเวีย จัดงาน Baan Puen, in friendship with NORSE แบบอบอุ่น
ซึ่งคอนเซปต์งานเป็นการเปิดบ้านต้อนรับ ฟีลเที่ยวบ้านเพื่อน อย่างที่ภาษา 5G และวงการเทคฯ ชอบใช้คำว่า ‘Immersive Experience’ แต่ครั้งนี้ไม่ต้องมีโลกเสมือนจริง AR หรือ MR อะไรทั้งนั้น ถ้าอยากสัมผัสประสบการณ์บ้านเพื่อนแบบสนิ้ท…สนิท ก็แค่เดินเข้ามาเคาะประตู เจอกันตัวเป็นๆ อบอุ่นกว่าเยอะ
บรรยากาศแสนสบายที่ ‘บ้านเพื่อน’ บ้านตรอกถั่วงอก
ทาง NORSE เอง ตกแต่งหลากหลายสไตล์โดยผนวกศิลปะเข้ากับฟังก์ชันการใช้งานอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นห้องทำงาน ห้องนั่งเล่น โซนออกกำลังกาย โซนแฟชั่น โซนบิวตี้ ฯลฯ เพื่อให้เราค้นหาตัวตนของ ‘เพื่อน’ ที่ถูกจริตกับเรามากที่สุด
อันดับแรกเราสะดุดตากับโซนจัดวางบิวตี้ไอเทม (เพราะดันเหลือบไปเห็นแบรนด์โปรด rhode skin พอดี) ตั้งคู่กับโซนแอกเซสเซอรีที่ดาษดาด้วยแว่นตาสุดชิค ซึ่งก่อนหน้านั้นเราไม่เคยคิดว่าสกินแคร์และแว่นตา จะมาสร้างความรุ่มรวยรสนิยมบนโต๊ะสีขาวมินิมัลได้ แต่ทำได้! (คุณคงคิดภาพไม่ออกว่าเหล่ากองทัพสกินแคร์และแว่นตาที่บ้านเราระเกะระกะขนาดไหน) สมแล้วที่ทาง NORSE คัดเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่จากเหล่าดีไซเนอร์เสิร์ฟสุนทรียะแห่งการใช้ชีวิตมาไกลจากแถบสแกนดิเนเวีย
เสื้อผ้าก็ต้องแขวนมิดชิดไว้ในตู้เสื้อผ้าสิ! อ้าวแล้วอาภรณ์ดีไซเนอร์แบรนด์ ฯลฯ จะกลายเป็นหนึ่งของไอเทมตกแต่งบ้านบ้างได้ไหม นี่ไง ‘บ้านเพื่อน’ ทำให้เห็น
เก้าอี้สีอิฐที่ราวกับหลุดมาจากศิลปะสไตล์ดูเดิลอาร์ต ตั้งขนาบข้างโคมไฟสีโรสโกลด์แบบดูไม่ตั้งใจ (แต่ตั้งใจ) เผยให้เห็นมุมวางราวแขวนเสื้อผ้าสีสันสดใส สะท้อนรสนิยมการสวมแบบเปิดเผย!
ถ้าคุณมองผ่านโคมไฟกระดาษสไตล์จีนเข้าไปเห็นเฟอร์นิเจอร์สำหรับห้องทำงาน ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ และตู้โชว์ไม้สีน้ำตาลจัดวางผลงานศิลปะและหนังสือที่คุมโทนด้วยสีแดงขาว มันคือการผสมผสานความโอเรียลทัลร่วมสมัยเล็กๆ เข้ากับบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองในเทศกาลแห่งความสุขช่วงท้ายปี
ส่วนโซนที่มอบกลิ่นอายวินเทจได้เก๋ที่สุด เรายกให้โซนห้องนั่งเล่นที่ขนมาทั้งเครื่องเล่นแผ่นเสียง หมากรุกฝรั่งที่ทำจากไม้ ตั้งเคียงข้างเทียนหอมแบรนด์หรู
โมเดิร์น เก๋ ชิค! ลิปส์ยกให้โซนรับประทานอาหาร ในวงการเบเกอรีรู้กันว่าเครื่องตีแป้ง ตู้เย็น และกาน้ำร้อนของ SMEG เราใช้มันนิดหน่อย แต่เราโชว์มันหนักมาก! และถ้าคุณเครื่องครัวบรรจงไล่โทนสีอย่างสวยงาม (แบบคิดมา) ชั้นวางเครื่องครัวของ NORSE จะทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบเอง!
กาแฟและสารพัดครีเอทีฟไอเทม
นอกจากเฟอร์นิเจอร์ตัวปังแล้ว Baan Puen, in friendship with NORSE ยังขนแบรนด์ครีเอทีฟชั้นนำมากมาย มาเติมเต็มบรรยากาศของบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหอม Le Labo หรือหนังสืออาร์ต (ที่อ่านและแต่งบ้านได้) จาก Rock Paper Scissors หากคุณถูกใจชิ้นไหนก็รูดบัตรขนกลับบ้านได้แบบไม่ต้องลังเล
เมื่อท้องเริ่มร้องอยากจิบอะไรกรุบกริบ บริเวณชั้น 1 มีร้านกาแฟ PRIDI ที่ขนกาแฟดริปและเบเกอรีหลากหลาย อย่างเดนิชสตรอว์เบอรี และคานาเลสอดไส้ครีมใบเตยและวานิลลา เราดอกจัน 100 ดอกว่าให้ไปชิม!
‘แมรี แม็กดาลีน’ ในวัน Thanksgiving
หากกาแฟเป็นแค่การรองท้อง (เหมือนเรา) เชิญคุณไปอิ่มอร่อยกันต่อที่ชั้น 2 ซึ่งโซนนี้บ้านตรอกถั่วงอกเซตอัปเป็นห้องทานข้าวและสแน็กบาร์ ที่คุณสามารถเอนจอยแบบเบาๆ กับขนมมากมายจากร้าน Guss Damn Good, Jo’s Banoffee และ DONUT DISTURB ฯลฯ
ส่วนไฮไลต์ของวัน ลิปส์ยกให้โมเมนต์มื้อเที่ยง โดยบ้านตรอกจะหมุนเวียนเปลี่ยนเชฟ และร้านอาหารทุกๆ วันเสาร์อาทิตย์ ให้มารังสรรค์เมนูที่คุณชื่นชอบแบบไม่รู้เบื่อ และเราแสนจะตื่นเต้นที่ได้กินอาหาร 3 คอร์สที่รังสรรค์จากเชฟแห่งร้าน Fatboy Café
กลิ่นอายวัน Thanksgiving มาเต็ม เหล่าสื่อมวลชนต่างนั่งล้อมรอบโต๊ะอาหารราวกับภาพวาด The Last Supper อันโด่งดังของเลโอนาร์โด ดา วินชี เราได้ที่นั่งลำดับที่ 13 หากนับจากหัวโต๊ะ และสมองกำลังเลือกบทบาท ‘แมรี แม็กดาลีน’ ให้อินเล่นๆ ก่อนที่ภาพจะตัดเมื่อเมนูแรกมาเสิร์ฟ
คอร์สแรกเป็น ‘Bonito Cream Ramen’ ซึ่งเป็นราเมงที่มีเทมปุระอูนางิออนทอปด้วยอิคุระ ก่อนกินเชฟจะราดซุปปลาร้อนๆ ลงไป เข้ากันดีกับเส้นราเมงเหนียวนุ่ม คุณลองคีบเส้นพร้อมซดน้ำซุปรสชาตินัวๆ สไตล์ครีมมีดูสิ แล้วจากนั้นกัดอูนางิอีกสักคำ ก็ได้ความครันชีฉ่ำๆ สอดรับกันอย่างลงตัว…‘ลิ้นเรืองแสงได้’ ฉันใช้คำนี้!
จากนั้นคอร์สที่ 2 ตามเสิร์ฟ เชฟให้เลือกว่าจะกินเนื้อหรือปลา ฉันตัดสินใจเลือกเมนูปลาเลยได้ลิ้มรส Crispy Groper Mcfish ซึ่งเป็นแซนวิชเปิดหน้าโดยเอาขนมปังไปเซียกับเนยให้มีเทกซ์เจอร์กรอบนอกฉ่ำใน แล้วก็ทอปด้วยปลากะพงขาวที่นำไปดีปฟรายร้อนๆ กรอบๆ เข้ากันดีกับทาร์ทาร์เห็ดทรัฟเฟิล ตอนนี้นิยามที่มอบให้คือ ‘ลิ้นระเบิดแสง’ ไม่เกินจริง!
ปิดท้ายด้วยคอร์สของหวานอย่าง Fat Kid Parfait หรือพาร์เฟต์เด็กอ้วน ฉันสวดอภัยต่อบาปกับเทพเจ้าแห่งแคลอรี จากนั้นก็เขมือบมันลงไปแบบไม่เหลืออะไรบนจานสักอณูเดียว
เมนูนี้ประกอบด้วยเค้กช็อกโกแลตฟัดจ์หนึบๆ ออนท็อปด้วยไอศกรีมวานิลลาราดด้วยกานาชช็อกแลต (เชฟใช้ช็อกโกแลตของ VALRHONA เชียว) พร้อมโรยด้วยครัมเบิลช็อกโกแลตชิปเป็นอันจบพิธีล้างบาป! ‘ลิ้นที่กำลังวิ่งเล่นในสวนเอเดน’ นิยามสุดท้ายที่ฉันมอบให้
Baan Puen, in friendship with NORSE
เอาเป็นว่าการเที่ยว ‘บ้านเพื่อน’ ครั้งนี้ เราจอยมาก! ได้ชมทั้งของตกแต่งบ้าน ได้สัมผัสไลฟ์สไตล์ประหนึ่ง Immersive Experience (แต่เป็นคนมาจอยกันจริงๆ) รวมถึงอิ่มอร่อยอาหาร 3 คอร์สที่ฮีลใจ
จริงๆ กะจะเขียนสรุปข่าวสัก 1 หน้า แต่บรรยากาศดีเหลือเกิน เลยเพลินไปถึง 3 หน้ากว่า! แน่นอน! อยากให้ผู้อ่านไปสัมผัส Vibe แบบนี้…แบบที่เราอิน! และคุณจะตกหลุมรัก ‘บ้านเพื่อน’
มาม่วน มาจอยบ้านเพื่อนกันเยอะๆ นะคะกับงาน Baan Puen, in friendship with NORSE ที่บ้านตรอกถั่วงอก ทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน ถึง 3 ธันวาคม 2566 เท่านั้น…บรรยากาศแบบนี้ นานๆ มาที รีบรุย!!!
Words: Varichviralya Srisai
Photos: Somkiat Kangsdalwirun
