ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์
นักแสดงมากความสามารถที่ฝึกฝนตัวเองจนก้าวขึ้นมาเป็นดาราแถวหน้าของวงการบันเทิง จากบท ‘น้ำ’ ในภาพยนตร์ ‘สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก’ ที่เธอเริ่มเข้าไปอยู่ในใจใครหลายคน เดินทางมาสู่ ‘ก้านแก้ว’ ในละคร ‘หลงไฟ’ ที่พิสูจน์ว่าใบเฟิร์นคือตัวจริง และล่าสุดกับการสวมคาแรกเตอร์สีสันฉูดฉาดอย่าง ‘ทองดี’ ในละคร ‘ทองประกายแสด’ ซึ่งน่าจะเป็นอีกครั้งที่ได้พิสูจน์ฝีมือทางการแสดง
ด้วยธีม Life’s Shades ของ LIPS ฉบับนี้ เราจึงชวนดาราสาวมาร่วมพูดคุยถึงโลกที่แต่งแต้มด้วยสีสันหลากหลาย จากประสบการณ์การใชัชีวิต การทำงาน และผู้คนที่รายล้อมตัวเธอ ซึ่งใบเฟิร์นเริ่มพาเราย้อนไปในช่วงแรกที่ได้เข้ามาโลดแล่นในวงการบันเทิง
“เฟิร์นเล่นมิวสิกวิดีโอตัวแรกคือเพลงน้ำลายของวงซิลลี่ฟูลส์ ตอนอายุ 8 ขวบ ในเวลานั้นเรายังเป็นเด็กอยู่ ใครชวนไปทำอะไร เราไปหมด ช่วงที่ได้เข้ามาในวงการบันเทิงใหม่ ๆ โลกเป็นสีขาวบริสุทธิ์เลย ด้วยเราเองอาจจะยังไม่รู้จักหรือไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับวงการบันเทิง แค่รู้ตัวว่าชอบแสดง จะให้เล่นเป็นอะไรก็ได้หมด พอสวมบทบาทอย่างไร เราก็จะกลายเป็นสีนั้น
…จากโลกสีขาวที่บริสุทธิ์มาก ๆ พอได้เล่นหนังเรื่องสิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก ทุกอย่างเริ่มมีสีสันขึ้นมา ด้วยความที่เรายังใหม่มากกับการเล่นหนัง เป็นเด็กวัยรุ่นใส ๆ เราจะเป็นสีอะไร ก็เป็นได้ง่ายกว่า”
หลังผ่านการใช้ชีวิตในวงการบันเทิงที่เปลี่ยนจากวัยรุ่นมาสู่ความเป็นมืออาชีพในปัจจุบัน สีสันที่ใบเฟิร์นนิยามให้กับโลกแห่งการทำงานได้มาอยู่ในเฉดสีรุ้ง
“ตอนนี้มองการทำงานเป็นเหมือนสีรุ้ง ด้วยความที่วงการนี้มีสีสันมาก ทำให้เราได้เจอกับประสบการณ์ที่หลากหลาย เฟิร์นผ่านอะไรมาเยอะมากตลอดการทำงานเป็นหลัก 10 ปี ถ้ามองในมุมของการใชัชีวิตในวงการบันเทิง เราเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านวันที่สุข วันที่ทุกข์ ความรู้สึกมีหลากสี
อีกมุมหนึ่งคือการเป็นนักแสดงที่ได้ลองทำอะไรหลากหลาย ทั้งคาแรกเตอร์ อินเนอร์ แต่ละเรื่องมีสีที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งเฟิร์นสามารถหยิบความรู้สึกจากสีสันเหล่านั้นมาใช้ในการดำเนินชีวิตได้ด้วย”
เมื่อถามถึงสีที่แสดงถึงตัวตนของนักแสดงสาวอารมณ์ดี เธอตอบอย่างไม่ลังเลว่าเป็น สีเหลือง
“จริง ๆ เฟิร์นมีสีของตัวเองอยู่ รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงสีเหลือง เวลามีความรักหรือมีใครผ่านเข้ามาในชีวิต ก็อาจจะมีสีอื่นมาผสมกับสีเหลืองของเราบ้าง อาจจะเป็นสีขาว หรือ สีชมพู หรือสีอะไรก็ได้ เพราะคนที่เข้ามาอยู่ในชีวิตเรา เขาก็มีสีของเขาเองเหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะผสมกันออกมาเป็นสีอะไร เฉดสีที่เด่นชัดที่สุดก็ยังต้องเป็นสีเหลือง ซึ่งเป็นสีที่สะท้อนความเป็นตัวเฟิร์นมากที่สุด
…ถ้าเป็นสีที่ชอบแต่งตัวในการใช้ชีวิตทั่วไป เฟิร์นจะมั่นใจกับอะไรที่มีสีสันน้อย ๆ ไม่ค่อยชอบใส่อะไรที่มีสีสันมากนัก แอบรู้สึกว่าไม่อยากโดดเด่นเกินไปเวลาไปไหนมาไหน อยากรู้สึกง่าย ๆ สบาย ๆ มากกว่า ส่วนใหญ่จะเป็นสีเอิร์ธโทน แม้กระทั่งบ้านหรือห้องนอน ก็จะเน้นเป็นสีขาว สีไม้จริง ส่วนตัวคิดว่าอะไรที่มีความเป็นธรรมชาติ เราจะสามารถอยู่กับมันได้นาน”
หลังได้สัมผัสโลกหลากสีสันของ ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก เราไม่พลาดที่จะให้เธอย้อนเล่าถึงความประทับใจจากทริปท่องเที่ยวประเทศอังกฤษที่ผ่านมาด้วย
“ปีที่แล้วเฟิร์นทำงานยาวทั้งปี ฉะนั้นปลายปีจะเป็นช่วงเวลาที่เราได้ทีหนีงานไปหยุดยาว ๆ ทริปอังกฤษที่ผ่านมา เฟิร์นตัดขาดจากเรื่องงานไปเลย กับผู้จัดการในช่วงนั้นเราไม่คุยเรื่องงานกันแม้แต่นิดเดียว เปลี่ยนเข้าโหมดท่องเที่ยวจริง ๆ อยู่ด้วยกัน ตื่นด้วยกัน นอนด้วยกันตลอด
…ทริปนี้ได้ไปอยู่กับคุณป้า และญาติของ นาย (ณภัทร เสียงสมบุญ) ทุกคนดูแลเฟิร์นอย่างดีมาก ๆ คุณป้าจะคอยดูแลทุกอย่าง ทำกับข้าวให้ ช่วงนั้นได้กินอาหารไทยทุกมื้อ และตลอดทั้งทริปไม่มีใครให้เฟิร์นช่วยทำอะไรเลย เพราะทุกคนอยากให้เราได้พักผ่อนจริง ๆ ก็ต้องขอบคุณทุกคนที่ช่วยให้เฟิร์นได้ชาร์จพลังอย่างเต็มที่
…การได้ไปทริปยาว ๆ แบบนี้ทำให้รู้ว่าเราแอบเป็นคนที่ขี้เกียจมาก (หัวเราะ) เป็น 3 อาทิตย์ที่ไม่ต้องคิดอะไรเลย รู้สึกแฮปปี้มาก ๆ ชอบความเรื่อยเปื่อย จะไปเที่ยวไหนก็ไม่ต้องมีแผนหรือเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ต้องกะเกณฑ์ว่าจะต้องแต่งตัวแบบไหน เพื่อออกไปทำอะไร ครั้งนี้เน้นการพักผ่อนจริง ๆ ไม่ได้เที่ยวแบบเน้นแลนด์มาร์ก เรียกว่าไปเดินเล่นมากกว่า ใช้ชีวิตแบบคนที่นู่นเลย รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากโลกแห่งการทำงานของเราอย่างสิ้นเชิง”
ใบเฟิร์นยังได้เผยต่อถึงเป้าหมายการท่องเที่ยวครั้งต่อไป นั่นคือการพาเพื่อนร่วมงานไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นในช่วงที่หิมะตก
“ตอนนี้เฟิร์นกลับเข้าโหมดของการสะสางงานที่คั่งค้างกับทุกคนตั้งแต่ช่วงที่เราหนีไปเที่ยวปีใหม่ สำหรับทริปต่อไปที่คิดเอาไว้กับเพื่อน ๆ คือการไปเที่ยวญี่ปุ่น ด้วยความที่เฟิร์นจะสนิทกับช่างแต่งหน้า ช่างทำผมมาก ๆ สนิทเหมือนเป็นเพื่อนกันเลย ซึ่งพวกเขายังไม่เคยเจอหิมะ ก็เลยวางแผนไว้คร่าว ๆ ว่าอยากจะพาทุกคนไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยกัน”
ขาดไม่ได้คือการอัปเดตผลงานล่าสุด ซึ่งเชื่อว่าแฟนคลับของสาวใบเฟิร์นน่าจะกำลังตั้งตารอกันอยู่ ทั้งละคร ‘ทองประกายแสด’ และ ซีรีส์ ‘Beauty Newbie’ ที่นำซีรีส์เกาหลีที่ได้รับความนิยมของเกาหลีอย่าง My id is Gangnam beauty มารีเมกในเวอร์ชันไทย
“ช่วงนี้เฟิร์นจะถ่ายแฟชั่น ให้สัมภาษณ์ และทำงานโฆษณาเป็นส่วนใหญ่ เพราะละครทองประกายแสดที่จะเล่นกับช่องวัน 31 ยังไม่เปิดกล้อง กำลังรอให้พี่กู่ (กู่-เอกสิทธิ์ ตระกูลเกษมสุข) ทำบทให้ลงตัวที่สุดก่อน เรื่องนี้มีอะไรให้เล่นหลากหลาย มีความท้าทาย ซึ่งเป็นสิ่งที่เฟิร์นอยากทำอยู่แล้ว และมีโอกาสได้ทำงานกับนักแสดงที่เราอยากร่วมงานด้วยมานานหลายคนมาก ๆ ที่สำคัญได้ทำงานกับพี่กู่ ผู้กำกับที่เราสนิทสนมกันอยู่แล้ว ถามว่าคาดหวังกับผลงานชิ้นนี้ไหม ก็ขอตอบเหมือนเดิมว่า ทุกครั้งที่ทำงาน เฟิร์นไม่เคยคิดว่าจะดังหรือไม่ดัง ส่วนตัวมองว่าเรื่องราวระหว่างทางของการทำงานมันสำคัญมากกว่า”
ผลงานอีกชิ้นหนึ่งที่รออยู่เหมือนกันคือ ซีรีส์เรื่อง Beauty Newbie ของ GMM ได้ร่วมงานกับน้องวิน (วิน-เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร) เป็นซีรีส์ที่สะท้อนสังคมในเรื่องคุณค่าของผู้หญิง เป็นเรื่องราวของเด็กสาวคนหนึ่งที่ต้องการการยอมรับจากครอบครัวและสังคม เธอตัดสินใจไปทำศัลยกรรม เพราะหวังว่าจะพ้นจากการถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่หลังจากที่ทำศัลยกรรมมาแล้ว เธอก็ยังเจอการคอมเมนต์ในแง่มุมอื่นอยู่ดี ซึ่งเรื่องนี้จะให้แนวคิดที่ดีกับคนดูในเรื่องการมองเห็นคุณค่าในตัวเอง อยากให้รอติดตามกัน”
ไม่เพียงฝากให้ทุกคนรอติดตามผลงาน ใบเฟิร์นยังฝากข้อความถึงแฟนคลับ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแหล่งกำลังใจที่ดี ตลอดระยะเวลาหลายปีที่เธอโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิง
“ระหว่างแฟนคลับกับเฟิร์น เราเป็นความสบายใจของกันและกันมาเป็น 10 ปี ตั้งแต่หนังสิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก จนมาถึงวันนี้ ก็มีแฟนคลับใหม่เข้ามาเรื่อย ๆ ไม่ว่าเฟิร์นจะทำอะไร เขาซัพพอร์ตและรักเฟิร์นในแบบที่เฟิร์นเป็นจริง ๆ ไม่เคยอยากให้เฟิร์นหลบซ่อนหรือปิดบังอะไร ทุกคนเชียร์ ทุกคนมีความสุขกับทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นวิธีพูด การแสดงออก จะนั่งท่าไหน ทำอะไร เขารักและเอ็นดูเฟิร์นในแบบนี้ ก็หวังว่าเราจะเป็นความสบายให้กันไปอีกนาน ๆ”
เมื่อถามถึงแผนอนาคตในวงการบันเทิงที่มองไว้ ใบเฟิร์นเผยว่าไม่ได้วางแผน หรือกะเกณฑ์สิ่งใดไว้ แค่ทำทุกอย่างในปัจจุบันอย่างดีที่สุดก็เพียงพอแล้ว
“เฟิร์นไม่เคยวางแผนหรือคาดการณ์อะไรล่วงหน้านาน ๆ เลย มองแค่งานที่รับมาแต่ละวัน พยายามให้ออกมาดีไปเรื่อย ๆ เคยถามตัวเองเหมือนกันว่า อยากเป็นนักแสดงไปจนถึงเมื่อไร คำตอบคือตัวเองน่าจะเป็นนักแสดงไปได้ตลอดชีวิตเลย บทอะไรก็สามารถเล่นได้หมด บทคุณแม่ บทคุณยาย แต่ในอนาคตคงไม่ได้ทำงานด้วยปริมาณเดียวกับที่เรายังมีแรงอยู่เหมือนทุกวันนี้ อาจจะเลือกรับงานในช่วงเวลาที่ลงตัวกับจังหวะชีวิตในช่วงนั้น ๆ
…การเป็นนักแสดง คือ ความฝันของเฟิร์น ทุกอย่างที่ได้ลงมือทำไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระเบียบวินัย ความตั้งใจ การตรงต่อเวลา การทำการบ้าน เฟิร์นทำโดยไม่ต้องบังคับตัวเองมากมายเลย เพราะเฟิร์นรู้ว่านักแสดงคือความฝัน เฟิร์นได้มันมายาก ทั้งแคสต์งาน ผ่านมาทุกอย่าง ไม่ง่ายเลยที่จะได้พื้นที่ในการแสดงศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเอง เมื่อวันนี้เราได้มันมาแล้ว ความฝันเป็นจริงแล้ว เฟิร์นอาจจะไม่ได้มีคำพูดที่เป็นหลักการหรือคมคายอะไร แค่เราเห็นคุณค่าของสิ่งที่เราทำในทุกวัน แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการทำงานในวงการบันเทิง”
แต่สิ่งที่เธอชัดเจนตลอดมาและจะยังทำต่อไป นั่นคือ การเป็นความสุขของทุกคนในชีวิต
“เฟิร์นอยากเป็นความสุขของทุกคน เพราะฉะนั้นเฟิร์นก็ต้องมีความสุขก่อน แล้วเราจึงจะสามารถเป็นความสุขให้กับคนรอบข้างได้ สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตสำหรับเฟิร์นไม่ใช่ชื่อเสียงหรือเงินทองที่มากกว่านี้ แต่เป็นความสัมพันธ์กับผู้คนในชีวิตมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน หรือคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเรื่องการทำงานหรือชีวิตส่วนตัว เราอยากเป็นความสุขให้คนอื่น และเชื่อว่าสิ่งนี้จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต”
สำหรับความสุขในเรื่องความรัก มุมมองของเฟิร์นเปลี่ยนไปในทุกช่วงของอายุ เราค่อย ๆ เติบโต รู้สึกว่าได้รู้จักตัวเองมากขึ้น พอเรารู้จักตัวเอง มีสติ และรู้เท่าทันความคิด ความสุขก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากหรือซับซ้อนอะไร ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการมองโลกของเราเอง”