ในช่วงนี้สายบิวตี้หลายๆ คนคงจะคุ้นชินกับเหล่าผลิตภัณฑ์บิวตี้ประเภท Clean Beauty, Sustainable Beauty และ Hero Ingredients เสียเป็นส่วนใหญ่ เราปฏิเสธไม่ได้เลยเพราะว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นเทรนด์ความงามที่กำลังมาแรงมากๆ ในตอนนี้ ทำให้บนเคาต์เตอร์เครื่องสำอางในร้านค้าความงามทั้งหลายเต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมสุดยั่งยืน สะอาด และปลอดภัยต่อผิวของเรา แถมแพกเกจจิ้งสุดมินิมอลที่ทำมาจากวัสดุรักษ์โลกและสามารถรีไซเคิลได้
แต่ในทางตรงกันข้ามเทรนด์บิวตี้รักษ์โลกเหล่านี้ส่งผลให้สายบิวตี้หลายๆ คนอาจจะคิดถึงบิวตี้โปรดักส์สุดปังที่มีดีไซน์สวยและฟังชั่นสุดว้าวหรือที่เราเรียกกันว่า ‘Beauty Daring Product’ ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้คอยมาเติมเต็มความแฟนตาซีในหัวใจของสาวกความงามได้ แต่ในแวดวงความงามปัจจุบันเหล่าบิวตี้โปรดักส์ชนิดนี้ค่อนข้างหายากตามวัฏจักรของเทรนด์ความงามที่เปลี่ยนไปทุกๆ ปี
แต่หลายปีที่ผ่านมาเราก็จะเห็นแบรนด์คลื่นลูกใหม่ที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ซึ่งท้าทายผู้บริโภคทั้งเรื่องของรูปลักษณ์และฟังก์ชันในการใช้งานอยู่หลายๆ แบรนด์ รวมไปถึงแบรนด์เก่าแก่บางแบรนด์ที่ยังคงภาพลักษณ์ยูนีคและน่าหลงใหลเหล่านั้นเอาไว้จนถึงทุกวันนี้ วันนี้เราเลยจะมารวบรวมแบรนด์บิวตี้ดีไซน์เก๋และฟังก์ชันสุดว้าวตอบโจทย์ธีมเล่ม #ArtandDesign ของ LIPS ในเดือนพฤษภาคมจะมีแบรนด์อะไรบ้างเราลิสต์มาให้คุณแล้ว
Diptyque
เราขอเริ่มกับแบรนด์แรกที่มีประวัติความเป็นมายาวนานที่สุดในลิสต์นี้อย่าง ‘Diptyque’ แบรนด์บิวตี้สุดเก๋จากปารีสที่มีอายุกว่า 60 ปี ซึ่งแบรนด์สุดเก๋จากปารีสนี้นอกจากจะมีจุดเด่นเรื่องกลิ่นหอมที่มีความเฉพาะตัวและไม่เหมือนใครแล้ว เรื่องของดีไซน์ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่แบรนด์ให้ความใส่ใจเป็นอย่างมากซึ่งจุดเด่นทั้งสองอย่างที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวนั้นตอบโจทย์คำว่า Beauty Daring Product มากๆ
เป็นเพราะว่าแบรนด์นี้ก่อตั้งขึ้นโดยเพื่อนสนิทสามคนที่ล้วนอยู่ในแวดวงด้านการออกแบบอย่าง ‘Christiane Gautrot’ นักออกแบบภายใน ‘Desmond Knox-Leet’ จิตรกร และ ‘Yves Coueslant’ นักออกแบบฉากโรงละครที่ร่วมกันเปิดร้าน Diptyque ขึ้นมา ณ Boulevard Saint-Germain หนึ่งในถนนสุดโด่งดังของปารีส ซึ่งในตอนแรกทั้งสามคนขายของเกี่ยวกับงานศิลปะต่างๆ ที่พวกเขาเป็นคนออกแบบ จนในปี 1963 จุดเริ่มต้นของกลิ่นหอมสุดยูนีคของแบรนด์นี้ได้เกิดขึ้นในรูปแบบของเทียนหอมก่อนที่จะพัฒนาเป็นน้ำหอมและเครื่องหอมอีกมากมาย
ปัจจุบันแบรนด์นี้มีกลิ่นหอมกว่า 79 กลิ่นและมีผลิตภัณฑ์อีกหลากหลายชนิดให้สายบิวตี้เลือกใช้ เช่น ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวกาย ของแต่งบ้าน หรือแม้แต่สกินแคร์ก็ตาม แต่อย่างที่บอกไปจุดเด่นของแบรนด์คือดีไซน์ที่ใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ล้วนเกิดจากการตกตะกอนทางด้านศิลปะเป็นอย่างมากยกตัวอย่างเช่น ฉลากของน้ำหอมของ Diptyque ซึ่งน้ำหอมแต่ละกลิ่นจะมีภาพบนฉลากที่แตกต่างกันออกไปตามแรงบันดาลใจของกลิ่นนั้นๆ ราวกับว่าเราครอบครองงานศิลป์สุดล้ำค่าในรูปแบบของขวดน้ำหอม หรือจะเป็น Difusser ของแบรนด์นี้ที่ทำออกมาในรูปทรงนาฬิกาทรายสุดเก๋ที่นอกจากจะปล่อยกลิ่นหอมแล้วยังเหมือนได้ครอบครองของแต่งบ้านสุดคราฟต์เลยทีเดียว
Tamburins
แบรนด์ต่อมาเป็นแบรนด์ฝั่งเอเชียกันบ้างอย่าง ’Tamburins’ แบรนด์บิวตี้สุดชิคจากเกาหลีใต้หนึ่งในแบรนด์ในเครือ IICOMBINED บริษัทแม่ของแบรนด์แว่นตาสุดชิค Gentle Monster ที่กระโดดมาเอาดีทางด้านบิวตี้จนกลายเป็นแบรนด์บิวตี้สุดเก๋เบอร์ต้นๆ ของเอเชียในตอนนี้
Tamburins นั้นได้รับความนิยมมากๆ ตั้งเริ่มเปิดตัวมาในปี 2017 ซึ่งในตอนแรกนั้นแบรนด์จำหน่ายสินค้าอยู่ประเภทเดียวนั่นก็คือ Hand Cream อันโด่งดังที่กลายเป็นสินค้าไอคอนิคของแบรนด์ไปแล้วก่อนที่จะออกผลิตภัณฑ์ตามมาอีกมากมาย เช่น น้ำหอม, เทียนหอม, สกินแคร์ และเจลล้างมือ โดยแบรนด์นั้นมีจุดมุ่งหมายที่ผลิตสินค้าที่สื่อถึงศิลปะที่โอบรับกับประสาทสัมผัสด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น สัมผัส รูปลักษณ์ ดังนั้นการจะผลิตสินค้าชนิดใดขึ้นมาสักหนึ่งชิ้นจะต้องผ่านกระบวนการและการทดสอบมากมาย
และที่โดดเด่นจนเราต้องหยิบเอาแบรนด์นี้เข้ามาอยู่ในลิสต์ Best Beauty Daring Product ก็คือดีไซน์ของโปรดักส์ แพ็กเกจจิ้ง และหน้าร้านของ Tamburins ที่มีความคราฟต์สูงมากยกตัวอย่างเช่น Difusser รุ่นล่าสุดของแบรนด์ที่ออกมาช่วงกลางปีที่แล้วที่ทางแบรนด์เรียกว่า ’Scent Object’ มีรูปทรงเป็นแจกันแก้วทรงกลมอสมมาตรที่เป่าชิ้นต่อชิ้นและ Made-to-Order เท่านั้น Exclusive สุดๆ นอกจากนั้นย้อนกลับไปที่ Hand Cream สุดโด่งดังของแบรนด์ที่มาในหลอดอะลูมิเนียมแบบครีมทามือทั่วไปแต่ตกแต่งด้วยโซ่และใช้วัสดุสุดยูนีคในการผลิตทำให้มันกลายเป็นไอคอนิคไอเท็มในชั่วข้ามคืน
Glossier
เชื่อว่าแบรนด์ต่อมาทุกคนต้องรู้จักและลองใช้ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์นี้สักชิ้นหนึ่งอย่าง ‘Glossier’ แบรนด์บิวตี้สุดอินดี้สัญชาติอเมริกันที่ฮิตจน Break the Internet และได้รับความนิยมไปทั่วโลก Glossier นั้นเป็นหนึ่งในแบรนด์บิวตี้ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วด้วยความ ‘ง่าย’ และ ‘น้อย’ ซึ่งเป็นหัวใจหลักในทุกมิติของแบรนด์ ทำให้แบรนด์นี้ได้รับความนิยมเป็นวงกว้างถึงแม้จะไม่ใช่สายบิวตี้ก็ตาม
Glossier ก่อตั้งโดย Emily Weiss ซึ่งเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มความงามอย่าง Into the Gloss ความเข้าใจในความต้องการของผู้บริโภคและประสบการณ์ในวงการความงามทำให้เธอสามารถพา Glossier ดังเป็นพลุแตกจนเธอติดลิสต์สาวผู้ทรงอิทธิพลอยู่ในนิตยสารมากมาย ปัจจุบันแบรนด์ Glossier นั้นมีสินค้ามากกว่า 40 ชิ้นไม่ว่าจะเป็นเมคอัพ สกินแคร์ น้ำหอม ครีมบำรุงผิว และอีกมากมายซึ่งทั้งหมดล้วนตอบโจทย์มุมมองความงามของคนยุคใหม่
แต่อีกสิ่งที่เป็นหนึ่งในปัจจัยให้แบรนด์นั้นประสบความสำเร็จนั่นก็คือ ‘ดีไซน์’ ของแพ็กเกจจิ้งต่างๆ ของ Glossier ที่ส่วนใหญ่มาในสีชมพูเฉด ‘Millennial-Pink’ สุดทันสมัยโดยใจสายบิวตี้ยุคใหม่นอกจากสีชมพูเราก็จะเห็นสีแดง สีขาว และสีเงินเป็นโทนสีหลักที่พบในแพ็กเกจจิ้ง เราจะเห็นจากผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของแบรนด์นี้ว่าไม่ได้หวือหวาและหรูหราเหมือนเครื่องสำอางแบรนด์อื่นๆ เมื่อสิบปีที่แล้วแต่มันให้ความสนุกแบบที่แบรนด์บิวตี้อื่นๆ ไม่สามารถมอบให้ได้
ซึ่งสาเหตุเป็นเพราะว่ามันถูกคิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความน้อยและง่ายซึ่งเป็นหัวใจหลักของแบรนด์ซึ่งทำให้มันโดดเด่นและไม่เหมือนใครจนกลายเป็นแบรนด์สุดฮอตแห่งทศวรรษนี้ไง ล่าสุด Glossier ได้ดึงตัว Olivia Rodrigo นักร้องสาวดาวรุ่งผู้เป็นแฟนคลับของแบรนด์อยู่แล้วยกระดับให้เธอกลายเป็น Partner ของแบรนด์คนแรกที่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง
Byredo Beauty
ขอขยับจากแบรนด์บิวตี้สุดแมสมาสู่แบรนด์นิชบิวตี้สัญชาติสวีเดนอย่าง ‘Byredo Beauty’ ที่ต่อยอดมาจากไลน์น้ำหอมสุดโด่งดังของแบรนด์ ซึ่งไลน์บิวตี้ของแบรนด์นี้เรียกว่าเด็ดไม่แพ้ไลน์ของเครื่องหอมเลยเพราะได้ช่างแต่งหน้าชื่อดังมากร่วมงานหลายคนมากๆ อย่างคนแรกก็คือ Isamaya Ffrench ช่างแต่งหน้าสุดแซ่บที่สร้างอิมเมจให้ Byredo Beauty กลายเป็นแบรนด์เมคอัพสุดเก๋และยูนีคสุดๆ ซึ่งสีสันและเนื้อสัมผัสนั้นท้าทายสายบิวตี้มาก
ล่าสุด Ben Gorham ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์และผู้ก่อตั้งแบรนด์ Byredo ได้ประกาศว่า Lucia Pica จะมาเป็น Creative Image และ Makeup Partner คนล่าสุดของแบรนด์แทน Isamaya ซึ่งสาวกบิวตี้ตื่นเต้นมากเพราะเธอเป็น Global Creative Makeup และ Colour Designer ที่ Chanel ถึง 6 ปีก่อนจะกระโดดมาทำที่ Byredo ซึ่งเธอคือคนที่ตีความสาว Chanel ยุคใหม่ผ่านไลน์ Beauty ของแบรนด์ซึ่งพูดเลยว่าช่วงที่เธอทำงานอยู่ Chanel Beauty นั้นมีผลิตภัณฑ์และเฉดสีออกใหม่ที่น่าใช้มากๆ
เป็นสัญญาณอันดีว่า Byredo Beauty กำลังจะปรับโฉมจากเมคอัพสุดยูนีคเต็มไปด้วยเซนส์ด้านศิลป์ให้มีความเข้าถึงง่ายแต่ยังคงไฮแฟชั่นเหมือนเดิม เหนือสิ่งอื่นใด Byredo Beauty เป็นแบรนด์บิวตี้ที่มีแพ็กเกจจิ้งสวยงามราวกับชิ้นงามศิลปะเพราะนั่นเป็นสิ่งที่ตกตะกอนมาไอเดียของ Ben Gorham ผู้ซึ่งมีความสนใจทางด้านศิลปะไม่แพ้กลิ่นหอมเลย แพ็กเกจจิ้งของเมคอัพแต่ละชิ้นสวยงามจนเรามองข้ามเรื่องประสิทธิภาพของมันไปและอยากมี Byredo Beauty อยู่ในครอบครองสักชิ้น
Christian Louboutin Beauty
แบรนด์สุดท้ายถึงจะเป็นชื่อที่เราคุ้นหูมากๆ แต่ก็นิชไม่แพ้ Byredo เลยอย่าง ‘Christian Louboutin Beauty’ ที่มอบมุมมองความงามสุดหรูหราและเซ็กซี่ตามแบบฉบับของแบรนด์ลงในบิวตี้โปรดักส์ได้เป็นอย่างดี ภาพจำของแบรนด์ Christian Louboutin คือ “รองเท้าพื้นแดงที่ทุกคนใฝ่ฝัน” แต่พอมาเป็นไลน์บิวตี้ของแบรนด์นี้ก็คงจะเป็นประโยคที่ว่า “ลิปสีแดงที่ทุกคนใฝ่ฝัน”
เพราะในไลน์บิวตี้นั้น Mr.Christian Louboutin ก็ยังคงชูสีแดงนั้นเป็นเฉดสีหลัดของไลน์ที่สาวๆ ไม่อาจต้านทานพลังของมันได้แตกออกมาเป็นบิวตี้โปรดักส์หลากหลายรูปแบบทั้งลิปสติกเนื้อครีม ลิปสติกเนื้อน้ อายแชโดว์ น้ำหอม และยาทาเล็บสุดอลังกาลของแบรนด์ แต่นอกจากสีแดงหลากหลายเฉดที่แบรนด์ได้นำเสนอสู่สาวกบิวตี้แล้วแพ็กเกจจิ้งของ Christian Louboutin Beauty ยืนหนึ่งเรื่องความเว่อวังอลังกาล
เราขอยกตัวอย่างผลิตภัณฑ์สุดไอคอนิคของแบรนด์นี้อย่าง ‘Matte Nail Colour’ ยาทาเล็บเนื้อแมตต์ที่มีรูปทรงที่แสนจะสะดุดตาด้วยฝาที่แหลมถึง 8 นิ้วได้แรงบันดาลใจมาจากรองเท้าที่ส้นสูงที่สุดของ Christian Louboutin อย่าง ‘Ballerina Ultima’ หรือจะเป็น Velvet Matte Lip Colour ลิปสติกรุ่นฮิตของแบรนด์ที่มาในแพ็กเกจรูปทรงแอมโฟราหรือภาชนะสองหูโบราณที่มาพร้อมกระเป๋าพกพาสุดหรูหราและริบบิ้นที่สามารถร้อยกับฝาลิปสติกเพื่อใช้เป็นเครื่องประดับได้ นอกจากนั้นไลน์บิวตี้สุดหรูนี้ยังสามารถรีฟิลได้ในหลายๆ ไอเท็มเพื่อโอบรับเทรนด์ความงามยั่งยืนอีกด้วย