จากหนุ่มน้อยในโปรเจกต์ดาวรุ่ง Supernova ของทางช่อง 3 ที่เคยชิมลางในบท ‘เอน’ จากละครเรื่อง ‘ข้ามสีทันดร’ และบท ‘โทนี่’ จากเรื่อง ‘ที่สุดของหัวใจ’ เบ่งบานไปสู่ตัวละครล่าสุดอย่าง ‘นนท์’ ใน ‘เกมรักทรยศ’ ฯลฯ ที่เรียกว่าชิมมาครบทุกรสชาติ
และเพื่อเป็นการตามความฝันในเส้นทางการแสดงราวกับกระหายในเครื่องดื่ม นักแสดงหนุ่มผู้นี้กำลังแสวงหาความกลมกล่อมในทุกบทบาทที่ผ่านเข้ามาในชีวิต และเครื่องดื่มล่าสุดที่เขากำลังทดลองจิบนั่นเป็นรสชาติแนววายพีเรียดอย่างซีรีส์เรื่อง ‘หอมกลิ่นความรัก’ และวันนี้มาพูดคุยกับ ‘ไบร์ท-รพีพงศ์ ทับสุวรรณ’ นักแสดงนำในบท ‘คุณใหญ่’ เจ้านายผู้ตกอยู่ในห้วงภวังค์รัก
ภายใต้เครื่องหน้าอันหล่อเหลาที่มาพร้อมรอยยิ้มและแววตาอันเป็นประกาย เราค้นพบว่า ‘ความปราดเปรื่อง’ ของเขาเป็นส่วนที่มีเสน่ห์สูงที่สุด และวันนี้เรามาจิบเครื่องดื่มกลมกล่อม (กาแฟ!) พร้อมพูดคุยถึงสังคมที่ปราศจาก ‘Styreotype’ ผ่านตัวละคร ‘คุณใหญ่’ ราวกับอยู่ ’ ใน ‘ปัตยุบันบาร์!!!?’
LIPS: นี่เป็นซีรีส์วายเรื่องแรกเลยไหม?
ไบร์ท: ถ้าเป็นละครวายก็เคยมีของช่อง 3 แต่แค่มีกลิ่นนิดๆ ไม่ได้วายเต็มตัวขนาดนั้น ส่วน ‘หอมกลิ่นความรัก’ นับว่าเป็นเป็นซีรีส์วายเต็มตัวเรื่องแรกเลยครับ (ยิ้มกว้าง)
LIPS: มองว่ามัน ‘สดใหม่’ อย่างไรในฐานะที่เราก้าวมาแตะซีรีส์วายเต็มตัว?
ไบร์ท: ไบร์ทมองว่าซีรีส์วายเป็นแขนงหนึ่งของการแสดง ไม่ได้คิดว่ามันสื่อสารเฉพาะทางระหว่างชายกับชายอะไรแบบนั้น มันเหมือนเป็นอีกหนึ่งประเภทของซีรีส์ อย่างแนวแอกชัน ดราม่า คอมเมดี ฯลฯ ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่เรามาสวมบทบาท
LIPS: ที่มาที่ไปในการรับบทคุณใหญ่
ไบร์ท: จริงๆ พี่ตี๋ (ตี๋-บัณฑิต สินธนภารดี ผู้กำกับ) กับพี่บอส (บอส-อนุสรณ์ ลิ้มประเสริฐ ผู้จัดละคร) เขาติดต่อไบร์ทมาหลายเรื่องแล้ว พอมีเรื่องนี้ผมเลยรีบปรึกษาเพื่อนที่เขาชื่นชอบนิยายและซีรีส์วายอยู่แล้ว ผมอยากฟังคอมเมนต์ว่าหลังจากอ่านนิยายเรื่องหอมกลิ่นความรักแล้ว เขาคิดเห็นอย่างไร ปรากฏว่าพอเพื่อนรู้ว่าเป็นบท ‘คุณใหญ่’ เขาก็ตื่นเต้นบอกให้เรารีบตัดสินใจรับ รวมถึงผมเองเมื่อได้รับฟีดแบกแบบนั้นก็ไปหานิยายมาอ่านพร้อมดูสปอยล์ทางยูทูบด้วย พอได้อ่านไปสักพักก็รู้สึกว่าตัวนิยายสนุกจังเลย จริงๆ แล้วไบร์ทไม่ได้ชอบการอ่านหนังสือด้วยซ้ำ (หัวเราะ) แต่ปรากฏว่าเรื่องนี้อ่านได้เพลินและเร็วมาก การดำเนินเรื่องน่าสนใจผมเลยตัดสินใจรับเล่นครับ
LIPS: พีเรียดกำลังไปได้ดีกับวัฒนธรรมวาย ดูเหมือนปีนี้มีการแข่งขันกันสูง
ไบร์ท: ไบร์ทรู้สึกว่า ‘ความพีเรียด’ เป็นหนึ่งในซอฟต์พาวเวอร์ของไทย ชาวต่างชาติที่มาเที่ยวก็อินกับกระแสชุดไทย ขนมไทยและอาหารไทย ฯลฯ รวมถึงประเด็นการแข่งขันของซีรีส์วายแนวพีเรียดทั้งหลาย ไบร์ทมองว่าในแต่ละเรื่องก็มียุคสมัย มีไทม์ไลน์ที่แตกต่างกัน ส่งผลให้บริบทและสภาพแวดล้อมในหนังแตกต่างกันออกไปด้วย ดังนั้นการหยิบยกซอฟต์พาวเวอร์สิ่งไหนมานำเสนอก็หลากหลายขึ้นอยู่กับภาพยนตร์ในแต่ละเรื่อง
LIPS: แสดงว่าไบร์ทกำลังแบกรับความรับผิดชอบทั้งขาของพีเรียดและขาของวัฒนธรรมวาย ที่ต้องนำเสนอทั้งสองมิติให้กลมกล่อม
ไบร์ท: ไบร์ทว่ามันไม่ได้ยากเลยครับ บริบทที่ใส่มาในหนังทั้งสองมิติไม่ได้เป็นการยัดเยียด มันเป็นการถ่ายทอดชีวิตประจำวัน และอารมณ์ของมนุษย์ โดยเฉพาะมิติของพีเรียดที่เนื้อเรื่องนำเสนอการกระทำหรือสิ่งของบางอย่างในสมัยอดีตที่ส่งผลมาถึงปัจจุบัน กลายเป็นเกร็ดประวัติศาสตร์อย่างหนึ่งซึ่งมันน่าสนุกดีอย่างเช่น ‘ขนมมัศกอด’ ที่เป็นคัพเค้กโบราณคล้ายคลึงกับคัพเค้กปัจจุบัน หรือ ‘ครัวซองต์’ ที่สมัยก่อนเรียกว่า ‘ขั้วสอง’ ผู้ชมก็ได้เกร็ดความรู้มากขึ้นด้วย
LIPS: อ่า เข้าใจอารมณ์นั้นเลย! เหมือนที่ตัวละครพูดชื่อบาร์อะไรสักอย่าง (จำไม่ได้) ที่ทำให้ต้องไปเสิร์ชอากู๋ด้วยความอยากรู้
ไบร์ท: อ๋อ ‘ปัตยุบันบาร์’ น่าจะมาจากภาษาสันสกฤตที่สื่อถึง ‘ปัจจุบัน’ หมายถึงบาร์ที่ค่อนข้างทันสมัย เป็นบาร์ที่คุณใหญ่พาจอมไปในวันคริสต์มาส ซึ่งสถานที่แห่งนี้สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้อย่างอิสระ ถ้าเราย้อนกลับไปในไทม์ไลน์ของเรื่อง ณ พ.ศ.2470 ประเด็นความหลากหลายและการเห็นต่างอาจไม่ได้รับการยอมรับมากนัก ไม่ว่าจะเป็นบทบาททางด้านสังคม เพศสภาพ หรือฐานะต่างๆ แต่พอตัวละครไปอยู่ในสถานที่แห่งนั้นมันเหมือนเปิดกว้างอย่างเสรี กล้านำเสนอในความเท่าเทียมและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในแบบที่ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นหรือวรรณะ ซึ่งชื่อ ‘ปัตยุบันบาร์’ พี่ตี๋ตั้งใจใส่เข้าไปให้เป็นกิมมิกที่สื่อถึงการเปิดกว้างแห่งยุคปัจจุบันครับ
LIPS: ซีรีส์วายที่ถูกครอบด้วยบริบทพีเรียดยิ่งทำให้ตัวละครดิ้นยากไปอีกภายใต้ขนบและกรอบที่พันธนาการ?
ไบร์ท: มองประเด็นนี้ผ่านตัวละคร ‘จอม’ และ ‘คุณใหญ่’ ซึ่งทั้งจอมและคุณใหญ่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางประการ แต่การที่จอมก้าวมาจากอนาคตและไม่รู้ว่าจะอยู่ในช่วงเวลานี้ได้นานแค่ไหน เขาจึงลงมือทำด้วยความรวดเร็ว ขณะที่คุณใหญ่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป อีกทั้งยังแบกรับอะไรหลายๆ อย่าง ด้วยความที่เขารักผู้ชายแต่บริบทรอบข้างอย่างคุณพ่อก็เป็นข้าราชการใหญ่ซึ่งต้องรักษาหน้ารักษาตา ก็เลยยากที่จะเปลี่ยนแปลงหน่อย คุณใหญ่เองก็หาทางนะแต่ไม่สามารถทำได้อย่างฉับพลัน ซึ่งมันก็เชื่อมโยงถึงปัจจุบันด้วย ถามว่าปัจจุบันคนยอมรับเรื่องสิ่งต่างๆ เหล่านี้มากขึ้นไหม คนก็ยอมรับมากขึ้น มันเป็นเรื่องปกติของบริบทสมัยนี้ แต่ในเรื่องกฎหมายหรือความเท่าเทียมบางประการที่มันควรได้รับการแก้ไขจริงๆ ก็ยังไม่ได้ถึงจุดสำเร็จ มันค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปอยู่
LIPS: แล้วไบร์ทถ่ายทอดปมเจ็บปวดเหล่านี้อย่างไร?
ไบร์ท: ตัวละครนี้พยายามสื่อไปถึงคุณพ่อกับคุณแม่ว่าคนนี้เป็นคนที่เขารักมากๆ ซึ่งตอนแรกเขาก็ไม่เข้าใจเนื่องจากบริบทสมัยนั้นไม่ได้เปิดกว้างให้กับชายรักชาย แต่ในบริบทของครอบครัวหรือว่าความเป็นพ่อแม่ลูกมันก็เลยเกิดการอะลุ่มอล่วยมากขึ้น ซึ่งเชื่อมโยงได้กับสมัยปัจจุบันอย่างคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ในหลายๆ ครอบครัว เมื่อเขาสัมผัสได้ว่าลูกสาวหรือลูกชายเป็น LGBTQ เขาก็ไม่ได้ปิดกั้น แถมยังส่งเสริมและเข้าใจในสิ่งที่ลูกมีความสุข บางทีเราต้องยกความดีให้กับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยที่ทำให้ครอบครัวมองว่าสิ่งที่ลูกชอบหรือลูกอยากเป็น มันเป็นเรื่องที่โอเคทั้งหมด
LIPS: แล้วตัวไบร์ทเองล่ะ จะเลือกอะไรระหว่าง ‘ภาพลักษณ์ในกรอบขนบ’ หรือ ‘หัวใจเรียกร้อง’?
ไบร์ท: ไบร์ทรู้สึกว่ามันต้องทำควบคู่กัน เราไม่สามารถแหกกฎได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะว่าต้องอยู่ในสังคมที่มีกฎเกณฑ์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทิ้งความเป็นตัวเองไปทั้งหมด เราต้องยืนตรงกลางแล้วบาลานซ์ให้ทุกอย่างควบคู่กันไป
LIPS: ทั้งหมดทั้งมวลอยากจะสื่อสารอะไรผ่านตัวละครคุณใหญ่?
ไบร์ท: จริงๆ ‘คุณใหญ่’ ก็ต้องเล่นตามบทบาทที่ได้รับมา และเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ที่พี่ตี๋เขาเขียนบทเพื่อขับเคลื่อนวาระต่างๆ อย่างประเด็นความเท่าเทียมทางเพศ ความเลื่อมล้ำทางสังคมและยศถาบรรดาศักดิ์ หรืออย่างผู้หญิงสมัยก่อนจะไม่ได้เรียนหนังสือเช่นตัวละคร ‘เอื้องผึ้ง’ พี่สาวของคุณใหญ่เอง และอย่างในซีนที่จอมเห็นคุณใหญ่ร้อยมาลัยแล้วพูดว่า แปลกจังเลยไม่เคยเห็นผู้ชายร้อยมาลัย คุณใหญ่ก็ตอบกลับไปว่า มันใช่เรื่องที่ผิดแปลกหรอ? ไบร์ทรู้สึกว่าหนังฉลาดเล่าเรื่องที่ไม่ได้มานั่งสอนว่าต้องคิดแบบนี้แบบนั้นแต่ว่าใช้สถานการณ์ที่เหมาะสมมาสื่อสาร เช่นเดียวกับประเด็นการเหมารวมต่างๆ เช่นผู้หญิงต้องชอบสีชมพู ผู้ชายต้องชอบรถแข่ง ไบร์ทรู้สึกว่าการกระทำหรือรสนิยมต่างๆ มันคือปัจเจกบุคคลที่สอดรับกับบุคลิกภาพที่เขาถูกหล่อหลอมมา ไม่ว่าจะเพศสภาพไหน หรืออยากทำอะไรก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของคนนั้นๆ มากกว่า
LIPS: ตัวละครคุณใหญ่มีทั้งเวอร์ชั่น ‘มีมาด’ และ ‘อ่อนระทวย’
ไบร์ท: คุณใหญ่เองมีความเก็บกดอยู่ภายใน แต่ด้วยต้องรักษาภาพลักษณ์และหน้าตาจึงต้องทำให้ดูมีความเป็นเจ้านาย แต่จริงๆ แล้วเขาช่างสังเกตและเก็บอารมณ์ได้ดี พอมีจอมเข้ามาคุยด้วยแล้วสบายใจเลยไม่มีกำแพงมากั้น ทำให้เขาสามารถปลดปล่อยอารมณ์หรือสื่ออารมณ์ได้เต็มที่
LIPS: ใช้คำว่า ‘ไอ้ต้าวคลั่งรัก’ ได้ไหม?
ไบร์ท: (หัวเราะ) จริงๆ แล้วตัวคุณใหญ่และจอมเคยฝันถึงกันอยู่แล้ว เขารู้ว่าคนๆ นี้คือคนในฝันแต่ไม่รู้ว่าคือใคร และเขาก็ไม่เคยเจอด้วย พอได้เจอกันครั้งแรกก็ตกตะลึงว่านี่คือคนในฝันของฉันนี่นา ถามว่าเป็น Love at First Sight ได้ไหม อาจจะไม่ถึงขนาดนั้น แต่มันเหมือนมีแรงดึงดูดให้ฝันถึง ได้พบเจอ และได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น
LIPS: แล้วถ้าวันหนึ่งเราโดนจับจิ้นบ้างล่ะ?
ไบร์ท: รู้สึกว่าแฟนคลับในปัจจุบันไม่ได้ต้องการให้ตัวศิลปินเสิร์ฟจิ้นขนาดนั้น แล้วตัวไบร์ทเองก็ไม่ได้มุ่งประเด็นนั้นเป็นหลัก ไบร์ทรู้สึกว่ามันคือการเป็นพาร์ตเนอร์ เป็นการทำงานร่วมกัน ซึ่งมันก็ค่อนข้างดีกับทุกๆ ฝ่ายด้วยเพราะไม่ได้เป็นการยัดเยียด แต่ขณะเดียวกันหากมีการกระทำบางอย่างอาจจะในฐานะเพื่อน ซึ่งหากแฟนคลับเขาไปจิ้นหรือไปชอบกันเอง ไบร์ทก็รู้สึกว่าน่ารักดีครับ (ยิ้ม)
LIPS: เคมีที่ผสมลงตัวกับนนกุล
ไบร์ท: ทั้งไบร์ท นน รวมถึงพี่ตี๋ ทีมกล้อง ทีมไฟ ทีมพร็อป ฯลฯ ทำการบ้านหนักมาก เวลาพี่ตี๋ทำการบล็อกช็อต เขาก็จะมีสตอรีบอร์ด ซึ่งจริงๆ แล้วการเล่นละครมันจะไม่จำเป็นต้องมีสตอรีบอร์ดอย่างในภาพยนตร์ เอ็มวีหรือในหนังโฆษณา แต่พี่ตี๋เขามีสตอรีบอร์ดทุกอันเลย ทำให้ไบร์ทได้เรียนรู้และทำการบ้านมาล่วงหน้า และทุกๆ คนก็ทำการบ้านของตนเองมาดีมากๆ เวลามาเจอหน้ากันมันก็เลยค่อนข้างจะราบรื่น หมายความว่าทุกคนจะรู้ตำแหน่งของตนเองว่าต้องทำอะไร แล้วเวลาเราไปออนเซ็ตเราก็จะสื่อสารกันว่าทางพี่ตี๋ต้องการแบบนี้ ไบร์ทและนนต้องการแบบนี้ เราจะสื่อสารพูดคุย ซึ่งมันก็ค่อนข้างแฮปปี้ครับ
LIPS: ฉากจิ้นฟินจิกหมอนที่ค่อนข้างสมูธ
ไบร์ท: ที่ผลลัพธ์ทุกอย่างออกมาเป็นแบบนี้เกิดจากการเวิร์กช็อปร่วมกัน มันเลยรู้ว่าเราและผู้ร่วมแสดงได้ประมาณไหน เวลาเลิฟซีนกันภาพควรออกมาเป็นอย่างไร พอออนเซ็ตก็เลยค่อนข้างง่ายและสบายใจไม่มีความเคอะเขินเพราะเราทั้งคู่มาอยู่ตรงนี้ในฐานะนักแสดง ในบางซีนมันก็มีแอบขำด้วยซ้ำตอนถ่ายแต่พอผ่านกระบวนการต่างๆ ผ่านมุมกล้อง ผ่านการตัดต่อเสร็จแล้วมันเลยดูสมูธมากๆ ซึ่งบางซีนอย่างจูบแรกของใหญ่กับจอมก็เล่นปกติธรรมดาของเรา แต่พอกลับไปย้อนดูหน้ามอนิเตอร์ก็ดูน่ารักดีแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเขินอะไรขนาดนั้น แต่พอออนแอร์ปุ๊บ ขนาดเราคนแสดงเองยังรู้สึกเขินอารมณ์แบบโอ๊ย! น่ารักจังเลย! ซึ่งกระบวนการทั้งหมดทั้งมวลมันเสริมให้ดูน่ารักมากขึ้นด้วยครับ
LIPS: บทบาทคุณใหญ่ ทำให้เราเติบโตอย่างไรในฐานะนักแสดง
ไบร์ท: จริงๆ มันไม่ใช่แค่บทคุณใหญ่ครับ มันหล่อหลอมมาตั้งแต่เล่นเรื่องแรกเลยด้วยซ้ำ ทุกช่วงเวลาคือการสะสมโอกาสที่มีทั้งประสบการณ์ของตัวเราเองและประสบการณ์ที่เราเห็นจากคนอื่น ทั้งในเรื่องของมุมกล้อง ในเรื่องของการสื่ออารมณ์ การทำงานกับพาร์ตเนอร์ ฯลฯ มันทำให้เรามีประสบการณ์ในการทำงานด้านนี้เพิ่มขึ้นมากๆ ก็อยากจะขอบคุณทุกคน ทุกเรื่องราวหรือทุกประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามามากๆ เลยครับ
LIPS: ในหนังสื่อถึงตัวละครที่โผล่มาซ้อนทับกันในสองมิติ ไบร์ทคิดยังไงกับแนวคิด Doppelganger หรือแฝดอีกคนของเรา แล้วถ้ามีจริง ไบร์ทอีกคนกำลังทำอะไรอยู่?
ไบร์ท: (ทำหน้าครุ่นคิด) จากที่เคยดูหนังหรือดูการ์ตูนมา แนวคิดโลกคู่ขนานก็คงมีไบร์ทหลายเวอร์ชั่น และการกระทำหนึ่งอย่างก็คงส่งผลบางอย่างเป็นทอดๆ ในลักษณะของ Butterfly Effect บางโลกไบร์ทอาจเป็นหมอ บางโลกไบร์ทอาจเป็นวิศวะ บางโลกอาจเป็นเชฟ บางโลกอาจเป็นคนพิการ หรือบางโลกอาจไม่ทำอะไรเลย
LIPS: แต่สำหรับเรา ในมิตินี้เราก็ไม่อยากทำอะไรเลยนะ
ไบร์ท: งั้นไบร์ทด้วยละกัน ฮ่าๆๆๆๆ (หัวเราะ)
LIPS: ด้อม SOL (ชื่อด้อมแฟนคลับของไบร์ท) เปรียบเสมือนแสงสว่าง คำกล่าวนี้หมายถึงอะไร?
ไบร์ท: ไบร์ทเองชื่อ ‘รพีพงศ์’ แปลว่า ‘พระอาทิตย์’ และไบร์ทรู้สึกว่าถ้าไม่มีแฟนคลับอาจจะไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ เคยเจอเวลาท้อหรือต้องการกำลังใจแล้วแฟนคลับก็ส่งกากหมูมาให้ มันรู้สึกดีใจที่มีคนซัปพอร์ตเรา ดังนั้นด้อม SOL ก็เหมือนพระอาทิตย์ที่คอยส่องแสงให้กับเราด้วย เป็นแสงที่ทำให้เราเจิดจรัสอะไรแบบนี้ครับ…รู้สึกขอบคุณและดีใจจริงๆ=
LIPS: ถ้านั่งไทม์แมชชีนไปได้ อยากพาไปสัมผัสบรรยากาศอะไรในเรื่อง ณ พ.ศ. 2470?
ไบร์ท: มีเยอะมากๆ เลยครับ อย่างในประยุกต์บันบาร์ก็อยากให้มาสัมผัส เพราะจริงๆ ถ้าเรารื้อเซ็ตออกแทบจะไม่มีอะไรเลย แต่พอประกอบทั้งหมดทั้งมวลเข้าด้วยกัน มู้ดต่างๆ ค่อนข้างดีมาก ทั้งซีนเต้นรำหรือซีนพูดคุย มวลอารมณ์ ณ ตอนนั้น ทุกคนทำให้บรรยากาศออกมาดีมากครับ
LIPS: มีคนบอกว่าไบร์ทคล้าย ‘หวัง ลี่หง’ ไหม?
ไบร์ท: ไบร์ทเคยไปเทคคอร์สที่สิงคโปร์ตอน ม.3 จะขึ้น ม.4 ก็มีชาวจีนบอกว่าหน้าเหมือนหวัง ลี่หง แล้วเขาพูดต่อกันเยอะมากๆ จนเราต้องไปเสิร์ชหา รวมถึงหลังๆ มาก็ได้ยินอีกเรื่อยๆ จากแฟนคลับชาวไทยและแฟนคลับชาวจีน ถ้าพูดตามตรงถามว่าคล้ายไหม ก็รู้สึกแอบคล้ายนะ แต่ผมก็ไม่อยากไปเปรียบเทียบกับซูเปอร์สตาร์ระดับนั้น มันก็มีความเขินเหมือนกัน เกรงใจเขา (หัวเราะ)
LIPS: สุดท้าย อยากฝากอะไรให้ผู้อ่าน
ไบร์ท: ฝากติดตามซีรีส์หอมกลิ่นความรักครับ ตอนนี้ก็น่าจะประมาณ 80% ของเรื่องแล้ว (ณ วันสัมภาษณ์) ซึ่งก็น่าจะใกล้ถึงตอนจบแล้ว ดังนั้นอยากฝากให้ติดตามและดูกันเยอะๆ นะครับ ส่วนใครที่ยังไม่ได้ดูก็ฝากดูย้อนหลังได้ทาง Youku หรือทางแอปพลิเคชันต่างๆ แล้วก็จะมีเรื่องปิ่นอนงค์ซึ่งจะออนแอร์ทางช่อง 3 ในช่วงต้นปีหน้าด้วยครับ (ยิ้ม)
Words: Varichviralya Srisai
Photos: Somkiat Kangsdalwirun
ขอบคุณสถานที่: Slole Cafe & Garden โชคชัย 4