Search
Close this search box.
Search
Close this search box.
HOME / Interview / People

‘ไบร์ท – วชิรวิชญ์ ชีวอารี’ ชายผู้เชื่อในรักแท้ มีแม่เป็นเพื่อนสนิท และตั้งชื่อแมวว่าสายฝน

Interview / People

“ผมเชื่อในความรัก เพราะผมอยากให้มันมีจริง ผมเห็นแม่ต้องเสียใจกับเรื่องนี้ ผมเลยไม่อยากจะเชื่อว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไป รู้สึกว่ามันต้องมีอยู่จริงสิ”

ไบร์ท – วชิรวิชญ์ ชีวอารี’ พระเอกระดับท็อปของเมืองไทย ภายใต้บุคลิก ความคิด และเสน่ห์เฉพาะตัวที่มีเบ้าหลอมจากคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัวที่เปิดกว้าง ก่อนส่งต่อแนวคิดที่มีคุณค่าในการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมผ่านธุรกิจส่วนตัว

วันนี้ไบร์ทมาพร้อมกับอีกหนึ่งบทบาทในฐานะเจ้าของผลงานมินิอัลบั้ม Adolescence ประเดิมสังกัด Riser Music ระหว่างรอเปิดกล้องภาพยนตร์เรื่องใหม่ที่ได้ประกบคู่ ‘ญาญ่า – อุรัสยา เสปอร์บันด์’ ใน The Interest ผ่อนรักนอกระบบ “ผมชอบตัวละครใน The Interest มากๆ ผมอยากให้คนรู้ว่าจริงๆ แล้วเราตัดสินใครจากภายนอกไม่ได้เลย” ไบร์ทกล่าวถึงคาแรกเตอร์ล่าสุดของเขาที่มาพร้อมกับความแซ่บในลุคทรงแบด

บทเพลงแห่งความรักที่ตั้งต้นจากตัวตนและความเชื่อ

หลายคนมักนิยามว่าไบร์ทคือศิลปินดารารุ่นใหม่ที่ครบเครื่องที่สุดคนหนึ่ง นั่นเพราะไม่เพียงมีฝีมือทางการแสดงและการเป็นพิธีกรที่มีเสน่ห์ หากแต่ความสามารถในด้านดนตรีและการร้องเพลงก็โดดเด่นไม่แพ้กัน

“ครั้งแรกที่ได้รับโอกาสในการร้องเพลง คั่นกู เพลงประกอบละคร ‘เพราะเราคู่กัน 2gether The Series’ ผมก็ยังไม่เชื่อนะครับว่าตัวเองจะทำได้ ตอนนั้นไม่มั่นใจเลย ทั้งที่ลึกๆ ก็อยากมีงานเพลงเป็นของตัวเอง เพราะตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยปี 1 ผมก็เริ่มมีกลุ่มเพื่อนที่เล่นดนตรีด้วยกัน พวกเรามีความฝันว่าอยากไปเล่นดนตรีตามร้านอาหาร ผมเลยเริ่มร้องเพลงมาตั้งแต่ตอนนั้น พอได้ร้องเพลงคั่นกูแล้วคนชอบ เลยรู้สึกว่าผมรักทางนี้จริงๆ มันดีกว่าฝันในตอนเด็กที่เราอยากเป็นแค่นักดนตรีเสียอีก”

ฟังเพลงตัวเองบ่อยแค่ไหน เราถาม “บ่อยมากครับ” แล้วชอบฟังทีละเพลงแบบวนลูป หรือฟังเป็นเพลย์ลิสต์ยาวๆ เราถามต่ออีก คนรักดนตรีฉายแววสุขใจในหัวข้อโปรด “ผมชอบฟังแบบเพลย์ลิสต์ และในเพลย์ลิสต์ส่วนตัวก็จะมีเพลงของผมแทรกอยู่ จริงๆ นี่คือพอยต์ในการทำอัลบั้มของผมเลย ผมอยากทำเพลงเพื่อที่จะเติมเต็มเพลย์ลิสต์ที่เราฟังอยู่เป็นประจำ” ว่าแล้วก็หัวเราะในความมุ่งมั่นนี้ของตัวเอง ก่อนจะขยายความว่า เขาพูดถึงเพลงที่ตนมีส่วนร่วมในทุกกระบวนการ ตั้งแต่ไอเดียแรกเริ่มไปจนถึงการผลิตมิวสิกวิดีโอ

“ก่อนหน้านี้อาจจะยังไม่ใช่เพลงที่เราฟังในชีวิตประจำวันขนาดนั้น เพราะเป็นเพลงที่แต่งไว้แล้วเพื่อให้เราร้องอย่างเดียว แต่ Riser Music (แบรนด์ใหม่ในเครือ GMMTV ที่มีแกงส้ม เดอะสตาร์ นั่งแท่นเป็นผู้บริหาร) ให้อิสระผมในการทำเพลงมากๆ ผมสามารถตั้งโจทย์ได้ว่าอยากให้แต่ละเพลงพูดถึงประเด็นไหนบ้าง เนื้อร้องเล่าถึงอะไร แต่ละเพลงเป็นดนตรีสไตล์ไหน ทั้งหมดคือเพลงที่ผมตั้งใจทำและฟังจริงๆ ผมสนุกมากที่เวลาทำเพลงหนึ่งแล้วเหมือนได้เข้าไปทำงานทั้งโปรเจกต์ ผมอยากให้ทุกองค์ประกอบมีความเป็นเรา อยากให้ทุกอย่างออกมาเหมือนสิ่งที่คิดไว้ในหัว สิ่งที่เล่าออกไปก็เป็นเรื่องราวที่เราอินจริงๆ มันมีความสุขมากครับที่ได้ฟังเพลงของตัวเอง”

เมื่อถามว่าชอบเพลงใดที่สุดเป็นการส่วนตัว ทั้งในและนอกมินิอัลบั้ม เขาตอบทันควัน “ยากมากครับ ผมขอ Top 3 ได้มั้ย (คิดหนัก) เพลงมาดูแมวดำน้ำทำกับข้าวบ้านเรามั้ย (Saturday Night) แล้วก็ My Ecstasy” ไบร์ทเอ่ยถึง 2 เพลงที่อยู่ในมินิอัลบั้มเป็นลำดับแรก ก่อนจะกุมขมับ “โห…เพลงที่ 3 ตัดสินใจยากมาก เปลี่ยนเป็น Top 5 ละกันครับ (หัวเราะ) ผมขอเลือก Lost & Found ระหว่างทาง เอิ่ม…แล้วก็ Sad Movie ครับ” ไบร์ทนิ่งคิดพอสมควร กว่าจะทำใจพูดชื่อแต่ละเพลง โดยเพลงสุดท้ายที่เขาเลือกเป็นผลงานเดี่ยวนอกสังกัดที่ได้ฟีเจอริ่งกับ F.Hero แห่ง High Cloud Entertainment

“พี่กอล์ฟทักมาถามส่วนตัวครับว่าอยากร่วมงานกันมั้ย เขากำลังจะทำเพลงเพื่อเปิดตัวค่าย ผมเองฟังเพลงพี่กอล์ฟมาตลอด เพื่อนสนิทผมก็เป็นแฟนคลับพี่กอล์ฟ ผมชื่นชมเขา พี่กอล์ฟเป็นคนเก่งที่ผมอยากร่วมงานด้วยมากๆ เลยรีบบอก GMMTV (ต้นสังกัด) ด้วยตัวเอง เพราะเป็นเกียรติมากสำหรับผม”

ในเวลาต่อมา ชื่อของไบร์ทยังปรากฏในฐานะ Director of Creativity ของเพลง Lost & Found ก่อนที่จะออกมินิอัลบั้มส่วนตัวเสียด้วยซ้ำ “จริงๆ ทุกเพลงตั้งแต่ Lost & Found เป็นต้นมา ผมก็ได้ทำงานในเชิงครีเอทีฟด้วย ผมร่วมทำเพลง คิดพล็อตเอ็มวี ก่อนที่จะถ่ายทอดให้ทีมงานได้นำไปลงรายละเอียดต่อ อย่างเพลงล่าสุด I Think of You ที่ค่อยๆ เผยเรื่องราวความรักของคนสองคน และมีตอนจบที่หักมุมเกี่ยวกับ…สุนัข

“ส่วนเพลงสุดท้ายของอัลบั้มน่าจะได้ฟังในช่วงเดือนสิงหาคมครับ เชื่อว่าทุกคนเซอร์ไพรส์แน่นอน เพราะเป็นสิ่งใหม่ที่ผมยังไม่เคยทำมาก่อน อัลบั้ม Adolescence เปรียบเหมือนเพลงประกอบหนังรักเรื่องหนึ่งที่ผมอยากเล่าถึงช่วงเวลาของความรัก ตั้งแต่เจอกัน รักกัน ทะเลาะกัน แยกจากกัน เป็นเพลง 4 สไตล์ที่ต่างกัน แต่มาจากตัวผมทั้งหมด”

ที่ผ่านมา เรามักจะเห็นไบร์ทถ่ายทอดอุดมคติเกี่ยวกับความรักที่อบอุ่นและงดงามผ่านภาพถ่ายอยู่เสมอ เรื่อยมาจนถึงผลงานเพลงที่ว่าด้วยความรักล้วนๆ เขาเปิดใจถึงที่มาของความเชื่อในความรัก โดยเฉพาะในเพลง Forever Love ว่า “เพราะผมอยากให้มันมีจริงครับ ผมเห็นแม่ไม่สมหวังมาตั้งแต่ผมยังเด็ก แม่ต้องเสียใจกับเรื่องนี้ ผมเลยไม่อยากจะเชื่อว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไป รู้สึกว่ามันต้องมีอยู่จริงสิ”

“บางทีเรามีสิ่งที่อยากได้ แต่ไม่อยากรบกวนแม่ ฉะนั้นเราควรทำงานหาเงินเอง แต่พอได้เงินมาผมก็จะเอาให้แม่ทั้งหมด อยากซื้ออะไรค่อยขอแม่อีกที ผมทำแบบนี้มาตั้งแต่แรก”

มรดกทางความคิดและเบ้าหลอมจากครอบครัวไทยเชื้อสายจีน

“ผมโตมาแบบลูกหลานคนจีนเลยครับ มีอาก๋ง-อาม่า มีบรรยากาศเทศกาลเชงเม้ง แต่ที่บ้านผมไม่ค่อยหัวโบราณนะครับ เพียงแต่ตอนผมเด็กๆ เขาอาจจะดุหน่อย พอโตแล้วก็ค่อนข้างตามใจขึ้นตามวัยครับ” ไบร์ทเล่าว่าเขาเป็นลูกชายคนเดียวและเติบโตมาในครอบครัวฝั่งมารดา คุณตาของเขาเป็นคนจีน ในขณะที่คุณยายเป็นคนไทย ส่วนความสามารถทางด้านดนตรีของเขานั้นซึมซับมาจากคุณลุงเขย ผู้เป็นสามีของพี่สาวแม่ เครือญาติซึ่งอาศัยอยู่ละแวกเดียวกันที่จังหวัดนครปฐม

“ลุงมีอิทธิพลกับชีวิตผมตอนเด็กๆ มาก ผมสนิทกับลุงจนรู้สึกเหมือนเขาเป็นพ่อคนหนึ่งเลย อะไรที่ลุงชอบ ผมก็ชอบ เห็นลุงเตะบอล ผมก็อยากเตะตาม ลุงเปิดเพลงอะไร ผมก็ฟังด้วย อย่างเพลงของวง Pause, The Olarn Project, หิน เหล็ก ไฟ ฯลฯ หรือนักร้องฝรั่งอย่าง Eric Clapton ลุงชอบเล่นดนตรี ผมก็ว่าเท่ดี ทำให้เราอยากเล่นดนตรีเป็น ผมเล่นได้หลายอย่าง เพราะช่วยลุงสอนดนตรีที่บ้าน อย่างเวลามีคนเรียนกลองแล้วเขาอยากซ้อมเพลง ลุงก็จะเล่นกีตาร์ให้ ส่วนผมช่วยเล่นเบส ถ้ามีคนมาเรียนเบส ผมก็เปลี่ยนไปช่วยตีกลอง ผมสนุกที่ได้เข้ามาเล่นดนตรี”

กิจกรรมในวัยเด็กนี้เองช่วยส่งให้ไบร์ทได้รับการคัดเลือกเป็นหนึ่งในพิธีกรรายการ ‘สตรอว์เบอรี่ ครับเค้ก’ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว “เขาทักมาในเฟซบุ๊กของผมครับ บอกว่าจะมีรายการวัยรุ่นแนวใหม่ ผมก็เลยลองไปแคสต์ดู แบกกีตาร์ขึ้นรถตู้จากนครปฐมเลย (หัวเราะ) ไปถึงก็เล่นกีตาร์กับร้องเพลงให้เขาฟัง จนได้ทำพิธีกรอยู่สักพักก่อนที่รายการจะปิดตัวลง”

ไบร์ทย้อนเล่าถึงตนเองในวัย 15-16 กับแนวคิดของการทำงานหารายได้เสริมตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย “ผมโอเคกับการทำงานหารายได้มากๆ แต่ไม่ได้คิดซับซ้อน ไม่ได้เป็นเด็กดีถึงขนาดที่ว่า ‘ฉันจะทำงานเพื่อแบ่งเบาภาระทางบ้าน’ ผมแค่รู้สึกว่าบางทีเราก็มีสิ่งที่อยากได้ แต่เราไม่อยากรบกวนแม่ ฉะนั้นเราควรทำงานหาเงินเอง แต่พอได้เงินมาผมก็จะเอาให้แม่ทั้งหมด อยากซื้ออะไรค่อยขอแม่อีกที ผมทำแบบนี้มาตั้งแต่แรก เพราะรู้ว่าแม่ไม่ได้ใช้เงินที่ผมให้หรอก แต่เขาจะเก็บไว้ให้เรามากกว่า

“แม่ผมเป็นพนักงานธนาคารครับ เลยเป๊ะมากเรื่องการเงิน ‘ความประหยัด’ น่าจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมได้จากแม่ เขาเป็นคนไม่สร้างหนี้ มีแค่ไหนใช้เท่านั้น แม่มีวินัยในการใช้เงิน ผมเลยประหยัดเหมือนแม่ ไม่ได้เป็นคนที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย”

อีกสิ่งหนึ่งที่ไบร์ทได้จากแม่ก็คือ โอกาสในการตัดสินใจและกำหนดเส้นทางชีวิตของตนเอง เมื่อเรียนจบจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยและเตรียมอุดมศึกษา เขาก็ได้รับทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัย

“ผมได้ทุนเรียนดีของ TEP-TEPE (หลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ อินเตอร์ฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ซึ่งสนับสนุนค่าเทอม 100% ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าเกรดเฉลี่ยห้ามต่ำกว่า 3.00 แต่จังหวะนั้นผมมัวแต่ถ่ายละครที่เพิ่งได้รับโอกาสมา คือซีรีส์ I.Sea.U ฉันรักทะเล…ที่มีเธอ ผมไม่ได้เข้าแล็บเลยจนไม่น่าจะรักษาเกรดไว้ได้ และถ้าไม่ได้ทุนต่อก็ต้องจ่ายค่าเรียนเทอมละ 8 หมื่นบาท ซึ่งเราไม่ไหว ผมเลยบอกแม่ว่าขอดร็อปสักหนึ่งปีเพื่อลุยงานให้เต็มที่

“ผมร้องไห้บนเวทีเลยตอนหันไปเห็นป้ายที่แฟนคลับต่างชาติเขียนเป็นภาษาไทยว่า เขาดีใจมากที่ F4 ประเทศไทยเป็นพวกเรา 4 คน คือไบร์ท วิน นานิ และดิว”

“อีกเหตุผลหนึ่งคือผมเริ่มได้งานโฆษณามากขึ้น แพลนผมเปลี่ยนแล้ว ผมไม่ได้อยากทำงานประจำ ไม่ได้อยากเป็นวิศวกร ผมเริ่มชอบการแสดงและอยากลุยงานตรงนี้เพื่อเก็บเงินก้อนไปทำธุรกิจ ฉะนั้นขอเปลี่ยนแผนไปเรียนมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งแม่ก็เข้าใจ ผมเลยย้ายมาเรียนที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ แล้วในปีนั้นผมโชคดีที่ได้เซ็นสัญญากับ GMMTV ทางมหาวิทยาลัยเห็นว่าเรากำลังจะมีผลงาน ผมก็เลยได้ทุนเรียนฟรีอีกครั้ง ที่ผ่านมาผมบอกแม่ได้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่และทำเพราะอะไร เรามีการจัดการชีวิต แม่ผมเลยค่อนข้างให้อิสระ

“ผมสนิทกับแม่มาก แม่บอกว่าจะทำอะไรต้องมีเหตุผล เราเลยคุยกันด้วยเหตุและผลมาตั้งแต่เด็ก แม่ไม่เคยบังคับให้ผมต้องทำอะไร แต่จะพยายามประคับประคองและให้สิ่งที่ดีที่สุดกับผมเสมอ ที่ผ่านมาผมคิดว่าเหตุผลของผมก็ดีนะ เราเลยได้ทำในสิ่งที่อยากทำมาโดยตลอด (ยิ้ม)” ไบร์ทสะท้อนมุมมองการเติบโตของตนเอง รวมถึงความคิดเห็นของครอบครัวต่อการตัดสินใจรับบทนำใน ‘ซีรีส์วาย’ ซึ่งเป็นสิ่งใหม่มากสำหรับคนรุ่นก่อน

“ตอนแรกเขาก็ไม่เก็ตครับ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีละครแนวนี้ แต่ผมก็อธิบายให้ฟังว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับผมนะ ผมเป็นนักแสดงที่สวมบทบาทไหนก็ได้ แล้วตัวบทก็น่าสนใจ ผมอยากเล่นเป็นตัวละคร ‘สารวัตร’ ซึ่งมีความคล้ายผมประมาณหนึ่ง พอผลงานออนแอร์ เขาก็ภูมิใจมากๆ”

ไบร์ทมักจะอ่านคอมเมนต์ต่างๆ ด้วยตนเอง และให้ความสำคัญกับการส่งสารของแฟนคลับเสมอ โดยข้อความหนึ่งที่เขาประทับใจไม่ลืมนั้นเกิดขึ้นขณะแสดงคอนเสิร์ต SHOOTING STAR CONCERT ในต่างประเทศ

“ผมร้องไห้บนเวทีเลยตอนหันไปเห็นป้ายที่แฟนคลับต่างชาติเขียนเป็นภาษาไทยว่า เขาดีใจมากที่ F4 ประเทศไทยเป็นพวกเรา 4 คน (ไบร์ท-วชิรวิชญ์ ชีวอารี, วิน-เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร, นานิ-หิรัญกฤษฎิ์ ช่างคำ และดิว-จิรวรรตน์ สุทธิวณิชศักดิ์) เพราะพวกผมเคยสงสัยในตัวเองมาตลอดว่าพวกเราทำได้จริงๆ หรือเปล่า แล้วในชีวิตจริง พวกผมก็รักกันมากด้วย เลยซาบซึ้งกับข้อความนี้สุดๆ ผมดีใจที่เห็นคนดูรักเราในบทบาทนี้ พวกเราเหนื่อยกันมามากครับ”

“ถ้าวางแผนใหม่ได้ ผมจะบอกตัวเองในอดีตว่า ‘เดี๋ยวจะไม่ว่างแล้วนะ เลิกเล่นเกมแล้วรีบทำอะไรที่อยากทำซะ เพราะในอนาคตต้องใช้ในการทำงาน’”

อีกหนึ่งการยอมรับในที่ไบร์ทกล่าวว่ามีคุณค่าทางใจสำหรับเขาก็คือ รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากซีรีส์ F4 THAILAND จากงานประกาศรางวัลเวทีหนึ่งเมื่อปี 2022 ไม่ใช่เพราะซึ้งใจในความสามารถของตัวเอง แต่กลับกัน ไบรท์กลับให้เครดิตคนอื่น “คนที่ได้รางวัลมีแต่คนเก่งๆ คนที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งผมมองและนับถือพวกเขามาตั้งแต่เด็ก ผมก็เลยดีใจมากครับที่ได้รางวัลนี้”

เช่นนั้นแล้วอะไรที่ทำให้คนที่ผ่านโลกมา 25 ปีอย่างไบร์ท รู้สึกว่าชีวิตไม่ง่าย “ช่วงนี้ผมโอเคขึ้นแล้วครับ” เขาตอบหลังจากกลั่นกรองความคิดแล้ว ถ้าได้โอกาสรีเซ็ตตัวเอง อยากวางแผนอะไรใหม่ หรือกลับไปแก้ไขจุดไหนในอดีตบ้างไหม เราชวนคุยต่อ “ตอนนี้ผมงานเยอะมาก เลยมีเวลาในการศึกษาเรื่องอะไรใหม่ๆ ให้ตัวเองน้อย ผมอยากมีเวลาในการอ่านหรือเรียนรู้อะไรเพิ่มเติม ในขณะที่ช่วงชีวิตหนึ่งซึ่งผมว่างมากๆ ผมก็มัวแต่นั่งเล่นเกม (หัวเราะ) ถ้าวางแผนใหม่ได้ ผมจะบอกตัวเองในอดีตว่า ‘เดี๋ยวจะไม่ว่างแล้วนะ เลิกเล่นเกมแล้วรีบทำอะไรที่อยากทำซะ อยากอ่านก็รีบอ่าน อยากศึกษาก็รีบศึกษา เพราะในอนาคตต้องใช้ในการทำงาน’” ไบร์ทสวมบทบาทเมนเทอร์ พร้อมยกตัวอย่างสิ่งที่อยากเรียนรู้เพิ่มเติมในเวลานี้ก็คือ ทักษะภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่น

“ผมเคยอยากซื้อบ้านที่ญี่ปุ่นเพราะผมชอบไวบ์เขามากๆ ไม่ว่าจะเป็นเมือง ถนนหนทาง ตัวอักษร ฯลฯ ผมชอบกินอาหารญี่ปุ่นที่สุดด้วยครับ ชอบดูการ์ตูนญี่ปุ่นตั้งแต่เด็ก ชื่อแมวก็ตั้งว่า ‘อาเม่ะ’ ที่แปลว่าฝนในภาษาญี่ปุ่น บ้านก็ตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นเจแปนนีส แถมช่วงนี้ก็ยังชอบฟังเพลงญี่ปุ่น ที่นั่นทำให้ผมรู้สึกถึงความสงบ ความเป็นระเบียบ ความเรียบง่าย อยู่ญี่ปุ่นแล้วผมสบายใจ มีความสุขทุกครั้งที่ได้ไปเลย”

ASTRO STUFF ธุรกิจส่วนตัวที่ผลักดันด้วยความฝันในการดูแลโลก

“ผมเลือกที่จะทำแบรนด์สินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ ไม่ได้ทำแบรนด์อีโคโดยตรง เพราะมองว่าการรักษ์โลกควรเป็นความรับผิดชอบพื้นฐานที่ทุกแบรนด์ต้องใส่ใจอยู่แล้ว ผมพยายามเลือกใช้แพ็กเกจจิ้งที่ย่อยสลายได้ เพื่อลดการใช้พลาสติกให้ได้มากที่สุด หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ ผมก็จะมองหาวัสดุที่รีไซเคิลได้ หรืออย่างน้อยก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่เราทำได้ ที่ผ่านมาผมไม่ได้โฟกัสแค่การขาย การออกแบบ หรือการทำสินค้าให้มีคุณภาพแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเป้าหมายว่าผมต้องพัฒนาจุดนี้ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ” แม้จะมีเวลาน้อย แต่พระเอกหนุ่มคิวทองก็เลือกที่จะสรรหาวัสดุที่เป็นมิตรกับโลกด้วยตนเองเสมอมา

“สำหรับผม แบรนด์คือ ‘แนวคิด’ ที่ผมอยากส่งต่อมากกว่า ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ยังมีเรื่องของคน สัตว์ ป่าไม้ สังคม รวมถึงกีฬาและศิลปะที่ผมอยากสนับสนุน ผมอยากเซ็ตคอมมูนิตี้ให้คนที่สนใจในเรื่องราวเหล่านี้ เราเจออะไรดีๆ ก็แชร์กัน ให้ความรู้กัน ผมรู้สึกว่าทุกธุรกิจควรมีคุณค่าต่อสังคม – ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

Words: Sasi Akkomee

Related Articles

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ เราได้อธิบายความหมายและวิธีการใช้คุกกี้ของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือการเปิดเผย รวมถึงทางเลือกในการใช้คุกกี้ของเรา อ่านเพิ่มเติม