แม้เราจะไม่ได้เรียกตัวเองอย่างเต็มปากว่าเป็น ‘สายแคมป์ปิ้ง’ แต่ก็เคยมีโอกาสได้สัมผัสประสบการณ์การนอนกลางดินกินกลางป่ามาบ้าง ด้วยความพยายามพาตัวเองไปยังจุดนั้น ก็มีเสน่ห์ในแบบเฉพาะตัวของมัน และก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า เทรนด์การตั้งแคมป์ กางเต็นท์ ตลอดจนพกพาอุปกรณ์ราคาไม่ถูกนานาชิ้น ไปจัดวางเรียงเป็นพร็อพแบบ ‘Glamping’ (แกลมปิ้ง) พร้อมด้วยเครื่องแต่งกายสายลุยแบบจัดเต็มเพื่ออัพรูปสวย ๆ ลงโซเชียลตลอดหลายปีนี้ก็ไม่ได้แผ่วลงเลยเช่นกัน
ลองนึกภาพตัวเองต้องแหกตาตื่นเพื่อไปแย่งทำเลดี ๆ สำหรับกางเต็นท์ ยิ่งเป็นลานกางเต็นท์ยอดนิยมหลายแห่ง ที่คาดเดาได้แน่นอนเรื่องความอุดมสมบูรณ์ และวิวสวยแบบพาโนราม่า ก็มักจะมีระบบการจองที่ท้าทายความทุ่มเทแบบสุด ๆ ชนิดที่ต้องเตรียมตัวเตรียมการล่วงหน้าเป็นแรมเดือน ไม่นับรวมแบกหามอุปกรณ์อิรุงตุงนังของการตั้งแคมป์ เหล่านี้มันช่างทรหดไม่น้อยเลย เพราะถ้าใจไม่รักจริง ย่อมมีครั้งแรก และมักจบลงด้วยครั้งเดียวถมไป
สิ่งที่เราพูดไปไม่ได้เกินความจริงสักเท่าไหร่ เพราะกว่าจะได้มาซึ่งบรรยากาศ หรือที่ทางแบบไฮไลต์ การต้องรีบไปแบบ First Come First Serve หรือการจองพื้นที่แบบ Manual (แมนนวล) ที่ต้องโทรจองกับเจ้าหน้าที่ในเวลาราชการจนมือหงิก ไม่รวมพื้นที่ของภาคเอกชนที่ราคาสูงลิ่วถ้าต้องการความเอ็กซ์คลูซีฟ บางครั้งก็ไม่ตอบโจทย์สำหรับใครหลายคน หลายปัญหาเหล่านี้ทำให้เกิดโมเดลธุรกิจแบบสตาร์ทอัพที่เรากำลังจะพูดถึง นั่นคือ “Campa” (อ่านว่า แคมป์ป่ะ) ซึ่งใช้การอ่านพ้องเสียงเลียนภาษาไทย เสมือนการเชิญชวนให้ไปตั้งแคมป์ด้วยกัน
Campa คือ แพลตฟอร์มระบบจองพื้นที่ลานกางเต็นท์ที่ “อีฟ-อติชา ยิ่งศิริอำนวย” ก่อตั้งร่วมกับพาร์ทเนอร์ผู้หลงใหลในเรื่องเดียวกันอีกหลายชีวิต นับขวบปีจนปัจจุบันเข้าปีที่ 2 แล้ว โดยมุ่งหมายให้เป็นธุรกิจที่จะช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบแคมป์ปิ้งให้สะดวกสบาย และยั่งยืนขึ้น ทว่าการทำธุรกิจสตาร์ทอัพ ความง่าย คือ การคิดริเริ่มต้น แต่การจะสานต่อจนทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จนั้นเป็นเรื่องตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
เธอเริ่มต้นแบบคนทำสตาร์ทอัพทั่วไป อาศัยความชื่นชอบส่วนตัว และหาช่องว่างในระบบที่สามารถเติมเต็มการบริการเข้าไปในห่วงโซ่ เริ่มจากการสำรวจตลาดว่าในประเทศไทยมีตลาดคนแคมป์ปิ้งอยู่จริงจำนวนมากแค่ไหน ตามด้วย Traction หรือความสามารถในการดึงลูกค้ามาใช้บริการด้วยการแสดงสถิติจำนวนผู้ใช้งานในปัจจุบัน (Acquisition), จำนวนลูกค้าที่จ่ายเงินให้บริการของเรา (Revenue), จำนวนลูกค้าที่ใช้เกิน 1 ครั้ง หรือกลับมาใช้ซ้ำ (Retention) ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างความเชื่อมั่นอย่างเป็นรูปธรรมว่าโมเดลของ Campa มีความสามารถในการเติบโตเชิงธุรกิจจริงหรือไม่ ก่อนวิเคราะห์แบบ SWOT ว่ามีข้อได้เปรียบ ข้อด้อย อุปสรรค และโอกาสอะไรบ้าง
Campa จึงออกมาเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการจองพื้นที่สำหรับกางเต็นท์ ที่มีระบบคล้าย ๆ กับแพลตฟอร์มจองโรงแรมต่าง ๆ ทำหน้าที่เป็นตัวกลางจับคู่ระหว่างผู้ให้บริการกับผู้บริโภค รายได้หลักมาจากการแบ่งเปอร์เซ็นต์ค่าธรรมเนียมในการจองแต่ละครั้ง โดยทีมงานจะเข้าไปสำรวจพื้นที่ที่เข้าร่วม ให้คำปรึกษาเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน วัดพื้นที่จริงเพื่อกั้นล็อกกางเต็นท์ให้แยกเป็นสัดส่วน และถ่ายรูป 360 องศาของแต่ละล็อกให้เห็นวิวจริง ก่อนจะนำขึ้นเว็บให้ลูกค้าได้เลือกดู
จุดขายหลักของแพลตฟอร์ม คือ ความสามารถในการจองล่วงหน้า เพราะเวลาเราจะไปกางเต็นท์ เที่ยวแคมป์ เราต้องเสิร์ชหาตั้งแต่สถานที่ ฤดูกาลที่เหมาะสม หรือแม้แต่ต้องไปสิงอยู่ในกรุ๊ปเฉพาะที่มีกลุ่มที่คนมาแชร์ข้อมูลกัน ขั้นตอนการหาจุดหมายนั้นไม่ได้ง่ายดายเหมือนจองโรงแรมทั่วไป ต้องรีบตื่นแต่เช้าออกจากบ้านเพื่อจะได้พื้นที่ที่ตรงความต้องการจริง ๆ ซึ่งบางครั้งก็ต้องแย่งชิง และเอาแน่เอานอนไม่ได้ หรือในมุมกลับการของผู้ประกอบการก็ต้องมีแอดมินคอยตอบคำถามที่หลั่งไหลมาทุกวัน การเก็บเงิน หรือระบบ Payment ทำได้ยาก และมีอุปสรรค เหล่านี้คือ Pain Point แทบทั้งสิ้น โดยจุดเด่นของ Campa คือการปิด Pain Point ของทั้งสองฝั่งนั่นเอง
ในฐานะคนลองใช้แพลตฟอร์ม และมีประสบการณ์ที่ยากลำบากในการจองลานกางเต็นท์ เราเชื่อว่า Campa คงไม่หยุดการพัฒนาแพลตฟอร์มการบริการให้ง่าย สะดวกสบาย และดียิ่งขึ้นในฐานะผู้ให้บริการ ทั้งนี้เพื่อตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้งานอย่างเรา ๆ และผู้ประกอบการแคมป์เปอร์ทั่วไทย เพื่อในอนาคตวันหนึ่งการแคมป์ปิ้งจะกลายเป็นการท่องเที่ยวที่ง่ายเหมือนกับการไปเที่ยวทะเล เป็นกิจกรรมที่ใครก็ทำได้ อยากให้คนที่ไม่เคยลองทำได้มีประสบการณ์ดี ๆ ตั้งแต่ขั้นตอนแรก จนกลายเป็นคนที่ชื่นชอบการไปแคมป์ปิ้งในที่สุด
เพราะเราเชื่อว่า “การแคมป์ปิ้งไม่ใช่แค่เทรนด์ที่เข้ามาแล้วก็ผ่านไป”