Gabrielle Chanel เป็นหนึ่งในนักออกแบบหญิงที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกของแฟชั่น สาเหตุก็คือนอกจากงานออกแบบเสื้อผ้าที่ฉีกขนบการแต่งตัวแบบเดิมๆ ของผู้หญิงแล้ว เธอยังรังสรรค์ไอเท็มสุดคลาสสิคมากมายไว้ให้กับวงการนี้ ย้อนกลับไปเมื่อ 90 ปีที่แล้วในปี 1932 เธอได้จินตนาการและสร้างสรรค์คอลเลคชั่นไฮจิวเวลรี่อย่าง ‘Bijoux de Diamants’ ซึ่งทำให้โลกแฟชั่นและเครื่องประดับนั้นได้รู้จักคำว่า ‘High Jewelry’ หรือ ‘เครื่องประดับชั้นสูง’ เป็นครั้งแรก
คอลเลคชั่น Bijoux de Diamants นั้นเป็นคอลเลคชั่นเครื่องประดับชั้นสูงที่บ่งบอกถึงสไตล์ส่วนตัวของ Gabrielle อย่างชัดเจนและเปิดโอกาสในการสำรวจไอเดียใหม่ๆ ภายใต้เครื่องประดับสุดหรูหราเหล่านี้ แถมยังเป็นการนำหลักการของโอต์กูตูร์หรือเสื้อผ้าชั้นสูงมาประยุกต์ใช้กับเครื่องประดับชั้นสูงอีกด้วย และยังเป็นการรังสรรค์คอลเลคชั่นไฮจิวเวลรี่ขึ้นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
พูดได้เต็มปากว่าคอลเลคชั่น Bijoux de Diamants มีความโดดเด่นแตกต่างจากเครื่องประดับชิ้นอื่นๆ ที่ช่างทำเครื่องประดับในยุคนั้นเคยทำขึ้นมา เนื่องจากไฮจิวเวลรี่เซตนี้เกิดขึ้นจากความเป็นหนึ่งเดียวของแนวคิด เวลา และสถานที่ซึ่งไม่เคยมีใครเคยทำมาก่อนในยุคนั้น ภาพความหรูหราและสวยงามตรงกันข้ามสภาพสังคมและเศรษฐกิจอันมัวหมองในยุคสมัยนั้นซึ่งเกิดขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่อย่าง Black Thursday ในปี 1929 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กนั้นทรุดดิ่งลงอย่างรุนแรง
ทำให้ Gabrielle นั้นจินตนาการถึงโลกแห่งความฝันที่ประดับประดาไปด้วยเพชรอันตระการตาโดยหยิบเอาหมู่ดวงดาวต่างๆ บนท้องฟ้าที่ระยิบระยับราวกับเพชรไร้น้ำหนักกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับคอลเลคชั่นไฮจิวเวลรี่ในตำนานคอลเลคชั่นนี้ ซึ่งตัวเธอได้กล่าวถึงไฮจิวเวลรี่ในตำนานคอลเลคชั่นนี้ไว้ว่า “ไม่มีอะไรจะทำให้ลืมเรื่องวิกฤติได้ง่ายไปกว่าการชื่นชมอาหารตาชิ้นใหม่ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าทักษะฝีมือของช่างทั้งชายและหญิงของเรานั้นไม่เคยหยุดนิ่ง”
เรื่องราวอันสุดล้ำค่าในหน้าประวัติศาสตร์ของวงการแฟชั่นและเครื่องประดับทำให้ 90 ปีให้หลังคอลเลคชั่นในตำนานอย่าง Bijoux de Diamants ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจของคอลเลคชั่นเครื่องประดับชั้นสูงอย่าง ’1932’ คอลเลคชั่นเครื่องประดับชั้นสูงของ Chanel ซึ่งจะนำพาผู้สวมใส่ไปสู่การเดินทางอันแสนลึกลับผ่านอวกาศและห้วงเวลา โดยชูเทหวัตถุแห่งฝากฟ้า ความบริสุทธิ์ของเส้นสายและเสรีภาพของร่างกายเป็นตัวขับเคลื่อนชิ้นงานในคอลเลคชั่นไฮจิวเวลรี่ 1932 นี้
Patrice Leguéreau ผู้อำนวยการสตูดิโอสร้างสรรค์ไฟน์จิวเวลรี่ของ Chanel ได้กล่าวไว้ว่า “ผมอยากหวนคืนสู่แก่นแท้ของปี 1932 และผสมผสานข้อความสำคัญเข้ากับสัญลักษณ์สามประการคือ ดาวหาง ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ ทุกองค์ประกอบแห่งสวรรค์ย่อมส่องสว่างด้วยแสงแห่งตนเองเสมอ” ทำให้แรงบันดาลใจจากคอลเลคชั่นเครื่องประดับสุดคลาสสิคได้ถูกนำมาพัฒนาโดยสตูดิโอสร้างสรรค์ไฟน์จิวเวลรี่ของแบรนด์
ผลลัพธ์ที่ออกมาจากการนำมรดกอันล้ำค่าของเมซงกลายเป็นเครื่องประดับที่มีชีวิตในความสัมพันธ์แบบออสโมซิสที่สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของร่างกายมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ผลงานการรังสรรค์อันน่าทึ่งจำนวน 77 ชิ้นซึ่ง 13 ชิ้นนั้นสามารถเปลี่ยนรูปร่างและเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระบนร่างกายและผิวหนังของผู้สวมใส่ท่ามกลางองค์ประกอบแห่งสวรรค์ที่ส่องแสงระยิบระดับ กล่าวได้ว่าคอลเลคชั่น Bijoux de Diamants คือต้นแบบที่สมบูรณ์ไร้ที่ติแต่คอลเลคชั่น 1932 นั้นเป็นการเชิดชูอัญมณีสีสันสดใสให้โดดเด่นเป็นสง่ามากขึ้น
The Comet
คอลเลคชั่นไฮจิวเวลรี่ 1932 นั้นนำเสนอแผนที่บนท้องฟ้าใหม่ที่สวยงามเหนือจริงทำให้ ‘ดาวหาง’ หรือ ‘The Comet’ ได้ปรากฏขึ้นบนชิ้นส่วน 34 ชิ้นไม่ว่าจะอยู่ตามลำพังหรืออยู่ท่ามกลางหมู่ดาว เทหวัตถุแห่งสรวงสวรรค์นี้เปรียบเสมือนเครื่องรางนำโชคด้วยแสงและออร่าที่คอยคุ้มกันโชคชะตาของหญิงสาวที่สวมใส่ นอกจากนั้นเครื่องประดับอันเป็นเอกลักษณ์ของ Chanel ในรูปทรงต่างๆ นั้นถูกรังสรรค์ขึ้นด้วยซิลูเอ็ตต์ของดาวหาง
The Moon
ย้อนกลับไปที่คอลเลคชั่น Bijoux de Diamants อันแสนคลาสสิค ‘ดวงจันทร์’ หรือ ‘The Moon’ นั้นปรากฏอยู่เพียงชิ้นเดียวในคอลเลคชั่นนั้นกลายมาเป็นนางเอกของคอลเลคชั่น 1932 ในครั้งนี้ สตูดิโอออกแบบไฟน์จิวเวลรี่ของ Chanel ได้พัฒนาพระจันทร์เสี้ยวให้กลายเป็นพระจันทร์เต็มดวงที่มีแสงส่องประกายเป็นรัศมีระยิบระยับ
วัตถุที่ลึกลับที่สุดในจักรวาลดวงนี้นั้นเป็นสิ่งเดียวที่สะท้อนแสงแทนที่จะเปล่งแสงออกมาแต่กลับมีคุณค่าต่อ Gabrielle และหญิงสาวหลายคนบนโลกใบนี้ ทำให้นักออกแบบเครื่องประดับในสตูดิโอได้ออกแบบเครื่องประดับที่ได้แรงบันดาลใจจากพระจันทร์ถึง 18 ชิ้นในคอลเลคชั่นนี้
The Sun
มาถึงเทหวัตถุจักรวาลชิ้นสุดท้ายอย่าง ‘พระอาทิตย์’ หรือ ’The Sun’ อีกหนึ่งดวงดาวในคอลเลคชั่น 1932 ที่เชิดชูให้เห็นถึงพลังของดวงอาทิตย์ด้วยความชัดเจนของรังสีจากดาวฤกษ์ที่เป็นแหล่งกำเนิดของแสงสว่างและสรรพชีวิตบนโลกของเรา ความสง่างาม น่าเกรงขามของเทหวัตถุบนท้องฟ้านี้นั้นเป็นที่หลงใหลของ Gabrielle จนได้กลายมาเป็นเครื่องประดับ 24 ชิ้นที่โดดเด่นในคอลเลคชั่น 1932 นี้