วันนี้เมื่อสามปีที่แล้วสุดยอดดีไซเนอร์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค ‘Karl Lagerfeld’ ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคประจำตัว วันนี้เนื่องจากเป็นวันครบรอบการจากไปของเขา เราเลยขอมานำเอาสุดผลงานของเขาที่ทิ้งไว้ในหน้าประวัติศาสตร์แฟชั่นมาพูดถึงอีกครั้งหนึ่งเพื่อระลึกถึงราชาแห่งนักออกแบบเสื้อผ้าคนนี้ ซึ่งผลงานการออกแบบเสื้อผ้าที่โด่งดังที่สุดของ Karl คงหนีไม่พ้นแบรนด์หรูเก่าแก่สัญชาติฝรั่งเศสอย่าง ‘Chanel’
เราขอเท้าความไปก่อนว่า Karl เข้ามาทำงานให้กับแบรนด์สุดหรูนี้ตั้งแต่ปี 1983 นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันที่เขาหมดลมหายใจลงไปเขาทำงานอยู่ในแฟชั่นเฮ้าส์หลังนี้ถึง 36 ปี แต่ด้วยความอัจฉริยะทางด้านการออกแบบของเขา เขาสามารถออกแบบเสื้อผ้าให้กับ Fendi ซึ่งเปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นในวงการแฟชั่นของเขาและ ‘Karl Lagerfeld’ แบรนด์แฟชั่นของเขาเองไปพร้อมๆ กันได้อย่างไร้ที่ติ
นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเขาถึงได้รับยกย่องให้เป็นราชาแห่งวงการแฟชั่นเพราะนอกจากการอยู่เบื้องหลังแบรนด์แฟชั่นถึง 3 แบรนด์ Karl ยังสามารถออกแบบเสื้อผ้าและคุมภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างยอดเยี่ยมไม่ทับไลน์กัน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความสามารถที่หายากมากในบรรดาแฟชั่นดีไซเนอร์ที่ทำงานหลายแบรนด์พร้อมกัน แต่ที่โดดเด่นที่สุดคงหนีไม่พ้น Chanel ที่เรียกได้ว่า Karl เป็นคนฟื้นคืนชีพให้กับแบรนด์เก่าแก่แบรนด์นี้ให้กลับมาหายใจอีกครั้ง
ในยุค 80s นั้น Chanel เปรียบเสมือนแบรนด์ที่กำลังจะหมดลมหายใจแต่ก็ได้ Karl นี่แหละมาต่อชีวิตเอาไว้ ซึ่งนอกจากการผลงานการออกแบบที่สามารถนำเอามรดกของบ้านอย่าง ไข่มุก ผ้าทวีต รองเท้า Two-Tone หรือแม้แต่ Little Black Dress มาชุบชีวิตให้กลายเป็นสไตล์โค้ดสุดคลาสสิกของสาวยุคปัจจุบัน นอกจากฝีมือการออกแบบแล้วนั้น Karl เป็นดีไซเนอร์ที่ขึ้นชื่อเรื่องการจัดแฟชั่นได้อย่างเล่นใหญ่ซึ่งแฟชั่นโชว์อันสุดตระการตานี้ได้กลายมาเป็นจุดเด่นของแบรนด์และเป็นที่รอคอยของคอแฟชั่นทั่วโลกและนี้อาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้แบรนด์นั้นโด่งดังเป็นพลุแตกจวบจนถึงปัจจุบันนี้
เพราะว่าเวทีแฟชั่นโชว์นั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่พื้นที่ในการโชว์เสื้อผ้าให้กับบรรดาผู้ชมแฟชั่นโชว์ แต่มันมีพลังมากกว่านั้น สามารถเติมเต็มความฝัน สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ชม รวมถึงสร้างยอดขายให้กับแบรนด์ได้เป็นอย่างดี Karl เห็นใจความสำคัญเหล่านี้เลยนำเอาแรงบันดาลใจการออกแบบเสื้อผ้าในแต่ละคอลเลคชั่นมาเนรมิตให้กลายเป็นเวทีอันสุดยิ่งใหญ่ภายใต้โดมขนาดใหญ่ของ ‘Grand Palais’ สถานที่จัดโชว์ประจำของแบรนด์ Chanel
ซึ่งแรงบันดาลใจแต่ละคอลเลคชั่นนั้นแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิงไม่ว่าจะเป็นโลกใต้ท้องทะเล ซุปเปอร์มาเก็ต ดวงดาว หรือแม้แต่กระทั่งประวัติศาสตร์อันยาวนานของแบรนด์ก็สามารถนำเอามาขยายใหญ่เพื่อเป็นแฟชั่นโชว์ได้ วันนี้เรารวบรวม 10 สุดยอดแฟชั่นโชว์ที่สร้างสรรค์โดยราชาแห่งวงการแฟชั่น Karl Lagerfeld มาให้ชาว LIPS เพื่อระลึกถึงและชื่นชมในความสามารถในการออกแบบแฟชั่นของเขาจะมีโชว์จากซีซั่นไหนบ้างไปดูกัน!
Chanel Fall/Winter 2010
เราขอเริ่มกันที่คอลเลคชั่น Ready-to-Wear Fall/Winter 2010 เพราะ Karl เล่นใหญ่มาก! พาอาร์กติกมาตั้งใจกลางกรุงปารีส แบรนด์ลงทุนขนน้ำแข็งมาจากสแกนดิเนเวียเพื่อการนี้ ในขณะที่โชว์ต้องลดอุณภูมิจนเหลือแค่ -4 องศาเพื่อให้น้ำแข็งไม่ละลาย
Chanel Couture Fall/Winter 2010
Karl ยกเอารูปปั้นสิงโตทองคำตะครุบไข่มุกมาไว้ในโชว์ Couture Fall/Winter 2010 ซึ่งรูปปั้นสิงโตนี้สื่อถึงประวัติความเป็นมาของบ้านแฟชั่น Chanel เพราะสิงโตหรือสิงห์เป็นสัตว์ประจำราศีเกิดของ Coco Chanel ผู้ก่อตั้งแบรนด์
Chanel Spring/Summer 2012
คอลเลคชั่นนี้ Karl พาทุกคนดำดิ่งสู่ใต้ท้องทะเลเพราะคอลเลคชั่น Spring/Summer 2012 นั้นได้แรงบันดาลใจมาจากโลกใต้ท้องทะเล เราจะเห็นปะการัง สาหร่าย และเปลือกหอยขนาดยักษ์ซึ่งข้างในบรรจุนักร้องสาวที่โด่งดังมากในตอนนั้นอย่าง ‘Florence and the Machine’ ที่ค่อยเปิดออกเพื่อร้องเพลงปิดแฟชั่นโชว์นี้
Chanel Fall/Winter 2012
ในแฟชั่นโชว์ Fall/Winter 2012 ของ Chanel เศษของคริสตัลที่ดูคล้ายกับอเมทิสต์และสโมคกี้ควอตซ์ถูกวางกระจัดกระจายใน Grand Palais ราวกับประทุขึ้นมาจากใต้พื้นดินแถมยังมีคริสตัลระยิบระยับขนาดเล็กเท่าเม็ดทรายเป็นพื้นของรันเวย์ ซึ่งผนวกกับเสื้อผ้าคอลเลคชั่นนี้ราวกับหลุดมาจากดาวคริปตันในเรื่อง Superman
Chanel Couture Fall/Winter 2013
Karl เปลี่ยนแฟชั่นโชว์ให้กลายเป็นเมืองร้างในโลกอนาคตเพราะฉากหลังของโชว์ Couture Fall/Winter 2013 คือโรงละครที่ถูกทิ้งล้างในอนาคตพุพังจากการระเบิด ที่ได้แรงบันดาลใจจาก ‘Post Apocalypse’ เซตติ้งนั้นเหมือนจริงมากๆ เพราะมีเศษหิน เศษปูนที่พุพังเกลื่อนไปทั่วพื้นรันเวย์พร้อมซากอาคารที่ก็ดูพังเหมือนกันโดนระเบิดลูกใหญ่มา
Chanel Fall/Winter 2014
Chanel คอลเลคชั่น Fall/Winter 2014 หนึ่งในเวทีแฟชั่นโชว์ที่โด่งดังที่สุดของยุค 2000s เลยก็ว่าได้เพราะว่าด้วยการเอา Pop Culture มาใช้ในแฟชั่นโชว์นี้ซึ่งไม่บ่อยนักที่จะเห็น Chanel หยิบมาใช้ บวกกับการสร้างประสบการณ์การเดินซุปเปอร์มาร์เก็ตสุดหรูอย่าง Chanel Supermarket ทำให้รูปของเซเลบริตี้ที่ไปชมโชว์นี้กับเวทีของโชว์นี้เต็มหน้าฟีดโซเชียลมีเดียในตอนนั้นเลย
Chanel Spring/Summer 2015
รอบนี้ Karl เปลี่ยน Grand Palais ให้กลายเป็นถนนสายสำคัญในปารีสเพื่อให้เหล่านางแบบของโชว์ออกมาเดินถือป้ายประท้วงในหัวข้อเรื่องสตรีนิยม ซึ่งเซตติ้งในโชว์เรียกว่าเสมือนจริงมากทั้งพื้นหลังอาคารเจ็ดชั้น ทางเท้า แอ่งน้ำ หรือแม้แต่หลุมบนถนนก็ถูกจำลองมาให้เหมือนจริงมากที่สุด ซึ่งในตอนนั้นก็กลายเป็นไวรัลไปทั่วอินเทอร์เน็ต
Chanel Spring/Summer 2016
สำหรับโชว์ Spring/Summer 2016 นี้ Karl ได้สร้างสรรค์แฟชั่นโชว์ราวกับฉากจากภาพยนตร์ Blockbuster ด้วยการจำลองอาคารผู้โดยสารสนามบินขึ้นมาในแฟชั่นโชว์ฤดูกาลนี้ ซึ่งเซตติ้งในโชว์นี้ประกอบไปด้วยโต๊ะเช็คอินจำนวนมาก รถเข็นกระเป๋าเดินทาง รวมถึงกระดานแจ้งเที่ยวบินขาออกทำให้นางแบบในโชว์นี้กลายเป็นนักเดินทางที่สวม Chanel ตั้งแต่หัวจรดเท้า
Chanel Fall/Winter 2017
สำหรับโชว์ประจำฤดูกาล Fall/Winter 2017 ทางแบรนด์ได้จำลองสถานีอวกาศมาอยู่ใน Grand Palais ซึ่งที่น่าประทับใจที่สุดก็คงเป็นจรวด ‘Gabrielle Chanel Agency Spatiale’ ที่ตอนแรกนั้นตั้งอยู่ตรงกลางรันเวย์พอถึงตอน Finale จรวดที่ตั้งอยู่ก็ค่อยๆ ปล่อยควันและลอยขึ้นเหมือนขั้นตอนส่งกระสวยอวกาศไปนอกโลกเลย
Chanel Spring/Summer 2019
แฟชั่นโชว์สุดท้ายเราชอบมากเพราะว่า Karl จำลองชายหาดบนเกาะ Sylt เกาะที่เขามักไปพักผ่อนกับครอบครัวในวัยเด็กขึ้นมาใน Grand Palais เลย อย่างที่ทุกคนรู้กันว่าหากไม่ใช่คอลเลคชั่น Resort หรือ Métiers d’Art แบรนด์จะต้องจัดโชว์ที่ปารีสเท่านั้น! แต่เมื่อไปชายหาดจริงไม่ได้ก็ทำให้มันเกิดขึ้นกลางกรุงปารีสเสียเลย!
