เรารู้จักฟิล์ม-ธนภัทร กาวิละ จากบทบาทการแสดงในละครเรื่องเมีย 2018 ที่ส่งให้เขากลายเป็นที่ใฝ่ฝันของสาวๆ ทั่วประเทศชั่วข้ามคืน ด้วยรอยยิ้มที่เห็นแล้วโลกสว่างไสว บุคลิกเนี้ยบสไตล์ออกแนวคุณชาย ทำให้เราจัดหมวดหมู่ฟิล์ม-ธนภัทร ไว้ในประเภทพระเอกตัวท็อป ภาพลักษณ์ดีที่น่าจะพ่วงมากับคุณสมบัติ ‘เข้าถึงยาก’ แต่เมื่อได้มานั่งสนทนากันเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม ก็ต้องยอมรับว่าพระเอกหนุ่มคนนี้ยิ้มมีเสน่ห์อย่างที่เราคิดไว้ตั้งแต่ต้น แต่สิ่งที่เราคาดคะเนผิดไปก็คือเขาเป็นกันเอง คุยเก่ง และผ่านอะไรมามาก กว่าจะมีวันที่ได้มายืนอยู่ในแถวหน้าอย่างทุกวันนี้
ก่อนหน้าที่จะได้มาพบกันเราทำการบ้านเกี่ยวกับตัวเขาผ่านการหาข้อมูลทาง ‘อากู๋’ Google เจ้าเก่าสิ่งที่เราค้นพบส่วนใหญ่เป็นเรื่องผลงานที่ผ่านมา ผลงานสร้างชื่อ ข่าวกอสซิปกับคู่จิ้น แต่ภาพที่เรียกร้องความสนใจจากเราได้อย่างจริงจัง นั่นก็คือภาพเด็กชายหุ่นจ้ำม่ำที่ดูไม่มีเค้าพระเอกทุกกระเบียดนิ้วอย่างในวันนี้ ซึ่งเจ้าของภาพเองก็ยอมรับกับเราว่า
“ตอนเด็กๆ ที่บ้านเปิดปั๊มน้ำมันที่สระบุรี แล้วก็จะมีตู้แช่ ผมจะชอบไปขโมยเครื่องดื่มบำรุงกำลังมากิน เมื่อก่อนผมเป็นเด็กอ้วนนะ เป็นเด็กกินเก่ง ทุกวันนี้ก็กินเก่ง แต่ด้วยความที่มาทำงานตรงนี้ ต้องคอยเบรกตัวเองแล้วเราก็ต้องเลือกสรร สิ่งที่เข้าปากเราเพื่องานของเรามันไม่เหมือนตอนเด็กๆ ที่อยากกินอะไรก็กิน ตอนเด็กๆ ผมกินทุกอย่างที่ขวางหน้า กินยันอาหารปลาที่เอาไว้ให้ปลาทอง กินแล้วท้องเสียด้วยนะ ยังจำได้ว่า ตอนนั้นที่บ้านมีต้นตะขบที่เวลาลูกมันร่วงแล้วแตกออกมาจะเหมือนอึนก เป็นเม็ดเล็กๆ รสชาติหวานๆ ผมก็ชอบปีนต้นไม้ขึ้นไปกิน ตอนนั้นผมกินทุกอย่างที่ขวางหน้าจริงๆ”
พระเอกหนุ่มอดีตเด็กอ้วน ยังเล่าว่าเขาไม่ได้ฉายแววหล่อเหลาเข้าพิมพ์นิยมพระเอกมาแต่เด็ก พี่ชายแท้ๆ ของเขาเสียอีกที่ดูมีแววกว่า “ตอนเด็กๆ พี่ชายผมหน้าเด็กกว่า พี่ชายหล่อกว่าด้วย เพราะด้วยความที่ตอนนั้นเรายังตัวไม่สูงเท่านี้ แล้วพี่ชายเขาสูงกว่าไงครับ แล้วเขาก็ขาวตี๋ตามพิมพ์นิยมเลย
“ผมมาเริ่มดูดีขึ้น ตอนช่วงเริ่มสูงครับ สมัยเรียนอยู่ชั้น ป.4–ป.5 คุณแม่เริ่มจับไปเรียนว่ายน้ำแบบจริงจัง เรียนแบบเป็นนักกีฬาว่ายน้ำเลยครับ วันหนึ่งว่ายครั้งละ 2-3 กม. ว่ายวันละ 20–30 รอบ บางวันหนักๆ หน่อยก็ 40 รอบ เขาก็ให้ว่ายอยู่เป็นปี ให้กินนม อัดฉีดทุกอย่าง ก็เลยโตขึ้น เริ่มสูงกว่าพี่ชาย แล้วเริ่มดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นน่าจะตอนช่วง ม. ต้น แต่ก็ไม่ถึงขนาดออร่ามาแต่ไกลหรอกครับ ผมไม่ได้พูดชมตัวเองนะ แต่หมายถึงว่า ผมเริ่มรู้สึกว่า ถูกคนสนใจมากกว่าเพื่อนในรุ่น มีรุ่นพี่มาจีบ ได้ถือพาน ถือป้ายโรงเรียน ได้คัดเลือกเป็นหน้าเป็นตาของห้อง ของสี เวลากีฬาสีช่วง ม.ปลาย ก็ดีขึ้นมาอีกหน่อย ด้วยความที่โตขึ้น ลุคอะไรก็ดีขึ้น ความคิดก็เปลี่ยนไป แต่มาเริ่มแต่งตัว เริ่มดูแลตัวเองจริงๆ ก็คือช่วงมหาวิทยาลัยไปแล้วครับ”
การเริ่มดูแลตัวเองให้ดูดีขึ้นส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะเขาใฝ่ฝันอยากเข้าสู่วงการบันเทิงมาตั้งแต่เด็กซึ่งคุณแม่ก็คอยสนับสนุนมาโดยตลอด
“ผมอยากเข้าวงการบันเทิงมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ผมยังจำได้ว่า ตอนเด็กๆ ผมกับคุณแม่อยู่ด้วยกันตลอด ตัวติดกับแม่เลย แล้วด้วยความที่คุณแม่เป็นผู้หญิงแม่ก็จะติดละคร เราก็จะดูละครกับแม่มาตลอด เลยนึกอยากเล่นละคร แล้วก็อยากร้องเพลง แต่หลักๆ ผมอยากเป็นนักร้อง นำหน้านักแสดงอีก แต่เสียงห่วยแตกมาก ร้องเพลงแย่มาก จนเพื่อนบอกว่า หยุดร้องเหอะ”
ถึงแม้จะโดนเพื่อนปรามาสเรื่องความสามารถในการร้องเพลงแต่ความฝันในการเป็นศิลปินนักแสดงของเขายังคงดำเนินต่อไปถึงแม้จะเกือบถอดใจไปบ้างก็ตาม
“เริ่มมีญาติเอารูปผมไปส่งโมเดลลิ่ง พอโมเดลลิ่งเสร็จปุ๊บ ก็ไปแคสต์งานแล้วก็ได้งานชิ้นแรกตอน ม.2 เป็นงานโฆษณา True Music ประกอบเพลงอกหักของบอดี้สแลม แล้วหลังจากนั้นมาก็มีตามแคสต์งานเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ค่อยได้หรอกครับ แล้วเราก็เอาเงินส่วนที่ได้จากการทำงานมาเรียนร้องเพลงสกิลล์เรื่องการร้องเพลงก็ดีขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ว่าตอนนั้นก็เหมือนแทบจะทิ้งความฝันตรงนั้นไปแล้ว เพราะรู้สึกว่าไม่มีโอกาสเลย
…พอเข้ามหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ ผมก็ไม่ได้ไปแคสต์งานอีก ผมก็ตั้งใจเรียนไปเรื่อยๆ ผมยังอยากเข้าวงการอยู่นะ แต่ไม่ได้คาดหวังอะไรมากแล้ว ถ้ามีโอกาสเราก็จะทำให้เต็มที่ แต่ไม่ได้ไปไขว่คว้าขนาดนั้นแล้ว จนวันหนึ่งมีเพื่อนชวนไปเล่นโฆษณา เริ่มจากไปเป็น extra ก่อน แล้วโมเดลลิ่งเขาก็ชวนไปแคสต์โฆษณาอื่นๆ จนกระทั่งชวนไปประกวด เวทีแรก คือ เวทีดัชชี่บอยแอนด์เกิร์ล ปีสุดท้าย ปี ค.ศ.2013 แล้วก็อยู่กับที่นั่นมาสักพัก มีงานละครชิ้นหนึ่งจนผมได้เข้ามาเซ็นสัญญากับช่อง One จากการประกวดชนะในโครงการรักฝุ่นตลบ”
แต่ใช่ว่าได้เซ็นสัญญาแล้วจะการันตีได้ว่าจะได้ขึ้นแท่นเป็นดาราที่มีผลงานต่อเนื่องเพราะกว่าจะเป็นที่ยอมรับได้ก็ต้องฝึกฝนพัฒนาฝีมือจนกว่าจะเป็นที่ไว้วางใจซึ่งทุกอย่างที่ว่าต้องอาศัยความพยายามโอกาสและในบางครั้งความรู้สึกท้อถอยก็ย่อมแวะมาเยือนบ้างแต่เขาก็มีแพลน B มาช่วยรองรับให้ยังทำงานที่ใฝ่ฝันต่อไปได้
“ผมมาทำงานเป็นสจ๊วตพร้อมๆ กับการมาเป็นนักแสดง หลังเรียนจบปุ๊บด้วยความที่ผมไม่เก่งภาษาอังกฤษ ก็เลยคิดว่าผมจะต้องหาอาชีพอะไรที่สามารถหาเงินได้เยอะๆ แล้ว
ความสามารถของเราก็ต้องดีพอจะไปแตะถึงด้วย ซึ่งอย่างเดียวที่ผมทำได้ก็คือ ‘สจ๊วต’ ด้วยรายได้ที่เราคาดหวังและพอเข้าไปเป็นปุ๊บเราไม่ต้องไปนั่งลุ้นว่า เมื่อไรจะเลื่อนขั้น เพราะเป็นงานที่ถ้าคุณทำได้เยอะ คุณก็ได้ผลตอบแทนเยอะ แล้วก็รู้สึกว่าเป็นอาชีพที่ตารางเวลาค่อนข้าง flexible พอที่จะมาเป็นนักแสดงไปในเวลาเดียวกันได้ด้วย”
ฟังดูเหมือนเป็นอาชีพสวยหรูที่ทำงานง่ายๆ แต่เอาเข้าจริงหลายคนคงพอรู้ว่าเบื้องหลังงานบริการบนเครื่องบินนั้นไม่ได้มีแต่มุมสวยงาม และเป็นงานที่ต้องใช้ความอดทนและความอึดสูงพอตัว
“หนึ่งอย่างที่ผมได้จากการทำงานเป็นสจ๊วต คือ ผมได้ความอดทนในการทำงาน คือ เราตื่นนอน กินไม่เป็นเวลา ตารางชีวิตพังแต่ก็ต้องอดทนเพื่องาน เพื่อเงิน เราต้องอดทนกับเพื่อนร่วมงานที่บางทีเรารู้สึกว่า เราไม่ถูกชะตาด้วย แต่ก็ต้องทำงานร่วมกันให้ได้”
…ได้อดทนกับผู้โดยสารที่เห็นแก่ตัว เพราะผู้โดยสารบางคนชอบคิดว่า สจ๊วตกับแอร์ต้องคอยยกกระเป๋าให้ ซึ่งความจริงไม่ใช่ เพราะตามกฎของการบินพลเรือน สัมภาระที่ผู้โดยสารนำขึ้นเครื่องเอง ผู้โดยสารต้องเป็นคนรับผิดชอบเอง การที่แอร์กับสจ๊วตเป็นคนยกให้ มันคือการแสดงน้ำใจแต่ไม่ใช่หน้าที่นะครับ”
อดีตสจ๊วตรูปหล่อเล่าถึงประสบการณ์บนเครื่องบินที่ผ่านมาอย่างออกรส เขายอมรับว่างานประจำงานแรกในชีวิตของเขาเป็นงานที่หนักหนาสาหัสไม่เบา แต่ถึงอย่างไรเขาก็ได้ประสบการณ์ดีๆ จากงานที่เลือกทำเพื่อสานฝันการเป็นนักแสดงงานนี้
“สจ๊วตเป็นงานหนักกว่าที่คิด เจออะไรมากกว่าที่คิด แต่ถามว่า ผมมองอาชีพนี้ติดลบไหม ก็ไม่ติดลบนะครับ เพราะผมมีเพื่อนที่ดี ผมได้เจอสังคมที่ดี ผมได้เที่ยว แต่อาจจะไม่ได้เที่ยวเยอะ เพราะด้วยสายการบินผม ส่วนใหญ่บิน Domestic route ต่างประเทศมีน้อย ซึ่งผมแทบจะไม่ได้ค้างประเทศอื่นเลย นอกจากอินโดนีเซียที่ไปค้างบ่อยสุด แต่อย่างน้อยเรายังได้เที่ยว เรายังได้เจอโลก ได้เจอผู้โดยสาร ผู้โดยสารดีๆ ก็มีเยอะนะครับ ผู้โดยสารผู้ชายบางคนช่วยยกกระเป๋าให้ผู้โดยสารคนอื่น หรือบางทีมีผู้โดยสารเอาขนมมาให้ลูกเรือ ถามว่า “เราทำงานเหนื่อยไหม” ก็เป็นกำลังใจที่ดี”
ย้อนไปยังวันที่พระเอกหนุ่มยังต้องบริหารตารางการบินควบคู่ไปกับตารางคิวงานละคร ตอนนั้นเขาเองก็ยอมรับว่าบางครั้งการจัดตารางก็ไม่สามารถทำได้ตามต้องการ และเมื่องานแสดงเริ่มเข้ามาเบียดบังตารางงานประจำ สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจลาออกจากการเป็นสจ๊วต
“ตอนนั้นผู้ใหญ่บอกว่า จะมีละครให้อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งต้องใช้คิวถ่าย 7 วัน ผู้ใหญ่ก็เลยเรียกเข้าไปคุยว่าเอาอย่างไรดี ลองดูสักตั้งไหม แต่เขาก็ไม่รับประกันความสำเร็จนะ ถ้าคุณลองเต็มที่ ผมก็จะเต็มที่กับคุณดูสักครั้งหนึ่ง อย่างน้อยๆ รายได้ที่คุณได้จะไม่น้อยไปกว่าเดิมจากที่เคยได้จากอาชีพสจ๊วต ผมจึงลาออก แล้วสรุปว่า ละครที่เขาบอกว่าจะมีก็คือไม่มี เพราะเขาเอาคนอื่นไปเล่นแทน ยอมรับว่า เคว้งนะครับ แต่ผมรู้สึกว่า ถ้าเราเอาเวลาเคว้ง เวลาดาวน์นั้นไปพัฒนาตัวเองดีกว่าไหม
“ผมยังจำได้อยู่เลยว่า ตอนที่ผมตัดสินใจลาออกจากสจ๊วต ผมเหลือเงินก้อนสุดท้าย แล้วผู้ใหญ่เขาเรียกเข้าไปคุย ไปบ่นเรื่องเล่นละครแย่ เล่นละครแข็ง ผมเลยตัดสินใจเอาเงินก้อนนั้นไปเรียนการแสดงเพิ่ม ทั้งๆ ที่ช่องมีให้เรียนการแสดงอยู่แล้ว แต่ผมไปลงเรียนเพิ่มเอง”
จริงอยู่ว่าตอนนั้นเขามีโอกาสได้เล่นละครกระแสดีถึงสองเรื่อง ทั้ง กับดักเสน่หา และเรือนเบญจพิษ แต่ถึงอย่างไรการได้เล่นละครไม่ได้การันตีเรื่องรายได้ และความโด่งดังที่นำไปต่อยอดได้ จนกระทั่งมีโอกาสได้เล่นละครเรื่อง “เมีย 2018” ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตครั้งใหญ่ที่ส่งผลให้เขากลายเป็นสามีแห่งชาติภายในชั่วข้ามคืน
“แรกๆ ก็ยังปรับตัวไม่ค่อยได้ รู้สึกว่า เดินไปไหนมาไหนก็มีแต่คนมอง มีคนเข้ามาทักตลอดเวลา ถามว่า รู้สึกดีไหม ก็ดีครับ แต่ว่ายังไม่ชิน หลังๆ ก็เลยคิดว่า ถ้าไม่อยากให้คนมอง ไม่อยากไปไหนมาไหนแล้วคนทัก ก็ไม่ต้องออกไปไหนดีกว่า ไปห้างฯ ก็เลือกห้างฯ ใกล้ๆ บ้าน
…ส่วนกระแสคู่จิ้นที่ตามมาจนถึงวันนี้ก็เริ่มรู้สึกเป็นธรรมดาของวงการนี้ไปแล้วครับ ก็รู้สึกดีนะที่คนชอบ มีคนรักย่อมดีกว่ามีคนเกลียด ผมคิดอย่างนี้นะ อย่างตอนผมยังไม่ดัง ยังไม่มีใครรู้จักมากเท่าไร แต่ผมก็มีแฟนคลับกลุ่มเล็กๆ ที่เขาชอบให้ผมอยู่กับ ใบเฟิร์น-อัญชสา แล้วดูสนิทสนมกัน แต่เราเป็นเพื่อนกัน พอเป็นเพื่อนแล้วเราก็สบายใจที่จะถูกเนื้อต้องตัวกันโดยที่ไม่คิดอะไร”
พระเอกหนุ่มเล่าถึงคู่จิ้นคู่ขวัญจากละครเรื่องรักแลกภพ ที่หลายคนลุ้นให้เป็นคู่จริง เราหยิบยกคำตอบของเขาจากงานบวงสรวงละครเรื่องใหม่ มาย้อนถามเขาว่า “ที่บอกว่าเป็นเพื่อนกันแต่ในอนาคตอาจจะมีสิทธิ์พัฒนาได้ นี่หมายความว่าอย่างไรกันแน่ เพื่อนกันจะพัฒนาข้าม Friend Zone ได้อย่างนั้นหรือ” เขาตอบคำถามนี้อย่างตรงไปตรงมาจนเราแปลกใจ
“ผมก็เห็นเพื่อนผมหลายคนอยู่ๆ ก็มาคบกัน ทั้งๆ ที่ตอนที่รู้จักกันก็พูดจากันแบบเพื่อน พูดหยาบๆ คายๆ กันเป็นปกติ อ้าว..มารู้อีกทีคบกันได้ไงวะ เราไม่เห็นภาพด้วยซ้ำว่า เขาจะคบกันได้ แล้วพอมารู้อีกที ต่างคนต่างทำงาน แล้วมาเจออีกทีก็เป็นแฟนกันแล้ว เราก็งงไง คือ เราเห็นมาเยอะจนเริ่มรู้สึกว่า มันเป็นจังหวะของชีวิต บางทีเราอาจจะไปปรึกษาเรื่องความรักกับผู้หญิงคนนี้ เหมือนเราอกหักมา แต่คุยไปคุยมาเริ่มสบายใจ เริ่มได้เห็นอีกมุมหนึ่งของเขาที่เราไม่เคยเห็น ซึ่งเราอาจจะไปตกหลุมรักเขาตอนนั้นก็ได้ แต่ตอนนี้สถานะมันอาจจะยังเป็นเพื่อนกัน เราอาจจะเห็นแค่มุมเพื่อน เราไม่เคยเห็นมุมที่ถ้าจีบกันจริงๆ จะเป็นอย่างไร วันหนึ่งถ้ามันเป็นจังหวะที่อยู่ถูกที่ถูกเวลามันอาจจะใช่ก็ได้
“ตัวผมเองเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าเกือบทุกคนเลยนะ ผมเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าได้ หรืออย่างแฟนเก่าไปคบกับเพื่อนผมเองก็มีนะ ตอนแรกก็ช็อคๆ แต่หลังๆ ก็ชิน เราก็แค่คิดเสียว่า เขาเป็นแฟนเพื่อนก็แค่ทิ้งอดีตไป แต่ลึกๆ แล้วไม่มีใครลืมอดีตได้หรอกครับ เราแค่ไม่เอามันมาคิดเฉยๆ ชีวิตคนเรามันต้อง move on ผมคิดแค่นี้แหละ”
…เรื่องความรักถ้าใช่มันก็ใช่ กับบางคนยังเคยมีกฎ พอไปคบอีกคนหนึ่งก็ไม่มีแล้ว หมายถึงว่าตัวเราก็คือตัวเรา แต่สุดท้ายพอเราเปลี่ยนไปอยู่กับอีกคนหนึ่ง ผมก็รู้สึกว่า เราก็จะเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมด้วย แต่ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยชอบผู้หญิงจู้จี้จุกจิกมากเกินไป ไม่ค่อยชอบให้ผู้หญิงเช็กโทรศัพท์ ต่อให้ไม่มีใคร ไม่มีความลับอะไร แต่ก็รู้สึกว่า บางทีมันเป็นของส่วนตัว คุณก็มีสเปซของคุณผมก็ไม่เช็ก ผมก็อยู่ของผม แต่คือไปไหนมาไหนก็
จะบอก เราไม่อยากให้เขาเช็กในพื้นที่เล็กๆ ของเรา แต่เราก็ให้ความสบายใจโดยที่เวลาเราไปไหน เราก็ควรที่จะบอกเขา”
เขาตอบอย่างคนเข้าใจความรัก ว่ามันไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ มาตีกรอบความรู้สึก และไม่มีกฎข้อบังคับตายตัว แต่ช่วงนี้เขาสารภาพว่ากำลังหวงชีวิตโสดมากกว่าจะอยากหลงรักใครจนเสียความเป็นส่วนตัว
“ความรู้สึกของคนมีแฟนนี่มันนานมากแล้ว จนผมจำไม่ได้ แต่เวลาผมมีแฟนผมก็เป็นคนเทคแคร์เขาเหมือนกัน ถ้าทำอะไรให้เขาได้ ให้อะไรกับเขาได้ก็จะให้เท่าที่ทำได้ แต่จะไม่ทำอะไรที่รู้สึกว่าเหลือบ่ากว่าแรงตัวเอง เพราะผมคิดว่า ถ้าคนสองคนจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขได้ เราต้องเป็นตัวเองให้มีความสุขก่อน ไม่ใช่เป็นอย่างที่อีกคนหวังให้มีความสุข แบบนั้นเราจะมีความสุขได้ไม่นาน แต่ว่าพอใช้ชีวิตโสดมานาน เราอยากไปไหนก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ ผมเลยหวงความเป็นส่วนตัว หวงในความอิสระนี้อยู่ ตอนนี้เลยยังไม่รู้สึกอยากที่จะเต็มร้อยกับใคร”
หนุ่มหวงความโสดคนนี้ยังขอคลายข้อสงสัยของบางคนด้วยว่า
“ทุกวันนี้ก็ยังมีคนคิดว่า ผมเป็นเกย์นะ แต่เริ่มมีน้อยลง ที่คนคิดแบบนั้นอาจจะด้วยวิธีการพูดของผม แล้วผมยังเป็นคนสำอาง ผมเป็นผู้ชายที่ชอบทาครีมกันแดด ทาครีมบำรุง ชอบ
มาส์กหน้า ชอบเข้าสปา ชอบเข้าคลินิกความงาม เพราะมันสบายดี
แล้วด้วยความที่ผมอยู่กับคุณแม่มานาน ผมเลยมีความเป็น
ผู้หญิงเยอะ และจะเป็นคนเนี้ยบๆ เจ้าระเบียบ”
หนุ่มเจ้าสำอางขอแก้ข่าวแบบเคลียร์ๆ ถึงวันนี้เชื่อว่าคนส่วนใหญ่รู้จักชื่อเสียงของเขาดีและน่าจะเริ่มรู้จักตัวตนนอกจอของเขามากขึ้นอีกนิดผ่านบทสนทนานี้บ้าง รวมถึงรายการทางออนไลน์ที่เขาฝากบอกว่ากำลังจะเปิดตัวในเดือนตุลาคมนี้ ก็น่าจะเป็นอีกช่องทางที่ทำให้แฟนๆ ได้รู้จักเขาในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ◆
ติดตามบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ในนิตยสาร Lips ฉบับเดือนกันยายน 2563
Photography : S.Guy
Styling : Torrinee