HUBLOT (อูโบลท์) แบรนด์เรือนเวลายุคใหม่ที่ก่อกำเนิดขึ้น ด้วยแนวคิดผนวกความเชี่ยวชาญของช่างทำนาฬิกาแบบสวิส กับ ความล้ำสมัยภายใต้รูปลักษณ์แบบสปอร์ต ซึ่งถือว่าค่อนข้างขบถต่อธรรมเนียมการทำนาฬิกาของสวิสแบบดั้งเดิมโดยสิ้นเชิง เพราะในช่วงเวลาที่ HUBLOT ถือกำเนิดขึ้น ภาพลักษณ์ความหรูหราแห่งเรือนเวลาสวิส มักมีตัวเรือนเป็นโลหะสีเงิน มีสายเป็นโลหะ หรือหนังแท้ แต่ HUBLOT กลับมีตัวเรือนสีทอง และสายรัดข้อมือที่ทำจากยาง แม้วัสดุจะดูขัดแย้งกัน แต่กลับดูเข้ากันอย่างลงตัว จนกลายเป็นจุดขายภายใต้คอนเซ็ปต์ “Art of Fusion” (ศิลปะแห่งการผสมผสาน) ที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์มาโดยตลอด
เรือนเวลาสัญชาติสวิส ที่ก่อตั้งขึ้นโดยช่างทำนาฬิกาชาวอิตาเลียน ได้รับความนิยม และมียอดขายแบบก้าวกระโดดจนเมื่อปี 2008 HUBLOT ถูก LVMH บริษัทเจ้าของแบรนด์หรูรายใหญ่ของโลกซื้อกิจการไปด้วยมูลค่าสูงถึง 16,000 ล้านบาท และกว่า 40 ปีที่ HUBLOT โลดแล่นอยู่ในวงการนาฬิกาสวิสนี้ แบรนด์ก็มีวิสัยทัศน์ในการทำธุจกิจที่ทันสมัยอยู่ตลอด และกลยุทธ์ที่ดูเหมือนไม่ใช่ความลับทางการตลาด ซึ่งปรากฎชัดเจน นั่นคือ การที่ HUBLOT ไม่ได้เจาะจงแค่เฉพาะกลุ่มผู้บริโภคนาฬิกาหรู แต่กลับขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มผู้หลงใหลศิลปะ ดนตรี และกีฬา ตามที่เห็นได้จาก HUBLOT ได้รับหน้าที่เป็น “Official Timekeeper” ของการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก (Premier League) หรือ การดึงคนดังในวงการกีฬา อย่าง Usain Bolt และ Jose Mourinho หรือวงการดนตรี และศิลปะ เช่น DJ SNAKE มาทำหน้าที่แบรนด์แอมบาสเดอร์นั่นเอง
ด้วยปณิธานอันปราดเปรื่องนี้ส่งผลให้ HUBLOT ไม่หยุดที่จะคิดค้น หรือเสาะแสวงหา “ความสดใหม่” มาเสริมทัพให้แบรนด์แข็งแกร่งขึ้น นี่จึงอาจเป็นโจทย์หนึ่งที่ฝ่ายสำรวจและพัฒนาของ HUBLOT ตั้งคำถามกับทีมงานว่า “มีอะไรที่พวกเรายังไม่ได้ทำอีกหรือไม่?” เพราะก่อนหน้านี้ HUBLOT สร้างสรรค์ผลงานมาสเตอร์พีซประดับวงการนาฬิกาด้วยกัน 3 รูปทรง ได้แก่ นาฬิกาทรงกลม, นาฬิการูปทรงบาร์เรล และ MPs จนกระทั่งรูปทรง “สี่เหลี่ยมจัตุรัส” ซึ่งเป็นรูปทรงที่ 4 ได้ถือกำเนิดขึ้น แม้จะได้แรงบันดาลใจจากนาฬิการุ่นไอคอนนิคของแบรนด์อย่างรุ่น Big Bang (บิ๊ก แบง) แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะยัดเยียดกลไกคาลิเบอร์รูปวงล้อลงไปในตัวเรือนรูปทรงสี่เหลี่ยม ถือเป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยความชำนาญเชิงเทคนิคและดีไซน์อย่างสูงในการนำเสนอความโดดเด่นนี้
HUBLOT (อูโบลท์) : Square Bang Unico (สแควร์ แบง ยูนิโค)
เปิดตัวอย่างหรูหราภายในงาน Watches and Wonders เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กับ HUBLOT : Square Bang Unico ความโดดเด่นอันท้าทายของการผลิตที่ช่างทำนาฬิกาของแบรนด์ตัดสินใจไม่ปกปิดกลไก Unico ที่เคยเป็นความลับ ความภูมิใจ และหัวใจหลักในการออกแบบที่มีมานานกว่า 10 ปี กลไกโครโนกราฟที่มีคอลัมน์ วีลล์ นี้ ทำให้เราสามารถมองเห็นได้ตรงตำแหน่ง 6 นาฬิกา ขณะที่ระบบ Bicompax (ไบคอมแพค) ปรากฏอยู่บนหน้าปัดเพื่อให้เห็นการทำงานภายในตัวเรือน
ความท้าทายอีกประการ คือ โครงสร้างในการประกอบตัวเรือน ด้วยรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสนี้เอง ทำให้การกันน้ำเป็นเรื่องที่ยากขึ้นมาก แต่ HUBLOT ก็เอาชนะความท้าทายนี้ด้วยการรับประกันการกันน้ำได้ถึง 100 เมตร นาฬิการุ่นนี้ถูกออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ โดยให้ความสบายขณะสวมใส่บนข้อมือด้วยโครงสร้างแบบแซนด์วิชทับซ้อนกันอย่างแยบยลเช่นเดียวกับรุ่น Big Bang วัสดุหลักบนหน้าปัดทำจากแซฟไฟร์ขนาดใหญ่นี้ ทำให้ Square Bang Unico มีความโปร่งแสง และมองเห็นการทำงานของกลไกภายในได้อย่างชัดเจน โดย Square Bang Unico นี้มีการใช้เข็มนาฬิการูปทรงเดียวกันกับ Big Bang ด้วย
ตัวเรือนขนาด 42 มม. ประกอบไปด้วยสกรู 6 ตัวที่ใช้งานได้จริง ถูกวางไว้ในตำแหน่งเดียวกับรุ่น Big Bang สำหรับสายนาฬิกาทำจากยางสีดำถูกออกแบบให้ใช้งานทั้งถอด และสวมใส่ได้ง่ายด้วยระบบ One Click ทำงานอย่างเที่ยงตรงด้วยกลไก HUB1280 Unico ในแบบเฉพาะของ HUBLOT และเดินกลไกด้วยระบบออโตเมติกโครโนกราฟ ซึ่งผลิตออกมาด้วยกัน 5 รุ่นซีรีส์ โดยทำจากวัสดุเดียวกันทั้งตัวเรือน คือ ไทเทเนียม และ คิง โกลด์, อีก 2 รุ่นเป็นการผสมผสานระหว่างขอบหน้าปัดเซรามิกสีดำ กับ ไทเทเนียม และ คิง โกลด์ ปิดท้ายความพิเศษในแบบเฉพาะของ HUBLOT ที่หาจับต้องได้ยากสำหรับนักสะสม กับรุ่น ALL BLACK ซึ่งทำจากเซรามิกสีดำล้วน ที่มีจำนวนจำกัดเพียง 250 เรือนเท่านั้น
ภายใต้การเปิดตัว Hublot Novelties 2022 ทางแบรนด์ยังมีเรือนเวลารุ่นที่โดดเด่น และสีสันสวยงามไม่แพ้กัน กับ HUBLOT : Big Bang Integral (บิ๊ก แบง อินทิกรัล) ที่นำเสนอเฉดสีของธาตุต่าง ๆ ประกอบไปด้วย น้ำ, ดิน, ไม้, และท้องฟ้า นำมาใช้กับตัวเรือนนาฬิกาที่ทำจากวัสดุหลัก คือ เซรามิก อันมีคุณสมบัติแข็งแรง กันรอยขีดข่วน และทำให้ได้สีสันที่เข้มแบบโมโนโครมทั้ง 4 รุ่นสี ได้แก่ สีเขียว (Green), สีน้ำเงิน (Indigo Blue), สีเบจ (Beige) และ สีสกายบลู (Sky Blue) บนตัวเรือนขนาด 42 มม. ซึ่งผลิตออกมาแบบลิมิเต็ดเพียงรุ่นละ 250 เรือนเท่านั้น
สำหรับสาวก HUBLOT ที่ต้องการความแตกต่างด้วยเรือนเวลาสุดหรูหรา แต่คงไว้ซึ่งความคลาสสิก ด้วยนาฬิกากึ่งเดรสส์ตามแบบฉบับเรือนเวลายุโรป HUBLOT นำเสนอ HUBLOT : Classic Fusion Orlinski Bracelet (คลาสสิค ฟิวชั่น ออร์ลินสกี เบรซเลต) ซึ่งเป็นการจับมือร่วมกันรังสรรค์ผลงานชิ้นเอก กับ ศิลปินที่มีชื่อเสียงอย่าง Richard Orlinski (ริชาร์ด ออร์ลินสกี) หนึ่งในพันธมิตรที่คุ้นเคยกับแบรนด์มานาน ซึ่งแนวคิดในการทำงานของทั้งคู่สอดประสานกัน และตรงกับปรัชญา “Art of Fusion” ของแบรนด์ ถ่ายทอดผ่านเรือนเวลาขนาด 40 มม. บนสายนาฬิกาที่ทำจากวัสดุเดียวกันอย่าง ไทเทเนียม บนหน้าปัดเซรามิกสีขาว และเซรามิกสีดำ ซึ่งผลิตออกมา 2 รุ่น ได้แก่ ไทเทเนียมขัดเงา และไทเทเนียมประดับด้วยเพชรบริลเลียนต์คัตสีขาว 12 เม็ด
ปิดท้ายด้วย HUBLOT : Big Bang Tourbillon Automatic Purple Sapphire (บิ๊ก แบง ทูร์บิญอง ออโตเมติก เพอร์เพิล แซฟไฟร์) รุ่นใหม่ ซึ่งทำจากวัสดุแซฟไฟร์สังเคราะห์บนสีสันใหม่ล่าสุด นั่นคือ สีม่วงโปร่งแสง ที่เป็นผลลัพธ์ของวัสดุคอมโพสิตที่ได้มาจาก AI₂O₃ (อลูมิเนียมออกไซด์) และโครเมียม ซึ่งสามารถมองเห็นชุดกลไกที่มีความซับซ้อนสูง แต่ผสมผสานเข้ากันอย่างไร้ที่ติได้อย่างชัดเจน รายละเอียดของวัสดุแซฟไฟต์ขัดเงา และสกรูไทเทเนียมรูปทรง H หกตัวในรุ่นก่อน ๆ รวมถึงรุ่นล่าสุดก่อนหน้านี้ ที่มีตัวเรือนสีส้มอย่างรุ่น Orange Sapphire ถือเป็นเอกลักษณ์ของงานการออกแบบที่เป็นไอคอนิกในรุ่น Big Bang ด้วยมาตรฐานการไขลานอัตโนมัติ ที่สามารถสำรองพลังงานได้นาน 72 ชั่วโมง นับเป็นเทคนิคเชิงช่างชั้นสูง สายยางสีม่วงโปร่งใสเดินสายด้วยลวดลายนูนมาพร้อมระบบ One Click สามารถเปลี่ยนสายได้ง่ายดาย และรวดเร็ว มาพร้อมทั้งตัวพับล็อกสายทำจากไทเทเนียม ซึ่งผลิตออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยจำนวนจำกัดเพียง 50 เรือน