Beauty First Touch ครั้งนี้ LIPS ได้มีโอกาสพูดคุยกับ อิมเมจ-สุธิตา ชนะชัยสุวรรณ นักร้องสาวร่างเล็ก หรือที่หลายคนเรียกเธอว่า ‘อิมเมจ The Voice’ ที่ไม่บ่อยนักกับการพูดคุยเรื่องความสวยความงาม และมากกว่าของบิวตี้ชิ้นแรกที่เธอเล่าให้ฟังแล้ว อิมเมจยังแชร์เรื่องความงามหลากหลายแง่มุมให้ฟังแบบหมดเปลือก การเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อความมั่นใจ ไปจนถึงเรื่องราวของผู้หญิงที่เธอออกตัวแรงว่ามากกว่าชอบ ถึงขั้นว่าถ้าทำแบรนด์บิวตี้จะตั้งชื่อแบรนด์จากวันเกิดของเธอคนนั้น
ลิปส์ : จำได้ไหมว่า ของบิวตี้ชิ้นแรกที่หยิบมาใช้คืออะไร
อิมเมจ : ชิ้นแรกที่แตะเหรอ น่าจะเป็นลิปสติกของแม่ แต่จำยี่ห้อไม่ได้ เป็นลิปกลอสสีชมพู ประสบการณ์แรกครั้งนั้นไม่ได้เอามาทานะ เอามาดม กลิ่นมันหอมมาก อิมไม่ได้ทาหรอก แต่ก็ยึดของแม่มาเลย กลิ่นมันคล้ายๆ Mango นิดๆ ดู Tropical
ลิปส์ : วัยรุ่นกับเครื่องสำอาง
อิมเมจ : แก๊งอิมจะค่อนข้างเรียบร้อย ไม่แต่งหน้าไปเรียน ไม่มีเลย จะมีก็แค่ทาครีมกันแดด หรือทาลิปมัน มาเริ่มแต่งหน้าจริงจังครั้งแรกก็ตอนเริ่มทำงานแล้ว ประมาณอายุ 16 ก็ทาแค่ลิป เพราะมันง่ายที่สุด และมันจำเป็น เพราะบางทีเราปากซีด มันทำให้ดูป่วย
ลิปส์ : พัฒนาการเรื่องการแต่งหน้า
อิมเมจ : เราได้เจอช่างแต่งหน้าบ่อยๆ เราเก็บเล็กเก็บน้อยจากเขานี่แหละ คอยถามเขารองพื้นตัวไหนดี เรารู้จักเครื่องสำอางชิ้นอื่นๆ มันมีไพรเมอร์นะ เราหนังตามันมาก กรีดอายไลเนอร์ไม่ได้ มันจะกลายเป็นแพนด้า มันเหมือนแต่งสโมกกี้อาย ได้ความรู้จากพี่ๆ ช่างแต่งหน้านี่แหละ จากลิปก็ไปที่คอนซีลเลอร์ เพราะเราเริ่มเป็นสิว ตอนอายุ 18 เพื่อนซื้อคอนซีลเลอร์ให้เป็นของขวัญวันเกิด จากนั้นก็ใช้แต่คอนซีลเลอร์มาเรื่อยๆ แล้วก็ทาแป้ง translucent ตอนแรกก็แต่งแค่นั้นค่ะ โชคดีที่เป็นคนที่พอจะมีคิ้ว ก็เลยไม่ซีเรียสเรื่องการเขียนคิ้ว ถ้าเราเขียนจะเยอะไปจนเหมือนชินจัง
ลิปส์ : เรียนรู้วิธีการแต่งหน้าจากอะไรอีกบ้าง
อิมเมจ : เรียกว่าดูไปเรื่อยค่ะ ชอบอ่านรีวิว แต่เราไม่ได้แต่งหน้าเยอะ มันเลยไม่ต้องใช้เทคนิคมาก ก็จะชอบดูพวกแต่งหน้ายังไงให้เหมือนไม่แต่ง ง่ายๆ เลยก็คือทุกอย่างบาง เบา รองพื้นไม่หนา ยกเว้นช่วงที่เป็นสิวก็จะหนาหน่อย ทาปากสีอ่อน ปัดแก้มนิดเดียว ไม่แต่งตา สิ่งสำคัญที่ทำให้รู้สึกว่าแต่งตาเยอะสำหรับอิม คือสีปากกับสีตา ถ้ามีอายแชโดว์หรือสีปากเข้มปุ๊บ มันคือดูชัดว่าแต่งหน้าเลย
ลิปส์ : เมคอัพชิ้นที่ขาดไม่ได้
อิมเมจ : ครีมกันแดดกับลิปสติกค่ะ และก็ลิปมัน เพราะอิมชอบลิปแมตต์ แต่ปากแห้งก็ต้องมีลิปมันบำรุงด้วย สีลิปที่มีก็ประมาณสีนู้ด สีที่ออกชมพูขึ้นมากหน่อย ส่วนใหญ่ใช้จนหมดนะ ยกเว้นรองพื้นจะหมดยากหน่อย ส่วนลิปช่วงหลังๆ เรื่มขยายวงสี สีส้มอิฐกำลังมาก็ซื้อ แต่ก็กลับไปสีนู้ดเหมือนเดิม ตอนนี้มีลิปอยู่ทั้งหมด 3 แท่ง ถ้ารวมลิปมันก็ 4 แท่ง
ลิปส์ : ไม่อยากลองทาสีแปลกๆ บ้างเหรอ
อิมเมจ : อิมเคยทาสีแดงนะ แต่รู้สึกว่า โห… มันดูตรุษจีนมาก เออ อาจจะยังไม่ถึงเวลที่เราจะข้ามไปสีแดง เราก็ทาแต่สีเดิมเลย พอเราเจออะไรที่ชอบแล้วมันก็ไม่ได้ไปสรรหาอะไรใหม่ๆ ถ้าซื้อสีอื่นมาแล้วมันไม่ได้ล่ะ
ลิปส์ : ได้ยินมาว่า ‘ไล้ดั้งได้แล้ว’ คือทักษะการแต่งหน้าที่ภูมิใจ
อิมเมจ : ใช่ อันนี้ภูมิใจมาก อิมไล้ดั้งได้ด้วยดินสอเขียนคิ้วค่ะ มันมาจากเพราะคิ้วเราไม่ต้องเขียนมาก ดินสอเขียนคิ้วก็หมดช้า ซึ่งดินสอเขียนคิ้วของเราสีดำนะ ก็ใช้ดินสอเขียนคิ้วนี่แหละไล้ดั้งทุกเวลาที่แต่งหน้า จริงๆ เราซื้อคอนทัวร์มาเยอะ แต่ไม่เคยหมดเลย คอนทัวร์มันสีน้ำตาลใช่ไหมคะ อิมว่ามันดูรู้ว่าเราไล้ดั้งมา แต่พอใช้ดินสอเขียนคิ้วแล้วค่อยๆ เบลนด์ไปเรื่อยๆ มันจะดูเป็นแสงและเงาที่ดูเป็นธรรมชาติกว่า
ลิปส์ : เล่าให้คนอื่นฟังไหม ไม่มีใครว่าใช้ผิดวิธีบ้างเหรอ
อิมเมจ : ไม่มีใครว่าเลย เพราะการแต่งหน้ามันแล้วแต่คน มันเหมือนเป็นศิลปะ เราว่าทางนี้มันได้สำหรับเรา มันเปิดกว้างมาก แต่ละคนจะมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ไม่เหมือนกัน เวลาเราดูบิวตี้บล็อกเกอร์บางคนมีเทคนิดนี้ แต่เราอาจจะไม่เข้ากับเทคนิคนี้ แต่ไปดูอีกคนแล้วเข้ากว่า แต่ไม่ได้แปลว่าเขาแต่งไม่สวย เขาแต่งสวยหมดแต่มันแค่ไม่เข้ากับเรา
ลิปส์ : การรดูแลตัวเองด้านอื่นๆ เป็นอย่างไร
อิมเมจ : เคยมีช่วงหนึ่งทาครีมประมาณ 8 ขั้นตอน ล้างหน้า โทนเนอร์ ยาลดรอยแผลเป็น เซรั่มแบบบาง มีครีมช่วยเรื่องสิว อืม..ไม่ถึงนะ แต่วันไหนแต้มสิวด้วยก็จะทามอยเจอไรเซอร์ ก็ 7 ขั้นตอน (ยิ้ม) ตอนนั้นรู้สึกเหนื่อย บางครั้งเหมือนเยอะไปก็ไม่ดี ทำไปแล้วสิวกลับเห่อขึ้นมา นี่คือตอนกลางคืนนะคะ แต่ตอนกลางวันจะมีแค่โทนเนอร์ เซรั่ม และครีมกันแดด ไม่ทาครีมกันแดดไม่ได้ เราเคยเห็นรูปฝรั่งที่ขับรถบรรทุกหน้าฝั่งหนึ่งเขาโดนแดด อีกฝั่งไม่โดน แล้วหน้าเขาเหี่ยวข้างเดียว เราเลยรู้สึกว่าครีมกันแดดสำคัญ ต้องทาทุกวัน อยู่บ้านก็ทา เพราะแสงมันเข้ามาได้ หรือเล่นคอมฯ เปิดไฟอ่านหนังสือ แสงจากมือถือเกี่ยวหมด นอกจากนี้ขั้นตอนทำความสะอาดคือสำคัญมาก เพราะเป็นคนที่มีสิวง่าย ถ้าล้างทำความสะอาดไม่หมด วันรุ่งขึ้นสิวก็ขึ้นเลย
ลิปส์ : ถ้าเป็นเจ้าของแบรนด์บิวตี้ได้ สิ่งนั้นคือ
อิมเมจ : ตอบว่าน้ำหอมได้ไหม คืออิมหาน้ำหอมที่ถูกใจยาก แต่ตอนนี้หาเจอแล้วนะ 2-3 กลิ่นเลย อิมชอบกลิ่นวานิลลา แต่แค่ปลายๆ พอ หลักๆ ชอบกลิ่นแนวผลไม้ ชอบแอปเปิ้ล กว่าจะพลิกแผ่นดินหาเจอ กว่าจะได้ที่ลงตัวมันยากนะ (ชอบน้ำหอม?) ชอบๆ บางทีอยู่บ้านเราก็ฉีด เพราะเราชอบดม เมื่อก่อนไม่ใช่ค่ะ แต่พอเจอกลื่นที่ชอบ มันคือมิติใหม่ ไม่ต้องมานั่งดมลิปแล้ว ทุกวันนี้ต้องฉีดก่อนออกจากบ้าน ถ้ามีแบรนด์ของตัวเองก็ต้องน้ำหอมค่ะ ชื่อ ’Thirteen’ อิมชอบเลข 13 เพราะว่าเป็นวันเกิดของ Taylor Swift อย่าเรียกว่าชอบเลย เรียกว่าถวายชีวิตให้เลยช่วงนึง ตอนแรกชอบเพราะเขาสวย ร้องเพลงเพราะ พอเริ่มถลำลึกจนรู้จักชื่อพ่อแม่ บ้านเกิดที่ไหน ย้ายไปอยู่ไหนอะไรยังไง รู้หมดเลย ก็เลยชอบเลขวันเกิดเขาด้วย ชอบตัวตนเขาด้วย
ลิปส์ : ทุกวันนี้เรื่องความสวยที่ไม่มั่นใจคืออะไร
อิมเมจ : นอกจากเรื่องสิว คือเรื่องผม ผมอิมเส้นเล็กและตรงมาก มันไม่มีวอลลุ่ม เราจะสรรหาแชมพูต่างๆ ที่เขาเคลมว่าใช้แล้วเพิ่มวอลลุ่ม แต่มันก็ไม่ช่วยเท่าไหร่ เราจะใช้วิธีการเป่าแบบก้มหัวแล้วเป่าไล่ให้ผมมันฟูขึ้นมาอีกนิดนึง
ลิปส์ : ความไม่มั่นใจในวัยเด็ก
อิมเมจ : ตอนเด็กตาตี่มากค่ะ
ลิปส์ : แว่นไม่ช่วยอำพรางเหรอ
อิมเมจ : ไม่ชอบใส่แว่นด้วย เพราะเราต้องคอยจับแว่นตลอด รู้สึกเสียบุคลิก ก็เริ่มใส่คอนแทคเลนส์ ทำเลสิคแล้วก็ไปทำตาสองชั้น คือพอใส่คอนแทคเลนส์มันมีปัญหาเรื่องตาแห้ง ปัญหาใหญ่ที่สุดคือถอดคอนแทคไม่ออก เพราะตาแห้งมาก กลัวตาบอด ก็ต้องคอยพกน้ำยาหยอดตา คอยหยอดตาทั้งวัน และเราไม่ได้เป็นคนมีวินัยขนาดนั้น เลยกลายเป็นปัญหาแก้ไม่ตก พอมีโอกาสก็เลยทำเลสิค ตอนที่สายตาเรานิ่งแล้วก็ทำเลย โห! เหมือนได้โลกใบใหม่ ตื่นมาแล้วมัน Full HD ชีวิตดีขึ้นจริงๆ
ลิปส์ : แต่คนติดลุคของ ‘อิมเมจสาวแว่น’ พอไม่ใส่แว่นเสียความมั่นใจไหม
อิมเมจ : ก็ชอบมีคนถามว่าแว่นอยู่ไหน ช่วงแรกๆ มีแฮชแท็กด้วย ทวงคืนแว่นให้อิม (ยิ้ม) คือส่วนตัวแล้วเวลาไม่ใส่แว่นมันคล่องตัวกว่า เรารู้สึกบุคลิกดีขึ้น แต่ช่วงแรกเราติดนิสัยคอยจับแว่น ซึ่งมันไม่มีแว่นแล้วนี่นา พอเลิกทำแบบนั้นได้ เรารู้สึกว่าบุคลิกมันดีขึ้น เราไม่ต้องมากังวลเกี่ยวกับตา มั่นใจมากขึ้น การที่คนชอบให้เราใส่แว่นมากกว่า หรือชอบแบบไม่ใส่แว่น มันเป็นเรื่องความเห็นของเขา แต่บางครั้งก็อยากให้เขาเข้าใจว่านี่คือ The new normal ของเราแล้วนะ เรามั่นใจแบบนี้มากกว่า
ลิปส์ : จากเลสิคสู่การทำตาสองชั้น
อิมเมจ : เริ่มจากเราติดสติกเกอร์เวลาแต่งหน้าตลอด แล้วมันไม่สะดวกหลายอย่าง เพราะเปลือกตาเรามัน สติกเกอร์หลุด พอหลุดก็ต้องแต่งตาใหม่ แต่งใหม่แล้วสีมันก็โดดไป จนวันหนึ่งเรารู้สึกว่าช่วงเวลามันเหมาะสมแล้ว ก็หาข้อมูล สไตล์ไหนดี คุณหมอคนไหนดี ก็ไปทำเลย
ลิปส์ : ตอนนี้พอใจกับตัวเองหรือยัง
อิมเมจ : พอใจที่สุดเลย
ลิปส์ : ถ้าถามว่าชอบส่วนไหนที่สุดของร่างกายคืออะไร
อิมเมจ : ชอบมือ เพราะมีคนชมว่ามือสวย นิ้วยาว
ลิปส์ : ส่วนที่ยังไม่มั่นใจในตอนนี้
อิมเมจ : ขาได้มั้ย (ยิ้ม) คือเรารู้สึกว่าเตี้ยด้วย ขาต้องไซส์เล็กหุ่นจะได้ดูโปร่ง มันอาจจะสวยกว่า
ลิปส์ : สร้างความมั่นใจให้ตัวเองอย่างไร ยิ่งเวลาขึ้นคอนเสิร์ต
อิมเมจ : อิมแทบไม่ใส่ขาสั้น ไม่ใส่เสื้อผ้ารัดรูป ไม่ใส่กางเกงขาเดป ถ้าใส่ก็กางเกงขาบานไปเลย เราจะได้ไม่ต้องกังวลว่ามุมนี้ถ้าเขาถ่ายรูปไปแล้วขาใหญ่หรือเปล่า ก็ใส่กางเกงขากว้างไปเลยสบายกว่าด้วย
ลิปส์ : มาตรฐานความสวยแบบอิมเมจคืออะไร
อิมเมจ : อิมชอบดูรูปนางแบบ หรือดาราผู้หญิง หรือคนที่สวยๆ บางคนถ้ามาเจาะดูแต่ละส่วน บางคนอาจจะเห็น่าตาตี่จังเลย ตาตี่เหมือนเราเลย แต่รวมกันแล้วสวย อิมเลยได้ข้อสรุปว่าความสวยมันไม่มีมาตรฐาน มันคือส่วนผสมที่ลงตัว และมันขึ้นกับมุมมองของแต่ละคนด้วย อิมอาจจะสวยสำหรับบางคน แต่อาจไม่ใช่สเปคสำหรับบางคนก็มองว่าอิมไม่สวย แต่ไม่ได้แปลว่าเราสวยน้อยลงหรือเราสวยมากขึ้นในทางใดทางหนึ่ง
┃Photography : SOMKIAT K.