ถ้าหากย้อนไทม์ไลน์ไปสักเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว เรายังจำวันที่พบกันกรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา ครั้งแรกได้ดี ครั้งนั้นเขามานั่งรอเพื่อนที่กำลังมาถ่ายคอลัมน์รวม 50 หนุ่มโสดในฝันอะไรประมาณนั้น แน่นอนว่า หนุ่มหน้าตาหล่อเหลาแถมยังโพรไฟล์ดีขนาดนี้มาเยือนถึงถิ่น มีหรือเราจะไม่จีบมาร่วมเป็นหนึ่งในหนุ่มโสดชวนฝัน แต่วันนั้นกรรณปฏิเสธอย่างนุ่มนวลจนเราแปะป้ายให้เขาไปเรียบร้อยแล้วว่า เขาคงเป็นหนุ่ม “โลกส่วนตัวสูง” คนหนึ่ง
จนกระทั่งได้ดูไดอารี่ ตุ๊ดซี่ส์ เดอะ ซีรีส์ และได้เห็นเขาเป็นหนึ่งในแคสต์ แถมยังรับบทบาทที่สุ่มเสี่ยงต่อการโดนแปะป้ายว่า “เป็น” หรือ “ไม่เป็น” กันแน่ นั่นยิ่งทำให้เรานึกอยากทำความรู้จักตัวตนของเขาให้ลึกยิ่งกว่าบทบาทบนหน้าจอ แต่โชคดีมีน้อยไปนิดที่หลังจากบทบาทที่ส่งให้เขาขึ้นแท่นสามีแห่งชาติทำให้เราไม่เคยได้นั่งคุยกับเขาได้นานสมใจเสียที จนกระทั่งถึงวันนี้ที่เขามานั่งยิ้มหวานอยู่ตรงข้ามเราบนโซฟาหลุยส์ผ้าแจ๊กการ์ดในร้าน Flamenco บทสนทนาอย่างจริงจังของเรากับเขาจึงได้เริ่มขึ้น…
เพิ่งได้คุยกันยาวๆ ครั้งแรกทั้งทีเราจึงขอให้เขาพาเรานั่งไทม์แมชชีนไปสู่วัยเด็กของเขาสักหน่อย กรรณนึกทบทวนไม่นานก็รำลึกถึงความหลังให้เราฟังอย่างไม่มีกั๊ก
“คุณพ่อคุณแม่ส่งผมไปเรียนที่ออสเตรเลีย ตอนผมอายุประมาณ 11 ขวบ ใจจริงตอนนั้นผมไม่อยากไป รู้สึกไม่กล้า แล้วเขาก็แค่บอกว่าไปเรียนภาษา แล้วเราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย อยู่ดีๆ ส่งไปเรียนออสเตรเลีย สำหรับเรามันดูยิ่งใหญ่ไปมาก ก็เลยไม่กล้า กลัวแหละเอาง่ายๆครับ ผม แต่ว่าสุดท้ายก็ไป อยู่จนถึงอายุ 16 ปีก็กลับ เพราะช่วงหลังๆ ผมเริ่มไม่กลับเมืองไทยแล้ว พ่อแม่เลยคิดถึง
…ตอนนั้นเด็กมาก แต่เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ได้ง่ายในการใช้ชีวิต และเราต้องทำงานหาเงิน ยิ่งเราเห็นพี่ๆ ที่เป็นคนไทย ที่เขามาทำงานในร้าน แล้วเขาต้องเข้าตั้งแต่สี่โมงเย็น เสร็จงานห้าทุ่ม เที่ยงคืนทุกวัน แล้วกลางวันไปเรียนหนังสืออีก ชีวิตมันไม่ง่ายน่ะครับ แล้วมันก็เหนื่อยด้วย ตอนนั้นผมเห็นว่า ทุกคนมีความฝัน แล้วก็มีเป้าหมายด้วยมั้ง ก็เลยรู้สึกว่า ดีจังที่เขาทำงานตรงนี้เพื่อแลกกับอะไรสักอย่างที่อยากทำ มันก็เลยดูมีคุณค่า”
“ผมยังไม่รู้ว่าเริ่มชอบอะไร ผมรู้อยู่อย่างเดียวว่า ผมวาดรูปโอเค ผมก็เลยชอบศิลปะและที่นั่นเขาเปิดกว้างมากกับการเรียนศิลปะ อยากทำอะไรก็ทำ ตอนนั้นผมมีความสุขมาก”
แต่ด้วยความคิดถึงของครอบครัวดึงให้เขากลับมาใช้ชีวิตในเมืองไทย เข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติแถวหน้า และกลายเป็นเด็กตั้งใจเรียนเพื่อค้นหาเส้นทางของตัวเองอย่างแน่วแน่
พอกลับมาเมืองไทยสงสัยได้เป็น “เซเล็บ” ก่อนอย่างอื่น เราแซว กรรณส่ายหน้า พร้อมเล่าต่อไปว่า ตอนนั้นใครให้ทำอะไรเขาลองทำทุกอย่างสุดท้ายก็มารู้ว่า ไม่ใช่สิ่งที่อยากทำเลยแม้แต่น้อย
“มันคือช่วงที่ผมเริ่มคุยกับตัวเองจริงๆ เริ่มมองหน้าตัวเองในกระจก แล้วก็ถามว่า “เฮ้ย! อยากทำอะไรเหรอ ชอบหรือเปล่าที่ทำไปน่ะ หรือว่าแค่ เออออไปเฉยๆ” นั่นล่ะครับ คือ ช่วงที่ผมรู้สึกว่า เราควรจะไปค้นหาตัวเองให้เจอก่อน ควรจะทำอะไรที่เราอยากทำ และเราจะได้รู้ว่า ก้าวต่อไปข้างหน้าเราจะทำอะไร”
แต่สุดท้ายก็ดูเหมือนว่า จะหนีสปอตไลต์ไม่พ้นเมื่อเขาเริ่มเล่นละครเรื่องรัตนาวดี ต่อด้วยซีรีส์ ไดอารี่ ตุ๊ดซี่ ที่ทำให้เขาโด่งดังเป็นพลุแตก
“มันเริ่มมาจากตอนที่ผมเรียนอยู่ที่ศิลปากร คณะมัลติฯ ส่วนมากพวกรุ่นพี่ผมพอจบไปเป็นผู้กำกับฯ ผู้ช่วยผู้กำกับ ภาพยนตร์ โฆษณา วนล้อมอยู่ตรงนี้ แล้วพอดีรุ่นพี่ผมขาดคนที่จะไปเล่นเอ็มวี เขาก็เลยชวนรุ่นน้องให้ไปช่วยหน่อยนะ ผมก็เป็นรุ่นน้องที่ได้โชคตรงนั้นครับ ช่วงนั้นผมเริ่มโตแล้ว ไม่อยากขอเงินที่บ้านแล้ว ผมคงโชคดีตรงที่ตอนที่ผมไปช่วยรุ่นพี่เล่นเอ็มวี ผมดันโอเคกับการแสดง รู้สึกว่ามันสนุกดีและท้าทายดี แต่ว่าที่จริงผมเป็นคนไม่ค่อยกล้าแสดงออกนะ ขี้เขินน่ะ”
กรรณย้ำหลายครั้งว่า ความสำเร็จจากบทบาทนั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะ “ดวง” แต่ส่วนใหญ่ๆ คือ ทีมงานทุกคนที่ให้โอกาสเขา หลังจากนั้นชีวิตของเขาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไปไหนใครๆ ก็อยากใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาทีเพื่อถ่ายเซลฟี่กับเขา ซึ่งมันคงจะขัดกับตัวตนของหนุ่มขี้อายอย่างเขามากทีเดียว แต่เขาก็เข้าใจดีว่า
“มันคือสิ่งที่ต้องแลกมากกับหน้าที่การงานตรงนี้ อาชีพนี้ ซึ่งผมว่า สมัยนี้มันยิ่งชัดเจนกับการเราทำอะไรแล้วออกไปแล้วมันง่ายมากที่คนจะบอกว่า ดีหรือไม่ดี ชอบหรือไม่ชอบ ทุกคนเห็นงานเราเร็ว แล้วเขาก็ฟี้ดแบ็คมาได้ทันที
…แต่ผมก็ยังขี้เขินอยู่จนถึงทุกวันนี้นะ แต่ผมรู้สึกว่า ถ้าเราเปลี่ยนพลังตรงนั้นให้กลายเป็นแค่ เหมือนเรามาให้กำลังใจ หรือเรามาแชร์ความสุขน่ะ มันจะช่วยทำให้ผมรู้สึกว่า ผมอยากจะโบกมือบ๊ายบาย อยากจะยิ้ม อยากจะทำให้ อย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงที่เราไปงาน หรือจะเป็นแค่ชั่วโมงเดียว อย่างน้อยเราก็ได้ให้ความสุขคนอื่น อาจจะดูเชย ฟังดู cliche มากนะ แต่ผมว่า ถ้าลองคิดแบบนั้น มันช่วยได้นะ
มันคือการให้มากกว่าน่ะ”
อาจจะเป็นเพราะเขาทำงานเบื้องหลังเป็นผู้กำกับฯ ในบริษัทโปรดักชั่นเฮ้าส์ที่เขาก่อตั้งร่วมกับเพื่อนด้วย ทำให้เขามองอะไรได้รอบด้าน และใส่ใจคนอื่นเสมอ
“ก่อนจะมาเป็นผู้กำกับฯ ผมเริ่มจากงานแบบเป็นคนหยุดรถ โบกรถเวลาถ่ายทำกลางถนน ไปจนถึงงานพิธีการแบบทำพิธีไหว้เจ้าที่ก่อนถ่ายทำ ผมรู้สึกว่า ตัวเองโชคดีมากที่เรียนเบื้องหลังมาแล้วเริ่มทำงานในวงการบันเทิง พอได้ทำแล้วก็พอที่จะรู้ว่า งานเบื้องหลังมันไม่ง่าย และเหนื่อยขนาดไหน แล้วการที่เราจะมามัวเอาแต่ใจ หรือเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่มันไม่ใช่แล้วไง
…ทุกๆ คนเขาก็เหนื่อยเหมือนกัน แค่เหนื่อยคนละแบบ เวลากำกับ เราเหนื่อยตรงที่เราต้องคิด และแก้ไขปัญหาทุกๆ ปัญหาที่เข้ามา เหมือนเป็น conductor ในวงออเคสตร้าที่คอยดูแลทุก แต่ถ้าเป็นผู้ช่วย มันก็จะเหนื่อยในการที่เราต้องวิ่งเหมือนเป็นโทรโข่งของผู้กำกับน่ะครับ เป็นโปรดิวเซอร์ก็เหนื่อยในการที่เราจะต้องดีลกับคน เป็นนักแสดงเหนื่อยน้อยที่สุดแล้ว อาจจะเหนื่อยข้างในเวลาใช้อินเนอร์เยอะๆ เพราะฉะนั้นเราจะมาเอาแต่ใจไม่ได้ ถ้าให้ผมทำอะไรผมทำ ผมจะต้องทำให้เสร็จ และทำให้ดีแค่นั้นพอแล้ว”
ย้อนไปถึงบทบาทที่ทำให้เขากลายเป็นคนเบื้องหน้าเต็มตัว เขาบอกว่า กลัวว่า บทนั้นจะกลายเป็นภาพจำติดตาผู้ชม จนถึงวันนี้กรรณยอมรับว่า อาจจะมีบางคนที่จำเขาได้จากตัวละครนั้น แต่เขาก็เชื่อว่า คนดูสมัยนี้แยกแยะได้ และบทบาทนั้นยังทำให้เขาเข้าใจความรักมากขึ้น
“ผมรู้สึกว่าความรักมีหลายรูปแบบบางทีเรารักใครบางคนมากๆ มันไม่ได้แปลว่าเราต้องเป็นแฟนกันด้วยนะ”
…ผมรักเพื่อนผมมากๆ
ผมไม่ได้จำเป็นจะต้องเป็นอะไรกัน
คนที่เป็นแฟนผมผมก็รักแฟนผม
ผมว่า ความรักมีหลาย
รูปแบบ
มันคือทัศนคติวิธีคิดแล้วว่า
คุณแฮปปี้กับความรักเป็นแบบไหน
…อย่าง modern family ครอบครัวแบบ LGBTQ ผมก็เชื่อนะว่าเป็นครอบครัวได้จริง และผมรู้สึกว่า หลายคนเลือกที่จะเป็น modern family แบบนั้นเขาก็แฮปปี้แบบนั้น บางคนเป็น family แบบอยู่คนเดียวก็แฮปปี้ได้ เหมือนครอบครัว บางคนก็เชื่อแบบนั้น ผมว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ถ้าคุณต้องการสร้างครอบครัว และทำให้ครอบครัวนั้นมีความสุข เป็นคนดีแค่นั้นก็พอแล้ว”
แล้วครอบครัวในอนาคตของกรรณล่ะมองไว้ว่า เป็นแบบไหน เขาตอบทันทีว่า
“ยังไม่ได้คิดเลย ผมไม่รู้เหมือนกันว่า วัยไหนผมถึงจะเริ่มคิดเรื่องนั้น ยังมีหลายอย่างที่ผมยังไม่ได้ทำ หรือผมยังหาไม่เจอ ผมจึงยังไม่ได้พร้อมที่จะดูแลใคร แล้วก็ไม่ได้พร้อมที่จะต้องเริ่มครอบครัวกับใคร ตอนนี้ผมยังดูแลแม่กับน้องผมยังไม่ค่อยดีเลยครับ”
อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ในลิปส์ฉบับพฤศจิกายน 2562