จากเด็กที่เคยฝันอยากรับราชการ ก่อนจะโตมาเป็นครูสอนดนตรี วันนี้ แจม – รชตะ หัมพานนท์ กลับเป็นที่รู้จักจากงานแสดง ผลลัพธ์ที่เกิดจากการเริ่ม ล้มและลุกขึ้นใหม่นับครั้งไม่ถ้วน
ศีรษะพิงพนักโซฟา แจมลืมตาขึ้นช้า ๆ รับรู้ถึงดวงไฟ ผนังห้อง และพื้นกระเบื้องใต้ฝ่าเท้า หลังจากงานแสดงในบท ‘จิว’ จากละครฮิตส่งท้ายปี 2022 เรื่องคุณชายออกอากาศได้ไม่ทันไร ตารางงานของแจมก็มีหน้าตาคล้ายสภาพการจราจรแน่นขนัดบนถนนอโศก ที่ตั้งของตึกแกรมมีที่ตัวเขานั่งอยู่ภายในเวลานี้
“งานเยอะขึ้นมากตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ผมเซ็นต์สัญญาเป็นนักแสดงในสังกัดเมื่อ 3 ปีก่อน และทำงานแสดงมาเรื่อย ๆ แต่กระแสเริ่มมาตอนเล่นละครเรื่องเวลากามเทพ ที่เล่นเป็นศรุตที่ในทวิตเตอร์เรียกว่า ‘บอดี้การ์ดที่อุ่นกว่าเตาไมโครเวฟ’ ก็คือเป็นเตาปฏิกรณ์ (หัวเราะ) พอเริ่มมีคนรู้จักก็เริ่มมี(แฟน)ด้อม แล้วพอเล่นละครเรื่องคุณชาย รับบทเป็นจิว…” แจมเว้นระยะพักสูดหายใจ
“แล้วผมก็ไม่ได้หยุดทำงานเลยสักวัน”
บางวันแจมวิ่งรอกไปทำงาน 3 แห่ง ไล่อ่านคอมเมนต์แฟน ๆ ที่มาจากทั้งไทย จีน กัมพูชา และอีกหลายประเทศ ในใจไม่เคยคิดว่าเหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งของอาชีพนักแสดง “ละครเรื่องคุณชายถ่ายทำจบแล้วค่อยออนแอร์ ระหว่างถ่ายทำอยู่ผมไม่ได้คิดเลยว่าจะมีกระแสดีขนาดนี้” แจมเน้นเสียงคำว่า ‘ไม่ได้คิด’ “ตอนนั้นเราตั้งใจทำงานของเราไป แต่แอบคาดหวังว่าคนดูจะชอบ เพราะบทดี อ่านแล้ววางไม่ลง เราอ่านเองเล่นเองยังสนุก คนดูน่าจะชอบ แต่ไม่ได้คิดเรื่องกระแสตัวเรา เรื่องจะดังหรือไม่ดัง ผมไม่กล้าคิด กลัวผิดหวัง เราอยู่ในอาชีพนี้แล้ว ถ้าจะไปคิดเรื่องดังไม่ดังทุกเรื่องคงไม่ไหว คงเป็นประสาทตาย เหมือนเรามองแต่ปลายทางว่าจะดังหรือไม่ดัง แล้วเวลาทำงานก็จะดูพยายามจังเลย แต่เราคิดแค่ว่าจะทำให้ออกมาดี ๆ แค่นั้นเลย” แจมเท้าความถึงยุคก่อนจิวที่ชีวิตเขาไม่มีอะไรเหมือนตอนนี้
อาชีพนักแสดงของชายหนุ่ม
“พอมาเป็นนักแสดงแล้วก็ได้คิดว่า เราใช้ชีวิตของเรา เป็นเราแบบนี้ดีที่สุดแล้ว ชีวิตตัวละครมีแต่เรื่อง (หัวเราะ) ดราม่ามาเต็ม ตัวละครที่ผมแสดงนี่ดิ่ง ๆ ทั้งนั้นเลย อย่างในเรื่องคุณชาย พี่ฟิล์ม (ธนภัทร กาวิละ) เป็นตัวแบกหลัก ๆ ของละครทั้งเรื่อง เราเพียงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเส้นเรื่องของเขา ไม่ได้เป็นตัวหลัก” แจมกล่าวถ่อมตน แต่เมื่อเจอคำถามว่าแล้วพร้อมจะเป็นตัวแบกละครทั้งเรื่องหรือยัง เขาตอบฉะฉานทันทีว่า “พร้อมสิครับ จริง ๆ ก็พร้อมมานานแล้ว มันคืออาชีพเรา ต้องพร้อมรับทุกอย่าง แต่ …”
ว่ากันว่าประโยคที่ตามมาหลังคำว่าแต่ คือ สิ่งที่อยากจะพูดจริง ๆ “… แต่นักแสดงมีปัจจัยอื่นเยอะครับ เรื่องความพยายามเราต้องทำเต็มร้อยอยู่แล้ว แต่จังหวะที่เราจะเปรี้ยงจะมาวันไหน หรือไม่มาเลย หรืออาจจะมาเร็วและไปเร็วมาก เราอาจจะตั้งใจทำงานมาก อยากไปทางนี้ แต่อาจมีปัจจัยให้เราเบนไปอีกทาง หรืออาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยก็ได้ นักแสดงเก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องเฮงด้วย”
แค่โชคอย่างเดียวอาจไม่พอ
จังหวะเฮงของแจมมาเร็วหรือช้า “เอาจริงก็ช้านะ ผมอายุจะ 28 แล้ว แต่ผมทำงานมานานตั้งแต่ช่วง ม.ปลาย ผมเรียนไปด้วย และทำงานไปด้วย ค่าหอทางบ้านจัดการ แต่บางครั้งค่ากินอยู่เราเกินกว่านั้น สมัยผมเป็นครูฝึกสอน ตอนเรียนปี 5 ผมไปสอนที่หนองบัวลำภู ค่ากินอยู่บางเดือนก็ 3,000 บางทีผมก็ต้องใช้เงินพันเดียวให้พอทั้งเดือน ผมก็ไปจีบแม่ ๆ ที่โรงอาหาร ห้องดนตรีที่เป็นห้องสอนผมอยู่หน้าโรงอาหารพอดี แม่จะเห็นผมตลอด ผมก็จะขอข้าวแม่เยอะหน่อย กินมื้อเช้ากับมื้อเที่ยง 20 บาท กินมื้อละ 10 บาท ข้าวโรงเรียนขายเด็กก็ราคานี้ได้” เรามองแขนที่ใหญ่เท่าขาของแจมแล้วนึกสงสัยว่า สมัยที่เขากินข้าววันละเท่านั้นจะเป็นเช่นไร
ขึ้นชื่อว่า…ครูแจม
“เราทำงานสอนเยอะ สนุกกับการสอน แต่ก็เครียดว่าต้องประหยัดเงิน อะไรหมดก็ได้ ขออย่างเดียว อย่าให้น้ำมันหมด เพราะต่างจังหวัดไม่มีรถสาธารณะ จะไปไหนก็ต้องมีรถมอเตอร์ไซค์ เราจะเติมน้ำมันรถไว้ 100 นึง เอาไว้ขับไปไหนมาไหนแล้วรับกลับหอ ถ้าหิวก็กินขนมปัง แต่สอนหนัก ลืมกินข้าว และที่สำคัญผมชอบงานสอนมาก เคยเป็นครูสอนดนตรีสากลที่โรงเรียนหนองพิทยาคาร โรงเรียนประจำจังหวัดหนองบัวลำภู สอนนักเรียน ม. 2 และ ม.3 พอเรามาเป็นนักแสดง ลูกศิษย์ก็เข้ามาเต็มเฟซบุ๊กเลย” เขายิ้มให้กับความหลังที่ขมขื่นระคนชื่นมื่น อยากกลับไปสอนหรือเป็นครูอีกไหม เราถามครูแจม “จริง ๆ ก็ทำตลอด ถ้ามีน้องมาปรึกษาเราก็ถ่ายทอดไปเท่าที่จะบอกได้ เราไม่ต้องประกอบอาชีพเป็นครู แต่เรามีความเป็นครูได้ มีหลายคนที่เป็นครูโดยไม่รู้ตัวก็มี เขาถ่ายทอดในสิ่งที่เขารู้ให้คนอื่น นั่นก็คือครูแล้ว”
ทำไมเลือกคณะครุศาสตร์ สาขาศิลปศึกษาแขนงดนตรี เอกกีตาร์ แจมตอบง่าย ๆ ว่าเพราะตอนนั้นเล่นกีตาร์อยู่พอดี “ตอนนั้นมีให้เลือก 5 อันดับ เราก็เลือกนิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผมอยากเป็นตำรวจเหมือนพ่อ เลือกครูไว้ 3 ที่ และเลือกวิศวะอีกที่ ตอนนั้นคิดหนักมากว่าจะเป็นอะไรดี” แจมบรรยายภาพชีวิตที่เขาคิดฝันไว้ซึ่งสะท้อนว่า เขาแค่อยากจะมีชีวิตสามัญแบบคนทั่วไป
“ผมคิดแค่ว่าเรียนจบก็ทำงานแถวบ้าน เป็นตำรวจหรือไม่ก็ครู เป็นข้าราชการ มีรายได้มั่นคง ที่บ้านผมเป็นข้าราชการกันหมด เราเห็นภาพแบบนั้นมาตลอด เป็นครู ตำรวจ ทหาร แต่พอยุคสมัยเปลี่ยน เราเปลี่ยนความคิด ผมก็ไม่ได้ฉีกมาก จริง ๆ แล้วพ่อผมชอบดนตรี และเรียนจบด้านดนตรีมาโดยตรง แต่ไปสอบติดตำรวจ เขาชอบเล่นกีตาร์ให้ฟัง พอผมอยู่ ม.ต้น ก็อยากเล่นกีตาร์บ้าง พ่อก็สอน พ่ออยากเป็นศิลปิน เป็นความฝันของพ่อ ที่ผมมาเป็นนักแสดงก็ถือว่าแหวกจากคนอื่น ๆ ในครอบครัวไปเยอะพอสมควร”
โอกาสแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน
“หลายคนที่บอกว่ามีโอกาสอยู่รอบ ๆ ตัว แค่ไปจับไปคว้าก็ได้มา แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้ง่ายอย่างนั้น โอกาสอยู่ที่กรุงเทพฯ หรือไม่ต้องพูดถึงกรุงเทพฯ ก็ได้ โอกาสอยู่ในตัวจังหวัด บ้านผมอยู่ห่างจากอำเภอเมือง 100 กิโลเมตร ต่างจังหวัดไม่มีรถโดยสาร เราต้องเหมารถจากบ้านเดินทางเข้าไปตัวจังหวัด ค่ารถ 300 บาทคือเงินทั้งวันที่ต้องกินทั้งบ้าน แต่ต้องเอามาเป็นค่ารถ นั่นคือหมดทั้งชีวิตแล้ว ดังนั้นถ้าจะพูดเรื่องโอกาส ก็ต้องดูปัจจัยอื่น ๆ ด้วย”
“ไม่ใช่ว่าแค่วิ่งไปหาโอกาสสิ จะวิ่งอย่างไรละ ก็ผมไม่มีเงิน ผมจะเรียกร้องอย่างไร คนก็ไม่เห็นเราอยู่แล้ว คนต่างจังหวัดจะเจอแบบนี้เยอะมาก จะมาบอกว่าสู้สิ เริ่มที่ตัวเองก่อน สู้แล้วครับ แต่ต้นทุนชีวิตเขาไม่มี แค่สถานที่เกิดที่อยู่ก็ไม่เอื้อแล้ว ผมอยากเรียนพิเศษ อยากเข้าโรงเรียนนายร้อย ค่าเรียนเท่าไรแล้ว ต้องไปอยู่หออีก ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของเราอาจจะเป็นรายได้ทั้งเดือนของทั้งครอบครัวก็ได้ ผมเลยถือว่าผมโชคดีที่โอกาสวิ่งเข้ามาหาแล้วเราวิ่งสวนไปหามันพอดี”
และโอกาส…อาจไม่ได้มีไว้สำหรับทุกคน
“อีกประเด็น คือ เรื่องสถาบันการศึกษา เวลาคนถามว่าเรียนจบจากที่ไหน บางคนคิดว่าต้องเรียนมหาวิทยาลัยดัง ๆ ทุกคนอยากจบที่ดัง ๆ ผมก็อยาก ลึก ๆ ก็อยากตอบได้ว่า อ๋อ จบจุฬาฯ จบมหิดลครับ ในความคิดเราเหมือนเป็นเหรียญประดับของชีวิต ครั้งหนึ่งที่ได้เรียนก็อยากเรียนที่ดี ๆ ผมอยากไปเรียนพิเศษ แต่ไม่มีเงินไปเรียน คนบอกว่าขอทุนสิ ทุนมาไม่ถึงเราหรอก เขาให้ทุนกี่คน แล้วส่วนมากก็ให้คนหัวดีเรียนเก่ง” แจมพูดยาวในสิ่งที่อัดอั้นในใจมานาน
“ถ้าอยู่ต่างจังหวัดทำอาชีพได้ไม่กี่อย่าง หลัก ๆ คือเป็นเกษตรกร ข้าราชการ และเปิดร้านซึ่งไม่ค่อยมีคนทำหรอก ไม่มีเงินเปิด แต่กรุงเทพฯ เดินออกไปนอกบ้านก็มีป้ายรถเมล์ เสียค่ารถ 8 บาทก็ไปสมัครงานได้แล้ว ตอนเข้ากรุงเทพฯ มาหางาน เงิน 1,000 บาทนี่ได้แค่นั่งรถมาแล้วก็กลับ ถ้านั่งรถมาแล้วไม่ได้งานก็ต้องกลับบ้านไปเลย ไม่มีเงินแล้ว ผมเจอมาแล้ว หมดตัวเลย เข้ามาสอบโทอิคโทเฟล จ่ายค่าสอบเกือบ 2,000 ภาษาอังกฤษเราก็ไม่แข็งแรง เดามั่ว แต่เราอยากเป็นข้าราชการก็ต้องทำ ผมไปติวด้วย แต่พื้นฐานเราไม่แน่น เรียนตามเพื่อนไม่ทัน ก็เสียเงินไปเป็นหมื่น ผมชอบภาษาอังกฤษนะ แต่โรงเรียนในชนบทจะเป็นอารมณ์แบบเอาครูสอนเลขมาสอนอังกฤษ สอนไม่ตรงสาย ระบบเป็นแบบนี้”
บทละครชีวิตที่ลิขิตเอง
ทำงานพิเศษ เป็นครูฝึกสอน เป็นประกวดนายแบบ เป็นตัวประกอบในกองถ่ายที่เงินวันละ 400 บาท เป็นผู้เข้าแข่งขันในรายการเกมโชว์ เหล่านี้เป็นต้นทุนในการแสดงที่ดีในวันนี้ของแจม…หรือเปล่า “อันนี้เป็นข้อเสียสำหรับผม พอเจอมาเยอะ ๆ เราจะปิดกั้นตัวเอง กลายเป็นกำแพง ซึ่งเราไม่รู้ตัวหรอก บางทีผมอยากร้องไห้ แต่ผมจะเก็บเอาไว้ข้างใน หาเหตุผลที่จะไม่ร้องไห้ แต่ในการแสดงเราต้องปล่อยอารมณ์ออกมา แรก ๆ ที่ทำงานแสดงผมเลยมีปัญหา ด้วยความที่เราเจออะไรมาเยอะ เราเลยเป็นคนแข็งแกร่งภายนอก แต่อ่อนไหวภายในโดยที่เราไม่รู้ตัว เหมือนเราต้องฮึบ ยิ้ม แล้วไปต่อ อย่างเวลาคิดถึงบ้าน เราจะฮึบแล้วทำงานต่อไป แต่ในการแสดงถ้าคิดถึงบ้านก็คิดไปเลย ร้องไห้ไปเลย การแสดงช่วยปลดล็อกจิตใจตัวเอง ทุกอย่างที่เราเคยเก็บไว้ข้างในก็ปล่อยออกมา”
มีวันนี้เพราะใคร…ผมไม่ลืม
คำว่า ‘คิดถึงบ้าน’ ทำให้แจมคิดไปถึงคนที่อยู่บ้าน ซึ่งเป็นคนที่เป็นแรงผลักดันให้เขาผ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่บอกเล่ามาได้ แม้ว่าจะไม่เคยผ่านมาได้ง่าย ๆ เลยสักครั้ง “ย่าเป็นทุก ๆ อย่างในชีวิตเลย ผมไม่เคยลืมว่าย่าสอนอะไรบ้าง ผมอาจจะไม่ได้โทรหาย่าบ่อย บางครั้งเราเครียดอยู่ก็ไม่อยากให้เขามาแบกรับอารมณ์ไปกับเรา ตอนเด็ก ๆ ผมคุยกับย่าทุกเรื่อง แต่พอโตขึ้นเราอยากให้เขาเห็นภาพที่ดี ๆ ของเรา ไม่อยากให้เห็นมุมที่เราเจอปัญหา ให้เขาเก็บความทรงจำดี ๆ ไว้ เพราะเขาอาจจะไปวันไหนก็ไม่รู้ อีกคนคือปู่ ปู่เสียไปแล้วแต่คำสอนทุก ๆ อย่างของปู่ เราฟังหมด แต่ไม่ได้คิดตาม ไม่ดื้อ ไม่ต่อต้าน แต่พอโตมา เรารู้เลยว่าปู่พูดถูกทุกหมดทุกอย่าง เราอยากให้เขาเห็นว่าวันนี้เราสำเร็จแล้ว เรามีอะไรแล้ว สองคนนี้คือคนที่ทำให้ผมเป็นผม ถ้าเขาไม่เลี้ยงผมโหด ๆ มา ผมอาจไม่เป็นแบบนี้ก็ได้”
ทั้งหมดที่ทำมา ความสามารถ ชื่อเสียง และความรักที่ได้มา เขาจะรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้อย่างไร แจมคิดทบทวนเรื่องเหล่านี้อยู่ในหัวอยู่แล้ว จึงตอบทันทีว่า “ทำมาตรฐานให้ดีขึ้น คุณภาพต้องไม่ลดลง คนเรามีทั้งดีและไม่ดี ดาราก็เป็นคน และเหมือนกับทุกอาชีพ ถ้าคุณไม่พัฒนาก็อยู่ที่เดิมและคนจะไปมองคนที่พัฒนามากกว่า หรือเขาอาจจะหันกลับมา รู้ว่ามีอยู่ แต่ไม่ได้ให้คุณค่าอะไรมาก เขาให้ความสำคัญกับคนที่พัฒนามากกว่า เราต้องหาอะไรมาพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ ถ้าเราเอาแต่มาตรฐานตัวเอง แสดงเป็นจิวผมก็มีมาตรฐานแบบนี้ เล่นเรื่องต่อไปผมใช้มาตรฐานเดิมนี้อีก เล่นเท่าจิวแปลว่าดีแล้ว คิดแบบนี้เราก็อยู่เท่าเดิม ถึงจะเป็นบทที่ดีหรือไม่ดีเท่าจิวก็ตาม แต่เราต้องพัฒนาขึ้น” แจมยังล้าร่างนิดหน่อย แต่ใจโล่งโปร่งมากเพราะพรั่งพรูออกมาจนหมดสิ้น
“ผมไม่เคยสัมภาษณ์ครั้งไหนที่พูดหมดขนาดนี้นะ”
แจมสวมแจ็กเก็ตฮู้ดเดนิมและกางเกงเดนิมจาก KARL LAGERFELD
HAIR & MAKEUP: THANATTHONG
WORDS: SUPHAKDIPA P.
PHOTOS: SOMKIAT K.
STYLE: PONGSATTHON KONGKAWAI, PASSAWAT TABSAI