ชีวิตของพวกเธอชวนแสบตา…นั่นคือความคิดแวบแรกเมื่อได้พบกับ กวาง-อริสรา การกล้า และ เอลฟ์ตี้-ศศิณัฏฐ์ สอนสุรัตน์ คู่รักนางงามที่ต่างคนต่างได้มงกุฎและสายสะพายนางงามกันมาอย่างโชกโชน อย่างกวางที่ได้มง MISS HEALTHY THAILAND 2022 และ MISS TIFFANY 2022 THE ORIGINAL ส่วนเอลฟ์ตี้มีทั้งมง MISS HEALTHY THAILAND 2018 และ MISS QUEEN CHIANGMAI 2020
และต้องยกมงกุฎนางงามผู้กล้า 2023 เมื่อพวกเธอเปิดตัวว่าเป็นคู่รักทรานส์เจนเดอร์ที่คบกันฉันท์คนรักมากว่า 5 ปีแล้ว แน่นอนว่าสังคมพูดถึงพวกเธออย่างอื้ออึงระคนสับสน เมื่อเพิ่งเคยได้ยินว่ามีคู่รักทรานส์-ทรานส์
หลังจากบอกให้โลกรู้ว่าคบกัน กวางกับเอลฟ์ตี้เล่าว่ามีคู่รักทรานส์ออกมาเปิดตัวอีกหลายคู่ จากที่เคยต้องหลบเลี่ยงปิดบัง พวกเธอจึงเป็นหนึ่งในหลักฐานของความรักที่มีพลังเขยื้อนหัวใจผู้คน และพยายามพิสูจน์ต่อไปว่าเสียงที่ดังกว่าคนอื่นของพวกเธอจะช่วยขับเคลื่อนสิทธิความเท่าเทียมให้กับกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ และมนุษย์ที่อยู่ร่วมสังคมเดียวกันทุกคนได้สำเร็จหรือไม่
“ไม่สำเร็จได้ง่ายๆหรอกค่ะ” กวางกับเอลฟ์ตี้ยอมรับความเป็นจริง แต่ยังคงมีความฝันหนึ่งเดียวกันต่อไปว่า “เราจะรณรงค์และรอคอยจนกว่าเรื่องสิทธิความเท่าเทียมของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศจะเกิดขึ้นในบ้านเรา”
LIPS: สองคนมารักกันได้เพราะรักแท้แพ้ใกล้ชิด อยู่คอนโดเดียวกัน ทำงานด้วยกัน
กวาง: ตั้งแต่กวางทำงานใหม่ๆ เราอยู่คอนโดเดียวกันแต่อยู่คนละห้อง ตอนนั้น เราอายุน้อยมากแค่ 17 พี่เอลฟ์อายุ 26 ตื่นมาก็ไปกินข้าวด้วยกัน ไปทำงานพร้อมกัน นั่งแต่งหน้าข้างกันทุกวัน กลับคอนโดพร้อมกัน ความรักเกิดขึ้นจากคำว่าพี่สาว-น้องสาว
เอลฟ์ตี้: ความรู้สึกแรกที่เจอน้องคือ น้องเด็กมากแต่ต้องมาเริ่มทำงานแล้ว เราเป็นห่วงเด็กคนนี้จังเลย แต่งหน้าก็ไม่เป็น การพูดกับผู้ใหญ่ก็ยังไม่เก่ง เราอยู่คอนโดเดียวกันเลยง่ายต่อการดูแลถามไถ่กัน ความรู้สึกเลยค่อยๆซึมเข้าไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว แต่ที่เราเริ่มรู้สึกดีก็เพราะว่าเวลาเราเจอเรื่องไม่ดีจากที่ทำงาน เขาเป็นคนแรกที่เข้ามาถามเรา เราก็เหมือนกันที่เป็นคนแรกที่เข้าไปถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างฝ่ายต่างเป็นห่วงกัน
กวาง: นี่ยังไม่เคยเล่าที่ไหนเลย ก่อนหน้านั้นเขาอกหักจากแฟนเก่า แล้วเราเข้าไปปลอบใจ ความชัดเจนเกิดขึ้นตอนที่เราลาพักทำศัลยกรรมประมาณ 10 วัน พอเรากลับมาทำงานอีกที เขามีเพื่อนสนิทคนใหม่ไปแล้ว จากที่เคยเล่นกับเราก็ไปอยู่กับคนอื่น อารมณ์เหมือนเด็กหวงของ เรางอนแรงมาก ไม่พูดกับเขาทั้งวัน ด้วยความที่เป็นเด็ก ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย จนเขามาถามว่าเป็นอะไร เราเลยบอกว่าเธอมาทำให้ฉันรู้สึกดีแล้วทำไมทำแบบนี้ แล้วก็เลยพูดทุกอย่างออกมาหมด ปลดล็อกว่ามาทำให้ฉันรู้สึกดีแล้วก็มาทำให้ฉันไขว้เขว มันคืออะไรกันแน่ ฉันงงไปหมด
LIPS: คนรอบข้างรู้ไหมว่าเราชอบกัน แต่เป็นเราสองคนเองที่ยังไม่รู้ตัว
เอลฟ์ตี้: มีคนแซวตลอดค่ะ แต่เราไม่รู้ตัว
กวาง: พอคนอื่นรู้ว่าเราคบกัน ส่วนมากจะพูดแซวเล่นมากกว่า แต่บางคำก็สะเทือนเรานิดหนึ่ง เช่น พอเราไปนั่งแต่งหน้าข้างๆ เขาก็บอกว่าอย่ามานั่งข้างฉันนะ เดี๋ยวเธอมาปล้ำฉัน เราก็ฮะ! เขาพูดเล่น แต่เราเจ็บจริงไง เลยจุดประกายให้เรากล้าพูดเรื่องนี้กับทุกคน เราไม่เคยปิดบัง แต่ไม่เคยป่าวประกาศ ใครถามว่าเป็นแฟนกันหรือก็จะบอกว่าใช่
LIPS: แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจประกาศออกสื่อว่าคบกัน จนกลายเป็นข่าวไปทั่วประเทศ
กวาง: ก่อนหน้านี้มีเวทีที่รณรงค์เรื่องสิทธิของ LGBTQ+ เราก็ไปประกาศบนเวทีนั้นเพราะเราต้องการรณรงค์เรื่องนี้ ทำให้เป็นข่าวอยู่ช่วงหนึ่ง แล้วจะเป็นอย่างไรถ้าเราเอาเรื่องนี้มาสานต่อบนเวทีทิฟฟานีที่ใครๆก็รู้จัก เราเตรียมรับมือเรื่องราวนี้ไว้พอสมควร ถามว่าตกใจไหม ก็ตกใจค่ะ เพราะรอบนี้เป็นกระแสสังคมที่หนักมาก แต่ในทางดีนะคะ สื่อให้ความสนใจเยอะมาก เราคิดว่าถึงเวลาเสียทีที่เราจะทำให้เสียงของเราเกิดประโยชน์ให้มากที่สุด ความภูมิใจของเราคือหลังจากประกาศตัวว่าเราคบกัน ก็มีข่าวทรานส์ที่คบกันและเปิดตัวเหมือนเราออกมาอีก ก่อนหน้านี้คนยังไม่กล้าพูดเพราะกรอบหรือบรรทัดฐานสังคมยังเป็นแบบเดิมๆ
LIPS: จริงๆแล้วเราไม่ได้ชอบทรานส์ ไม่ได้ชอบ LGBTQ+ หรือว่าชอบชายหญิง จริงๆแล้วเราชอบตัวตนของคนๆนี้ เราชอบคนๆนี้ในฐานะมนุษย์ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า
เอลฟ์ตี้: ใช่ค่ะ เหมือนกับเวลาที่เจอใครสักคน เรามองเขาครั้งแรกแล้วรู้สึกว่าคนนี้ไม่เห็นจะตรงสเป็กฉันเลย แต่ทำไมฉันเกิดรู้สึกชอบคนๆนี้ขึ้นมา นี่คือความรู้สึกของคู่เรา
LIPS: คบกันมาเป็นปีที่ 5 ผ่านช่วงวัยรุ่น วัยหนุ่มสาว โตด้วยกันมา เราช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างไรบ้าง
กวาง: เขาเป็นเหมือนครูที่เข้ามาอบรมบ่มเพาะให้เราเติบโตมาเป็นดอกไม้ที่สวยงาม จากแต่ก่อนพูดจาไม่มีหางเสียงก็อ่อนน้อม แม้กระทั่งการแต่งตัวก็เปลี่ยนไป แต่เราไม่ใช่คนก้าวร้าวนะคะ แต่เราไม่รู้เรื่องการปฏิบัติตัวว่าต้องทำอย่างไร เขาสอนเราทุกอย่าง ทั้งเรื่องการพูด การวางตัว การแต่งตัว การเข้าสังคม แม้แต่เรื่องจัดระเบียบการเงิน เขาก็สอนว่าส่วนนี้ต้องแบ่งออม ส่วนนี้แบ่งไว้ทำศัลยกรรม ส่วนนี้เอาไว้ใช้จ่าย เขาคือการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ของเราเลย
เอลฟ์ตี้: เมื่อเราตัดสินใจจะคบกัน เราบอกน้องว่าเราเป็นผู้ใหญ่ อาจจะไม่หวือหวา ไม่หวาน ไม่มุ้งมิ้งอย่างที่เธออยากได้นะ แต่สิ่งที่เธอจะได้ก็คือการวางแผนในอนาคตร่วมกัน เรามองไปถึงอนาคตยาวๆ เราก็เลยส่งเสริมกันในด้านความมั่นคง จุดมุ่งหมายในชีวิต เราอยากทำอะไรก็ร่วมกันวางแผนและร่วมกันเดินทาง และคอยเตือนกันเวลาใครเดินออกนอกทาง
กวาง: ด้วยความที่เขาเป็นผู้ใหญ่ เขามีทุกอย่างเพียบพร้อมละ มีบ้าน มีรถ มีเงินเก็บระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่เราทำได้คือคอยสร้างรอยยิ้มให้เขา เราเป็นเด็กขี้เล่นและไม่ได้มีเงินจะมาซัพพอร์ตเขาได้ เราก็คอยสร้างความสบายใจให้เขา
LIPS: ไม่มุ้งมิ้งแน่ๆละ เพราะเป็นคู่รักที่คุยกันว่าเราจะมาเปลี่ยนแปลงกฎหมายของประเทศนี้กัน
กวาง: (หัวเราะ) เราเป็นนางงาม เรามีพื้นที่เสียงมากกว่าคนอื่น แล้วนางงามก็ต้องมีการพูดสปีชและตอบคำถาม มันจะดีกว่าไหมที่เราใช้พื้นที่ตรงนี้มารณรงค์ให้ทุกคนเห็นว่าความรักของคนเราเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้มีแค่คู่ชายหญิง มีอีกหลากหลายคนที่มีความรัก มันไม่ได้อะไรระบุว่าเราจะต้องคู่กับคนนั้นคนนี้เท่านั้น
LIPS: มีแง่มุมทางกฎหมายในแง่ไหนที่ทั้งสองคนอยากให้เปลี่ยนแปลงมากที่สุด
กวาง: หลักๆคือเรื่องสมรสเท่าเทียม กฎหมายไม่มีอะไรรองรับสิทธิของ LGBTQ+ ถึงแม้ปัจจุบันจะมีพรบ.คู่ชีวิต แต่เรื่องการเปลี่ยนนามสกุลของคนรักก็ยังเปลี่ยนไม่ได้ หรือการเซ็นยินยอมให้คนรักเข้ารับการรักษาทางการแพทย์ก็ยังทำไม่ได้ สินสมรสก็ไม่มี การรับเลี้ยงเด็กเป็นลูกบุญธรรมก็ทำไม่ได้ถ้าวันหนึ่งเราเกิดอยากมีลูกขึ้นมา หรือแฟนเราเกิดประสบอุบัติเหตุแล้วครอบครัวเขาไม่ได้อยู่จังหวัดเดียวกันหรือไม่สามารถมาเซ็นยินยอมให้ได้จริงๆ เราที่เป็นแฟนอยู่กับเขามาตลอดก็ทำอะไรไม่ได้ เราต้องยืนดูแฟนเราเจ็บหรืออาจจะเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตาเลยหรือ
จะดีกว่าไหมถ้าแค่แก้ไขกฎหมายการสมรสจากระหว่างชาย-หญิงให้เป็นการสมรสระหว่างบุคคล ไม่ต้องระบุว่าต้องเป็นชายกับหญิง ถ้าเราแก้กฎหมายตรงนี้ได้ก็ไม่ต้องร่างพรบ.คู่ชีวิตฉบับใหม่ขึ้นมา สิทธิตามพรบ.เราก็มีแหละ แต่มีอะไรแอบซ่อนอยู่ในนั้นที่ทำให้เราเอ๊ะ จริงๆแล้วในทางปฏิบัติมันใช้ประโยชน์ไม่ได้จริง ก็ขอบคุณที่เขาออกพรบ.นี้มา เขาเล็งเห็นความสำคัญของพวกเรา แต่อาจจะออกมาผิดวิธีไปนิดหนึ่ง
LIPS: คิดว่ามีเหตุผลอะไรที่พรบ.สมรสเท่าเทียมจึงไม่คลอดออกมา
กวาง: ทำไมชาว LGBTQ+ ต้องได้สิทธิเหล่านี้ด้วยล่ะ จะเป็นการเอาเปรียบผู้ชายกับผู้หญิงไหม จะมีสิทธิเหนือพวกฉันหรือเปล่า เขาจะกังวลกับเรื่องนี้
เอลฟ์ตี้: เราคิดว่าคนที่ทำงานด้านนี้ไม่ใช่คนหัวสมัยใหม่ค่ะ เขาเกิดกลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวสิ่งใหม่ๆ เขาเลยยังไม่ได้เปิดโอกาสให้เราขนาดนั้น
กวาง: ถ้ากฎหมายนี้เกิดขึ้นจะทำให้มีคำว่าเท่าเทียมตามมา พรบ.คู่ชีวิตก็ไม่ได้ทำให้ชาว LGBTQ+ เท่าเทียมกับคู่ชายหญิง ถ้าจะเท่าเทียมจริงๆต้องแก้ไขกฎหมายหรือร่างกฎหมายฉบับใหม่ให้พวกเรา สรุปเราเป็นใคร เราเกิดมาในประเทศนี้จริงๆไหม หรือเรามาขออาศัย
เอลฟ์ตี้: ไม่ใช่แค่เรา แต่คู่ที่เป็นคนหลากหลายทางเพศจะมีคำถามมาตลอดว่า ฉันก็เสียภาษีเหมือนกัน แล้วสิทธิที่เราควรจะได้ในฐานะประชาชนกลับถูกจำกัดด้วยคำว่าเพศแค่นั้นเลย แต่กำลังใจยังมีมากอยู่ เรารู้ว่ามันคือการต่อสู้อันยาวนาน อาจเป็นคนรุ่นต่อไปก็ได้ที่จะได้รับดอกผลจากการต่อสู้ของเราในวันนี้ เราทำใจไว้แล้วค่ะ
กวาง: มันไม่ได้เกิดในยุคเราแน่นอนค่ะ เรื่องการยอมรับกลุ่มคนหลากหลายทางเพศก็ไม่ได้เกิดขึ้นในยุคที่เขาเรียกร้องกัน แต่มาเกิดในยุคหลังจากนั้น ก็คือยุคเรา มีกระแสซีรีส์วาย มีกลุ่มคนหลากหลายทางเพศทำงานหลากหลายอาชีพได้ เป็นนักแสดงหรือแม้กระทั่งเป็นพิธีกรข่าว เขาเป็นอะไรได้มากกว่าคนในยุคที่เรียกร้องสิทธิความเท่าเทียม คนที่เกิดในยุคก่อนแล้วมีลูกในยุคนี้กลัวว่าแล้วลูกจะเติบโตไปใช้ชีวิตอย่างไรในสังคม จริงๆเขาเป็นห่วง เพราะตอนที่เขาเป็นเด็กในยุคก่อน เขาเจอมาแต่ภาพที่สาวสองต้องเป็นกะเทย ไม่ได้ทำงานเป็นข้าราชการ
เอลฟ์ตี้: คนมองว่าทำไมคน LGBTQ+ ดูจะเรียกร้องต้องการอะไรมากเป็นพิเศษ หรือพยายามมากกว่าคนอื่น คนคิดว่าเราเรียกร้องในสิ่งที่เหนือกว่าคนอื่นมากๆ แต่กลับกันถ้าเรามองในชีวิตจริง มันคือกฎหมายปกติธรรมดาข้อหนึ่งเท่านั้นเองที่เราควรจะได้รับสิทธินั้นอยู่แล้วในฐานะพลเมือง จะเอามาตรฐานสมัยก่อนมาเทียบกับมาตรฐานปัจจุบันที่มันเดินหน้าไปทุกวันๆคงจะไม่ได้
LIPS: คนที่อยู่ในสภาวะเดียวกับเรา อยากพูดอะไรกับเขาบ้าง
กวาง: อยากบอกคนที่เขาอยู่ในสภาวะเดียวกับเราคือ ชอบคนที่เป็นกลุ่มคนหลากหลายทางเพศเหมือนกัน แต่ไม่กล้าเปิดเผยหรือแอบชอบใครสักคนแต่ไม่กล้าลงมือทำอะไร เพราะสังคงสร้างกรอบกั้น เราอยากบอกว่า LOVE IS LOVE. แม้สังคมจะตีตราเราอย่างไร แต่เราควรจะกลับมาทบทวนว่าสิ่งที่สร้างความสุขให้เราไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใครหรือเปล่า
ถ้าเมื่อไรที่ความรักของเราแนบแน่นกันมากพอ สิ่งรอบข้างจะไม่สามารถทำลายกำแพงเพื่อเข้ามาถึงตัวเราได้เลย แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่รับฟังสังคม เรารับฟัง และมันคือสิ่งที่เราเอาไปตอบคำถามรอบไฟนอลในการประกวดมิสทิฟฟานี เรื่องสิทธิขั้นพื้นฐาน การยอมรับ เคารพและไม่ตัดสิน คือยอมรับในตัวเราเองและเคารพในสิทธิของคนอื่น ไม่ตัดสินว่าสิ่งที่คนอื่นทำถูกหรือผิด
LIPS: แล้วอยากพูดอะไรกับคนที่ต่อต้าน LGBTQ+ เป็นบันไดก้าวแรกให้เกิดการสื่อสารพูดคุยกันได้
เอลฟ์ตี้: ถ้าเขามองเราไม่ดีไปแล้ว การไปพูดอะไร เขาก็ไม่รับฟังเราหรอกค่ะ นอกเสียจากว่าเขายังมองเราอยู่ เราก็ดำเนินชีวิตไปตามแบบฉบับของเราไปตามปกติ เราเชื่อว่าเขาจะซึมซับและมองเห็นในอีกแบบจริงๆ ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ เราไม่สามารถไปเปลี่ยนใจใครได้หรอกค่ะ ต่อให้เราไปจับมือ ไปพูดกับเขา อย่างไรเขาก็ไม่รับฟัง
กวาง: คุณอาจไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เราทำ สิ่งที่เราเป็น เราโอเคนะ เราเคารพในสิ่งที่คุณคิด คุณก็ควรเคารพในสิ่งที่เราคิดด้วยเช่นกัน ถ้าเขามาคอมเมนต์หรือมาอี๋กับความรักของเราก็เพราะเขาให้ความสนใจกับความรักของเรา วันหนึ่งถ้าเขายังมองเราอยู่ เขาก็ต้องเปลี่ยนความคิดเห็นว่าสิ่งที่สองคนนี้ทำ ทำไมเขามีความสุขกันจังเลย ทำไมไม่มีเรื่องอะไรทะเลาะกันเลย อย่างไรเขาก็ต้องเปลี่ยนความคิดในสักวันหนึ่ง
เอลฟ์ตี้: และเราสองคนก็จะช่วยผลักดันเรื่องสิทธิความเท่าเทียมต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเราทำสม่ำเสมอต่อเนื่อง อีก 10 ปีก็จะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้บ้าง ไม่เฉพาะเรียกร้องให้กับทรานส์เท่านั้น แต่รวมไปถึงทุกคนที่เป็นมนุษย์
LIPS: เคยคิดจะบินไปจดทะเบียนสมรสกันที่เมืองนอกไหม
กวาง: เคยคิดค่ะ แต่กฎหมายในเมืองไทยยังไม่เกิดขึ้น เราจะไปทำไม เราจะรณรงค์และรอคอยจนกว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นในบ้านเรา ในวันหนึ่งที่มีคนมาช่วยสานต่อเรื่องนี้ได้ เราก็จะมอบเรื่องราวเหล่านี้ไว้ให้กับเขา
Words: Suphakdipa Poolsap
Photograph: Somkiat Kangsdalwirun