หนุ่มตี๋คิวเข้มเจ้าของแววตาที่จ้องนานๆ อาจจะตกหลุมรักเข้าได้ง่ายๆ คนนี้เคยแจ้งเกิดจากบทบาทธันวาในซีรีส์ เขามาเชงเม้งข้างๆ หลุมผมครับ และปีนี้นับว่า เป็นปีทองของโอมก็ว่าได้ เพราะเขาได้มีผลงานซีรีส์ถึงสองเรื่องติดต่อกัน และโปรเจ็กต์ใหญ่ที่เราคิดว่า น่าจะทำให้ชื่อ โอม-ภวัต ก้าวไปอีกขั้นก็คือ ภาพยนตร์เรื่อง “ดิว ไปด้วยกันนะ” ที่หลายคนนำไปเปรียบเทียบกับ “รักแห่งสยาม” ผลงานชิ้นมาสเตอร์พีซของผู้กำกับฝีมือดีอย่าง มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล
“ผมรู้จักหนังเรื่องรักแห่งสยามในคลาสเรียนกำกับภาพยนตร์ ที่ มศว.ประสานมิตร แล้วอาจารย์หยิบเรื่องนี้ก็มาพรีเซ็นต์ แล้วบอกว่า ผู้กำกับฯ คือพี่มะเดี่ยว-ชูเกียรติ แล้วพอรู้ว่าจะต้องมาแคสต์กับพี่มะเดี่ยวก็นึกขึ้นมาได้ว่า “ชื่อนี้อาจารย์เพิ่งสอนไปนี่หว่า” พอรู้ว่าจะได้ทำงานกับพี่มะเดี่ยวก็ตกใจอยู่เหมือนกันครับ ไปกองถ่ายวันแรกก็เกร็งนะ แต่ด้วยความเป็นกันเอง ความเฮฮาสนุกสนานของพี่มะเดี่ยวก็ทำให้เราสบายใจขึ้นเยอะเลยครับ”
‘โอม-ภวัต’ กับบรรยากาศในกองถ่ายภาพยนตร์เรื่องแรก
โอมเริ่มต้นบทสนทนากับเราด้วยการเล่าถึงบรรยากาศในกองถ่ายภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา พร้อมแนะนำตัวละคร “ดิว” ที่เขาต้องสวมบทบาทให้เรารู้จัก
“ดิวมีนิสัยขี้เล่น เฮฮา ชอบความสนุกสนาน เป็นผู้ให้ เป็นคนที่ใส่ใจคนอื่น แคร์ความรู้สึกของคนที่เป็นคนรอบข้างมาๆ แต่ก็มีปมของตัวเองลึกๆในใจปมหนึ่งเหมือนกัน ดิวต้องย้ายถิ่นฐานบ่อย เพราะแม่ของดิวทำงานราชการ ก็เลยต้องย้ายตามแม่ตลอด”
โอมยอมรับว่า บทบาทดิวเป็นบทที่ยากกว่าบทบาทอื่นๆ ที่เขาเคยรับ ถึงแม้จะเป็นงานสายวายที่เคยผ่านมาแล้วก็ตาม
“เรื่องนี้ผมต้องเล่นเป็น “ฝั่งผู้หญิง” ผมเคยผ่านงานวายมาแล้วก็จริง แต่ว่าเล่นเป็นตัวผู้ชายตลอด และด้วยรูปร่างผมเป็นคนตัวใหญ่ ก็ไม่น่าจะดูเป็นฝั่งผู้หญิงได้ ตอนแรกก็คิดว่า แล้วเราจะเล่นได้ไหมเนี่ย แต่พอจูนคาแร็กเตอร์ได้แล้ว ผมว่า ตัวดิวมีความค่อนข้างเหมือนกับตัวผมในระดับหนึ่งเลย เพราะผมเป็นคนแคร์คนรอบข้าง ใส่ใจรายละเอียดหลายๆ อย่างของคนที่เราแคร์ และของสิ่งต่างๆรอบตัว”
ความสนใจด้านภาพยนตร์ของ ‘โอม ภวัต’ นำไปสู่การเลือกเรียนในระดับมหาวิทยาลัย
ด้วยความที่สนใจในงานภาพยนตร์อย่างจริงจังถึงขั้นเลือกเรียนด้านการแสดงและกำกับภาพยนตร์ในระดับมหาวิทยาลัย เมื่อได้เข้าไปสัมผัสประสบการณ์ในกองถ่ายภาพยนตร์ครั้งแรกเขาจึงซึมซับประสบการณ์นั้นมาใช้อย่างเต็มที่
“ผมเคยแต่ถ่ายซีรีส์มาตลอด พอได้เข้ามาในกองภาพยนตร์ก็รู้สึกว่า กองถ่ายภาพยนตร์จะค่อนข้างละเอียดกว่า ลึกกว่า วันหนึ่งถ่ายแค่ 4 ซีน ไม่เหมือนกองถ่ายซีรีส์ที่วันหนึ่งต้องถ่าย 30 ซีน ได้ศึกษาการทำงานของพี่มะเดี่ยวด้วย พี่เขามีมุมมองเป็นของตัวเองสูงมาก และเป็นมุมมองที่ค่อนข้างเด็ดขาดดีครับ เขามองขาดในมุมมองที่บางทีเราคาดไม่ถึง
…พอเจองานที่ละเอียดจริงๆ แล้วรู้สึกว่า มันตรงกับที่เราเรียน และมันคือสิ่งที่เราจะต้องเรียนในอนาคต ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมชอบงานภาพยนตร์มากๆ อินไปเลย ตอนถ่ายหนังอยู่ที่เชียงใหม่ผมเหมือนกลายเป็นดิวไปเลยจริงๆ”
ส่วนในวันที่เขาต้องรับบทเป็นผู้ชมดูบ้าง โอมสารภาพว่า เขาไม่ใช่สายติดซีรีส์เลยแม้แต่น้อย ชอบตีตั๋วดูเข้าไปชมภาพยนตร์ในโรงมากกว่า
“ผมชอบดูหนังแอ็คชั่น ปีที่แล้วก่อนที่จะถ่ายหนังผมไปดูเรื่อง Skyscraper ที่เดอะ ร็อคเล่น ในเรื่องมีซีนที่ต้องวิ่งหนีออกจากตึกที่กำลังไฟไหม้ ต้องช่วยลูก ช่วยเมีย ทุกอารมณ์ตอนนั้นเก็บไว้ได้อยู่ในซีนเดียว การแสดงออกแค่นิดเดียว ทำให้เราเห็นทุกอย่างว่า มันเกิดอะไรขึ้นตรงนั้นบ้าง มันคือดราม่าที่มีหลายมิติ
…นักแสดงที่ผมชอบ คือ เจสัน สเตแธม ครับ เวลาเขาแสดงฉากแอ็คชั่น เขาจะไม่ใช้แค่การต่อสู้ แต่เขาจะมีอะไรแฝงอยู่ข้างในตลอดเวลา มีอินเนอร์ที่ชัดเจนมาก ถ้าเกิดมีโอกาสจริงๆแล้วเรามีความสามารถถึงจริงๆ อยากได้เล่นหนังแบบ John Vick ซึ่งผมว่า มันค่อนข้างยาก ยากมาก เหนื่อยมาก เราไม่เคยมีพื้นฐานคิวบู๊มาก่อน ผมยังต่อยในคิวบู๊ ให้สวยไม่เป็นเลย เพราะยังไม่เคยมีโอกาสได้ลองทำ”
ถึงแม้จะยังไม่ชำนาญด้านคิวบู๊ แต่เชื่อเถอะว่า หนุ่มคนนี้หมัดหนักไม่เบา เพราะเขาได้เทควันโดสายดำมาคาดเอวตั้งแต่เด็ก
“ผมเรียนเทควันโดมาตั้งแต่เด็ก ใช้เวลาเรียนประมาณ 5-6 ปีถึงได้สายดำครับ แต่พอเริ่มโตขึ้น ต้องย้ายโรงเรียน ผมเลยเลิกเรียนไปตอนอยู่ชั้นม. 2 เพราะเราไม่มีเวลามากขนาดนั้น”
ถ้ามีคนมาหาเรื่องมีวิธีป้องกันตัวอย่างไร เราสงสัยและอยากให้เขาแนะนำเทคนิคการป้องกันตัวให้สาวๆ สักนิด
“ถ้าสมมติว่าโดนแกล้งหนักๆ เราก็ใช้เทคนิคที่เราเรียนมา ศิลปะป้องกันตัวจะมีเทคนิคการใช้มือปัดออกอะไรอย่างนี้ แต่วิธีการง่ายที่สุด คือ เวลาต่อยให้กำหมัดให้แน่น แล้วหมัดที่ปล่อยออกไปจะหนักขึ้น”
นอกจากหมัดหนักแล้วโอมยังเล่นดนตรีได้ทุกชนิด โดยเฉพาะกลองชุด ที่ปลดปล่อยพลังได้เต็มที่
“ตอนเด็กๆ ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ พ่อส่งไปเรียนดนตรีแทบทุกอย่าง แต่ที่ผมถนัดที่สุดคงเป็นกลอง ชอบเล่นเพลงของ Bodyslam หรือไม่ก็ Big Ass เพลง “ทุ้มอยู่ในใจ” เพลงประกอบหนังเรื่อง Suckseed น่าจะเป็นเพลงที่เล่นบ่อยที่สุด”