หน้าตาดีทะลุไอจี จนแมวมองจีบให้เข้าวงการบันเทิง มีน-พีรวิชญ์ อรรถชิตสถาพร นั่งรถตู้จากฉะเชิงเทราเข้ากรุงเทพฯตั้งแต่มัธยมต้น
ในจุดที่มีงานขาดๆหายๆ มีนถอดใจกับวงการ และแล้วซีรีส์วาย ‘บังเอิญรัก Love By Chance’ ก็เข้ามา ตั้งแต่นั้นมีนปรากฏตัวหน้าจอด้วยอัตรามาตรฐานปีละ 3-4 เรื่อง
หนัง ซีรีส์ ละคร ผ่านมือเขามาหมด และในช่วงวิธีการแสดงของตนวนลูป มีนได้เจอกับมะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับที่บังเอิญว่ามีนเคยดูผลงานทุกเรื่องมาแล้ว
มะเดี่ยวชวนปากเปล่าให้มีนมาเล่นหนังใหม่ของเขา บทยังไม่เสร็จ เนื้อเรื่องเป็นยังไงไม่รู้ มีนบอกว่า “เล่นครับ”
มีนฉีกยิ้มกว้างสุดมาให้ ข้างๆเขาคือมะเดี่ยว ที่นั่งประชุมไปด้วย แวะแจมบทสนทนาด้วยเนืองๆ เรื่องหนังใหม่ของทั้งคู่ MONDO รัก โพสต์ ลบ ลืม
“Mondo มีกลิ่นของยุคสมัยนี้ กลิ่นของอนาคต กลิ่นของเทคโนโลยีที่กลับมาพูดเรื่องราวเบสิกด้วยท่าที่มันใหม่”
LIPS: ตอนอ่านเรื่องย่อ เห็นว่าเป็นหนังเกี่ยวกับเทคโนโลยี ตัวละครมีอาชีพจริงจังด้วย เป็นมิติใหม่ของหนังไทย มีนทำอาชีพอะไรในหนัง
มีน: ผมรับบทเป็น ‘หวัง’ เป็นคนทำสตาร์ตอัป ตั้งใจทำงาน เป็น Geek คนหนึ่งที่ชื่นชอบในเทคโนโลยี เขาเป็นคนที่วัยรุ่นยุคใหม่อยากจะเป็น ผมเองก็อยากเป็น คือเป็นคนที่ประสบความสำเร็จเร็ว รู้จักไอที มี Passive Income แบบอยู่เฉยๆก็มีเงินเข้ามา และได้ทำสิ่งที่ตัวเองรักในเวลาอันรวดเร็ว เขาเป็นเจ้าของบริษัท Hope Inc. ที่พัฒนา ‘เม-บอต’ (May-Bot) และ ‘มอนโด’ (Mondo) ที่เป็นตัวพลิกผันในเรื่องนี้
LIPS: ซึ่งเม-บอตนี้คือ…
มีน: เม-บอต คือเอไอผู้ช่วยของเรา ถ้าเทียบกับในโลกจริงตอนนี้ก็คงเป็นเหมือน Chat GPT ที่พิมพ์ถามอะไร เขาก็จะดึงข้อมูลดึงประสบการณ์จากตัวเราเองจากในโลกนี้มาตอบคำถามเรา มื้อนี้ควรกินอะไร วันนี้อยากทำอะไรดี เม-บอตก็จะย่อยข้อมูลต่างๆ ที่เรารู้และก็ที่เราลืมไปแล้วมาแพลนอนาคตเราได้ บอกอดีตเราได้ บอกปัจจุบันเราได้ว่าเรารู้สึกยังไง โดยการใช้เทคโนโลยีในการวิเคราะห์ คือเม-บอตสามารถให้คำปรึกษาในฐานะการเป็นบอต เขาคือคิดจากอัลกอริทึม คิดจาก บิ๊กดาต้าที่รวบรวมมาจากอดีต-ปัจจุบัน-อนาคตของตัวเราและของโลก สามารถให้คำตอบที่ค่อนข้างเป็นทางเทคนิคัลได้ดี
LIPS: แล้ว Mondo ที่เป็นชื่อหนังด้วยล่ะ หมายถึงอะไร
มีน: มอนโดคือเมตาเวิร์สครับ แล้วเมตาเวิร์สคืออะไร (หัวเราะ) นึกถึง The Sims เกมสร้างบ้านที่เราชอบเล่นตอนเด็กๆ เราเป็นตัวละครหนึ่งในนั้น เรามีชีวิต มีครอบครัว เมตาเวิร์สก็คือประมาณนั้น ซึ่งมอนโดในเรื่องก็เป็นเมตาเวิร์สเสมือนจริงที่เราใส่แว่น VR (Virtual Reality) เข้าไปปุ๊บ เราก็เข้าไปร่วมในโลกนั้นได้ สามารถสัมผัสทราย สัมผัสลม สัมผัสอากาศแบบเสมือนจริงได้ เป็นตัวละครตัวหนึ่งในโลกนั้น เหมือนเป็นอีกโลกหนึ่งที่สามารถใช้ชีวิตได้จริง แล้วก็ดึงข้อมูล ฐานความทรงจำ สามารถสร้างอะไรที่เราไม่สามารถทำได้ในโลกจริงได้
LIPS: แล้วเอไอกับเมต้าเวิร์สมีบทบาทอะไรในหนัง
มีน: จุดเริ่มต้นมาจาก ‘ยี่หวา’ (พลอย-พลอยไพลิน ตั้งประภาพร) เธอเป็นยูทูบเบอร์สาวช่อง ‘โสดไปไหน’ แต่ตัวจริงไม่ได้โสดเหมือนชื่อช่อง เลยต้องปกปิดความสัมพันธ์นั้นไว้ เพื่อจะแลกมาซึ่งยอดฟอลโลว์ผู้ติดตามหรือแม้กระทั่งลูกค้า ก็อาจทำให้ความสัมพันธ์ของยี่หวากับ ‘ดอม’ (เกรท-สพล อัศวมั่นคง) แฟนของเธอเกิดระหองระแหงกันได้ ซึ่งตัว ‘หวัง’ เป็นผู้พัฒนาเม-บอตที่บังเอิญว่ายี่หวาได้ทดลองใช้แล้วก็สามารถทำให้แชนแนลของเธอมียอดฟอลสูงขึ้นๆ เป็นล้านซับได้ในเวลาอันรวดเร็วจากเทคโนโลยีนี้ ก็เลยทำให้มีโอกาสได้ใกล้ชิด ได้ร่วมงาน
สุดท้ายก็ต้องมารอดูว่าความสัมพันธ์จริงๆ จะเป็นยังไงระหว่างเขาสองคนกับตัวเรา คงเป็นอีกหนึ่งคนที่ต้องเลือกระหว่างความรักกับความสำเร็จ และความสัมพันธ์ในอาชีพการงานของตัวยี่หวาเองที่มีเม-บอตเข้ามาช่วยเหลือจะเป็นยังไง
“เรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้จะตอบโจทย์ในฐานะนักแสดงและความเป็นมนุษย์ของเรา”
LIPS: บทดูไกลตัวไหมกับการเป็นคนทำสตาร์ตอัป
มีน: ความยากมันคือทำยังไงให้เห็นว่าเราเข้าใจในสิ่งนั้นจริงๆ ตอนผมอ่านบทครั้งแรก มันมีแต่ดาต้า (หัวเราะ) จนต้องไปนั่งให้พี่มะเดี่ยวอธิบาย คุยกันในระดับเขียนโค้ดเลยนะ ซึ่งพี่มะแกเรียนเขียนโค้ดมาด้วย แกมีความรู้ แกก็ต้องอธิบายว่าเราเริ่มจากอะไร ทำยังไง ผมต้องเข้าใจในระบบมันเลยถึงจะสามารถเล่าออกมาได้
เราพยายามจะเป็นตัวละครอย่างเป็นธรรมชาติ มันเลยกดดัน เรางมอยู่กับมันเยอะมากในการพูดแต่ละคำให้คนเชื่อว่าเราเป็นคนพัฒนาสิ่งนี้ขึ้นมาจริงๆ มันน่าใช้จริงๆ เช่น “เบื่อมั้ยครับกับการติดดอย ‘Me Coin-มีคอยน์’ จะช่วยคุณไม่ติดดอย ง่ายๆ ครับแค่มาเทรดกับเรา การเทรดกับเรานั้นง่ายๆ ไม่ว่าคุณจะเทรดเหรียญสกุลอะไร เราก็จะส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ส่งตรงให้คุณเพื่อเป็นการชี้นำในการลงทุนได้แม่นยำยิ่งขึ้น…” (จำบทแม่นเว่อร์) เราเล่นเหรียญ เรารู้จักเมตาเวิร์ส เล่น NFT แต่ว่าเราไม่เคยต้องมาพูดขายแบบนี้ รวมถึงไม่ต้องมาอธิบายว่ามันคืออะไร เมตาเวิร์สคืออะไร ก็รู้มันคืออะไร แต่จะอธิบายยังไงดี
LIPS: ก่อนหน้าจะมาร่วมงานกัน มีนเคยดูหนังของพี่มะเดี่ยวเรื่องอะไรบ้าง
มีน: รุ่นของมีนได้ดูหนังเรื่อง ‘ดิว’ แต่จริงๆก็ได้ดูผลงานทุกเรื่องพี่มะ แต่ที่ชอบที่สุดคือ ‘13 เกมสยอง’ ผมรู้สึกว่ามันคือความเหนือจริงในสมัยนั้น เรื่องแบบนั้นจะไปเกิดขึ้นได้ยังไง แบบมีใครก็ไม่รู้โทรเข้ามือถือเราแล้วคอยบงการ แต่พอเรามาดูหนังเรื่องนี้ในยุคนี้ มันมีโอกาสมากๆที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้ วิธีการเล่าและเส้นเรื่องดูแล้วสนุก วันดีคืนดียังย้อนกลับไปดู
LIPS: หนังเป็นผลิตภัณฑ์ที่เสพในช่วงเวลาต่างกันก็ให้อะไรต่างกัน
มีน: ความเข้าใจต่อหนังก็เปลี่ยนไปตามประสบการณ์ของคนดูด้วย
LIPS: ตอนไปคุยกับพี่มะ แกบอกว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องว่า เทคโนโลยีเกี่ยวกับมนุษย์อย่างไร แก่นของหนังพูดถึงชีวิตคนวัย 30 ที่ต้องแบกรับแรงกดดันมากมาย
มีน: ปีนี้ผมอายุ 25 (คิดนาน) ผมอาจจะเป็นมาก่อนชาวบ้าน เพราะผมเริ่มทำงานเร็ว รับผิดชอบตัวเองเร็ว และมีความฝันที่เราทำ อายุ 30 สำหรับคือจุดตัดบางอย่างที่เราจะตัดสินใจเก็บอะไรไว้ และทิ้งอะไรไป
LIPS: ตัวเลข 30 นี่มาจากไหนสำหรับมีน เราคิดเองหรือสังคมบอกให้เราคิดว่ามันน่าจะวัยนี้แหละ
มีน: อัลกอริทึมมันเชปเราไปทางนี้ (หัวเราะ) อาจจะมาจากการคำนวณว่าวัยเกษียณคืออายุ 60 ถ้าอย่างนั้นครึ่งทางก็คือวัย 30 เราเรียนจบตอนอายุประมาณ 22-23 มีเวลาหาตัวเองประมาณ 2-3 ปี และมีเวลาอีก 5 ปีไปสู่เป้าหมายอะไรสักอย่าง มันคือจุดที่เราต้องเลือก
มะเดี่ยว: จากที่เราคุยกับน้องๆในวัยนี้ทั้งคนเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ทุกคนก็จะพูดถึงวัย 30 นี้แหละว่าเขาควรจะมีอะไร ทำอะไร มันคือหมุดหมายบางอย่าง
“ความฝันผมคืออยากเลือกรับงานที่อยากทำจริงๆ งานนี้ฟรี ผมทำได้ ถ้ามันน่าสนใจ งานนี้เงินเยอะก็กล้าตัดสินใจไม่รับได้ ถ้ามันไม่น่าสนใจ”
LIPS: มีนในวัย 30 วาดหวังถึงอะไร
มีน: ความฝันผมนะ อยากมั่นคงในงาน ก็อาจจะมาถึงจุดที่เป็นทางเลือก เราให้กำลังใจตัวเองว่า 29-30 เป็นจุดตัดสินใจว่าจะไปทางไหนดี
LIPS: อยากทำสหภาพนักแสดงไม่ใช่หรือ
มะเดี่ยว: มีนทำอยู่หรือ
มีน: ผมอยากทำครับ ถ้าผมเป็นพี่มะเดี่ยว ตอนนี้คงทำสหภาพ ตอนนี้พยายามพูดคุยกันอยู่ เพราะนักแสดงก็มีหลากหลาย แต่ละคนเข้ามาด้วยวัตถุประสงค์ที่ต่างกัน ในวัยนี้ ผมเคยคุยกับพี่มะเล่นๆตอนทำหนังเรื่องมอนโดคือผมอยากเกษียณเร็วๆ หมายถึงอยากมีทุกอย่างครบเร็วๆ สัก 35 ไม่เกิน 40 อยากมีบ้าน มีรถ มีครอบครัว
มะเดี่ยว: ชีวิตหลังเกษียณอยากทำอะไร
มีน: อยากเลือกรับงานที่อยากทำจริงๆ เรายังอยากทำงาน ไม่ใช่เกษียณแล้วไม่ทำงานเลย เราอยากเลือกได้ว่าจะทำงานอะไร เช่น งานนี้ฟรี ผมทำได้ ถ้ามันน่าสนใจ งานนี้เงินเยอะก็กล้าตัดสินใจไม่รับได้ ถ้ามันไม่น่าสนใจ
LIPS: อยากมีอิสรภาพทางการเงินเพื่อมีอิสรภาพในการทำงาน
มีน: ใช่ ผมว่ามันคือแนวคิดของคนรุ่นนี้เลยนะ อยากตัดสินใจเลือกทำอะไรบางอย่างโดยไม่ต้องแคร์เรื่องเงิน
มะเดี่ยว: เงินคือตัวแปรสำคัญ ถ้าเรามีเงินก็สามารถทำอย่างอื่นที่ตอบโจทย์ Soul Food เป็นสิ่งหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณให้เราได้
มีน: แต่ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้เราทำงานเพื่อเงินเท่านั้น ก็ต้องชั่วตวงวัดดีๆ ไม่รู้สินะ ถ้าวันหนึ่งเรามีทุกอย่างพร้อมแล้ว เราอาจไม่มีแพสชั่นจะทำอะไรไปแล้วก็ได้
มะเดี่ยว: เท่าที่รู้จักคนรวยมากๆหลายคน เขาก็ไม่เกษียณกันนะ คนรวยก็คือคนที่ชอบทำอะไรสักอย่างแล้วได้ผลตอบแทนที่ดี เขาแฮปปี้ที่ได้อะไรสักอย่างกลับมา โชคดีว่าสิ่งที่ทำ เขาชอบและหยุดทำไม่ได้ คนรู้จักที่ร่ำรวย มีหน้ามีตาในสังคม หลายๆคนทำงานเหนื่อยหนักมากนะ ไม่รู้จะเหนื่อยขนาดนั้นไปทำไม แล้วพอถามก็จะบอกว่า โอ๊ย ไม่เหนื่อยเลย สบาย ชอบทำงาน
LIPS: เคยอ่านบทความที่หนุ่มเมืองจันทร์เขียนถึงเศรษฐีแสนล้านรายหนึ่งของเมืองไทยว่าอายุมากแล้ว รวยขนาดนี้แล้ว ยังทำงานหนักอยู่ทำไม เศรษฐีตอบว่า ‘ก็มันทำได้’
มะเดี่ยว: เออ ใช่ๆ คนรวยชอบพูดประมาณนี้
มีน: พอถึงจุดที่ไม่ต้องแคร์เรื่องเงินหรือความมั่นคงอะไรแล้ว ผมอาจกลายคนบ้างานมากๆก็ได้ ทำเพื่อแพสชั่นเท่านั้น
“ตอนแรกผมกลัวพี่มะเดี่ยว มีคนมากรอกหูว่า เขาดุนะ เขาลืมว่ากดวอค้างไว้แล้วด่าเป็นภาษาเหนือ”
LIPS: แล้วหนังเรื่องนี้เป็น Soul Food ของมีนหรือเปล่า
มีน: ต้องบอกเลยว่าเป็นมาก (ผู้กำกับยิ้มแต้) ตอนเจอกับพี่มะเดี่ยว ผมยังไม่รู้เลยนะว่าเรื่องราวเป็นยังไง รับปากไปละ‘ทำครับ พี่’ เพราะเราอยากร่วมงานกับพี่มะ เราให้ใจไปแล้ว พอได้อ่านบท เรารู้สึกว่าอยากเล่น เพราะเราเบื่อกับชีวิตการทำงาน ด้วยวิธีการแสดงหรืออะไรก็แล้วแต่ เรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้จะตอบโจทย์เราในฐานะนักแสดงและความเป็นมนุษย์ของเรา เราอยากทำความเข้าใจตัวละครและถ่ายทอดออกมาด้วยวิธีการที่เราอยากทำ
LIPS: การทำงานกับพี่มะเดี่ยวเป็นอย่างไรบ้าง สมกับที่คาดหวังไหม
มีน: ตอนแรกผมกลัว มีคนมากรอกหูว่า เขาดุนะ เขาลืมว่ากดวอค้างไว้แล้วด่าเป็นภาษาเหนือ (ผู้กำกับหัวเราะลั่น) เป็นที่ร่ำลือว่าเป็นผู้กำกับที่จะเอาให้ได้ (ผู้กำกับเงียบแบบยอมรับว่าจริง) แต่ผมเชื่อนะว่า ถ้าเราของเราเต็มที่มากๆ และได้เจอกับคนที่เต็มที่มากๆด้วย งานก็จะออกมาดี เราพร้อมสู้กับคนที่สู้เพื่องาน ผมไม่ได้แคร์ว่าเขาจะอารมณ์เสีย หัวร้อน ถ้าเขาทำแล้วงานดี ก็อาจเป็นหน้าที่เราที่ต้องจัดการเรื่องพวกนั้น ซึ่งเราก็เป็นคนแบบนั้นเหมือนกันที่อยากให้งานออกมาดี ตอนแรกก็กลัวว่าเราจะรับมือได้หรือเปล่า แต่พอเจอพี่มะจริงๆแล้วก็…
LIPS: พกหมวกกันน็อกไปกองถ่ายด้วย
มีน: (ฮา) เบากว่าผู้กำกับบางคนที่ผมเจอนะ เขาเป็นคนชัดเจน อันนี้เอา อันนี้ไม่เอา อันนี้ให้ลอง อันนี้ไม่ให้
“เราพร้อมสู้กับคนที่สู้เพื่องาน เราไม่ได้แคร์ว่าเขาจะอารมณ์เสีย หัวร้อน ถ้าเขาทำแล้วงานออกมาดี”
LIPS: มีนเป็นนักแสดงที่ต้องการให้ผู้กำกับกำกับเราอย่างไร
มีน: ผมต้องการคนที่ยอมให้ผมสู้กับเขา และเขาก็สู้กับผม ถ้าผมอธิบายแล้วเขารู้สึกว่าไม่ใช่ ก็ต้องหาเหตุผลมารองรับให้ได้ เช่น ผมบอกว่า ‘พี่ ผมว่าตัวละครไม่ทำแบบนี้ เพราะเขาคิดแบบนี้ ฉะนั้นเขาควรทำแบบนี้ 1 2 3 4’ อะไรก็ว่าไป เขาก็สู้กับผมได้ว่า ‘ไม่ มีน ตัวละครมีสิทธิ์ทำแบบนี้ได้’ และอธิบาย หรือถ้าเขาอธิบายไม่ได้ก็ต้องยอมรับผลที่ตามมานะว่า ถ้าคนเล่นไม่เชื่อ ตัวละครจะดูน่าเชื่อได้อย่างไร แต่ผู้กำกับบางคนปล่อยเลย เป็นหน้าที่ของนักแสดง ซึ่งบางทีสิ่งที่เราหามากับสิ่งที่เขาอยากได้ไม่ตรงกัน แต่ไม่มีใครถูกใครผิดในการแสดง
มะเดี่ยว: มันคืองานกลุ่มที่ทุกคนต้องช่วยกัน บางทีการที่ผู้กำกับตอบคำถามนักแสดงไม่ได้ เพราะไปเจอซีรีส์ที่บทมาไม่ครบ ‘พี่ ทำไมตอนนี้หนูทำแบบนี้ ตอนที่แล้วไม่เห็นทำ ทำไมหนูเปลี่ยนไป’ ก็บทเพิ่งมา (หัวเราะ) ผู้กำกับเพิ่งเห็นบทพร้อมนักแสดงเมื่อกี้เหมือนกันน่ะแหละ
มีน: แบบนี้ผมเข้าใจได้นะ แต่ไม่ใช่ว่าน้อง เล่นไปเถอะ ซีนนี้ขอแรงๆ พอเราถามว่าทำไม เขาบอก จะได้เป็นสีสัน คนจะได้อยากดู แบบนี้เราหาคำอธิบายให้ตัวเองไม่ได้นะ แต่มันคือหน้าที่เราที่ต้องไปทำการบ้าน ไม่ว่าจะเมกเซนส์หรือไม่ มันคือการแถนั่นแหละ แต่ถ้าเจอผู้กำกับที่เข้าใจตัวละคร เราเข้าไปเสริมเขา เรามาช่วยกันสร้างตัวละครนี้ให้สื่อสารออกมาได้ ผมสนุกกับการทำงานแบบนี้มาก แต่คนไม่สนุกก็ไม่สนุกจริงๆนะ (หัวเราะ) มีนักแสดงที่บอกผู้กำกับว่า อยากเล่าอะไร บอกมาเลย เดี๋ยวเล่นให้ เล่นได้ทุกแบบ
มะเดี่ยว: มีๆ ส่วนใหญ่เป็นละคร เราเข้าใจนะ เขารับมาแล้ว 4 เรื่อง บทพ่อแม่เหมือนเดิม
มีน: ซึ่งเขาเล่นได้ทุกแบบจริงๆ ขอให้บอกมา แต่ผมน่ะทำแบบนั้นไม่ได้ เราต้องเชื่อในตัวละครก่อน
มะเดี่ยว: เราจะโอเคกับนักแสดงแบบมีนนะ เพราะสุดท้ายมันคือหน้าคุณ มันคือวิธีการตีความของคุณ มันคือเครดิตในการทำงานของคุณ พัฒนาการตัวละครตั้งแต่ต้นจนจบ มีนเขาไปทำการบ้านมาหมด นักแสดงทุกคนในหนังเรื่องนี้ทำการบ้านมาดีหมดเลย โชคดี ซึ่งนรกจะแตกถ้าเจอนักแสดงที่ไม่ทำการบ้าน และในการทำงานจริง ไม่มีนะที่เล่นเทคเดียวผ่าน อย่างน้อยผ่านแล้ว เราก็ต้องมีอีกแบบเผื่อไว้
LIPS: คนมักเข้าใจผิดว่าการเล่นเทคเดียวผ่านแปลว่าเก่ง
มีน: ผมกลัวมากเลยนะ เทคเดียวผ่าน เราไม่มีโอกาสให้ทดลองอย่างอื่น ต่อให้พี่มะบอกว่าผ่านแล้ว ผมก็จะขอเล่นอีกแบบหนึ่ง ไม่รู้พี่มะจะเอาไปใช้หรือเปล่านะ เขาก็ยอมเสียเวลาให้ผมเล่นอีก 5 นาที แล้วเรามาเลือกกันว่าแบบไหนคือสิ่งที่พี่กับผมมองเห็น
LIPS: แล้วกับ Mondo ล่ะ มีนหวังว่าคนดูจะได้เห็นอะไร
มีน: ผมว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังรักรอมคอมผสมไซไฟ มีกลิ่นของความเป็นยุคสมัย กลิ่นของอนาคต กลิ่นของเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนสำคัญที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ไปยังไง นอกจากนี้ยังเป็นหนังครอบครัวที่กลับมาพูดเรื่องราวเบสิกๆ ด้วยท่าที่มันใหม่ และการตัดสินใจที่ยากลำบากในชีวิตวัยรุ่นวัยทำงาน
ในวันนี้หรือพรุ่งนี้ที่เทคโนโลยีมันพัฒนาขึ้น เราสามารถหาคำตอบได้รวดเร็วขึ้น ง่ายขึ้น ชัดเจนขึ้น สุดท้ายแล้วคำตอบของความสัมพันธ์จะหาได้จากชุดข้อมูลและจากผู้ช่วยเหล่านี้หรือเปล่า ความสัมพันธ์ของเรามันจะขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีมากน้อยแค่ไหน
Words: Suphakdipa Poolsap
Photos: Somkiat Kangsdalwirun / SahamonkolFilm