Search
Close this search box.
Search
Close this search box.
HOME / Fashion / Trends

ทำไมลาย Monogram สุดคลาสสิคถึงอยู่ในทุกไอเท็มฮอตจากแฟชั่นโชว์ในช่วงนี้?

ทำความรู้จัก 8 ลาย Monogram สุดคลาสสิคที่อัพเดตใหม่จนสายแฟไม่ควรพลาด!
Fashion / Trends

ดูเหมือนว่ากระแสความนิยมของลายโมโนแกรมจะไม่ยอมไปไหนง่าย แม้กระทั่งคอลเลคชั่น Spring/Summer 2022 ที่เพิ่งจบไปเทรนด์โมโนแกรมก็ยังปรากฎหนาตาเช่นเดิม เหล่าลวดลายอันอเนกประสงค์เหล่านี้ถูกเหล่าแฟชั่นดีไซเนอร์หยิบมาใช้เพื่อแสดงถึงความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ถ่ายทอดลงบนกระเป๋า เสื้อโค้ท หมวก หรือแม้แต่รองเท้าผ้าใบเองก็ตาม 

ลวดลายโมโนแกรมเปรียบเสมือนหน้าตาของแบรนด์เลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าแบรนด์จะเปลี่ยนดีไซเนอร์มากี่คน ลายโมโนแกรมจะคงอยู่เป็นสัญลักษณ์ของความคลาสสิกที่จะถูกอัพเดตไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลาให้ทันสมัยขึ้น แถมลายโมโนแกรมเหล่านี้ยังเป็นเครื่องมือการตลาดชั้นเลิศในการขายของ โมโนแกรมถูกนำมาใช้เพื่อบ่งบอกอัตลักษณ์ตัวตนของแบรนด์และเป็นเครื่องมือสื่อสารชั้นยอดเพียงแค่เห็นก็สามารถรับรู้ได้ว่าเป็นลายของแบรนด์อะไร 

วันนี้เราเลยจะพาชาว LIPS ไปรู้จักกับลายโมโนแกรมในโลกแฟชั่นว่ามีลายอะไรบ้างที่น่าสนใจและมีที่มาเป็นมาอย่างไรบ้าง

Louis Vuitton’s ‘LV’ Monogram

ถ้าพูดถึงลายโมโนแกรมที่คลาสสิคที่สุดคงหนีไม่พ้น ‘LV Monogram’ จากแบรนด์ Louis Vuitton ลายสุดคลาสสิคนี้เกิดขึ้นเพื่อตกแต่งหีบเดินทางสุดหรูของแบรนด์ในปี 1986 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ลายโมโนแกรมสุดคลาสสิคนี้ก็กลายเป็นสินค้าสุดฮอตของแบรนด์ที่ใครก็ต้องมี สินค้าประเภทโมโนแกรมของ Louis Vuitton จัดอยู่ในประเภทสินค้าขายดีตลอดกาล แม้จะเปลี่ยนดีไซเนอร์ไปกี่คนแล้วก็ตามลายโมโนแกรม LV ยังคงเป็นจุดขายสำคัญของแบรนด์ทุกวันนี้

Louis Vuitton Squared

ลายโมโนแกรมของ LV เคยถูกใช้ในงานคอลแลบมากมายนับไม่ถ้วน เช่น Stephen Sprouse, Richard Prince, Yayoi Kusama, Takashi Murakami และ Supreme เป็นอีกหนึ่งลายคลาสสิกตลอดกาลที่ศิลปินหรือดีไซนเนอร์อยากร่วมคอลแลบมากด้วยที่สุด ส่วนการคอลแลบล่าสุดที่ได้กระแสตอบรับดีเหลือเกินเป็นงานระหว่าง Virgil Abloh อาร์ติสติกไดเร็กเตอร์ฝั่งห้องเสื้อผู้ชายและ Nigo ดีไซเนอร์สายสตรีตชาวญี่ปุ่นเพื่อนสนิทของเขานั่นเองกับแคปซูลคอลเลคชั่นที่ชื่อว่า Louis Vuitton Squared หรือ LV²

Goryard ‘Y Print’

ลายโมโนแกรมสาย Niche จากแบรนด์ Goryard เป็นการเชื่อมต่อตัวอักษร Y หลายๆ ตัวเข้าด้วยกันจนกลายเป็นลาย ‘Y Print’ ลายนี้แตกต่างจากผลงานการครีเอตของนักออกแบบคนอื่นๆ เพราะปกติแล้วมักใช้ตัวอักษรแรกของชื่อแบรนด์มาทำเป็นลายโมโนแกรม แต่ลายนี้ใช้ตัว Y ที่เป็นตัวอักษรตรงกลางของแบรนด์ Goryard มาใช้แทน การใช้จุดเล็กๆ ซ้อนกันสร้างเป็นลวดลายที่เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงประวัติของครอบครัว Goryard ที่บรรพบุรุษเคยเป็นคนล่องซุงในกิจการค้าไม้มาก่อน

แบรนด์ Goryard ก่อตั้งขึ้นในปี 1853 หลังจาก Francois Goyard ไปซื้อบริษัท Maison Morel มาสานต่อ กว่า 168 ปีที่ลายพิมพ์สุดหรูและเก่าแก่ลายนี้ได้รับความนิยมโดยไม่ต้องพึ่งการโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ตามสื่อต่างๆ และไม่ขายผ่านช่องทางออนไลน์แต่ก็ยังได้รับความนิยมโดยเฉพาะในหมู่สาวกที่ชอบสินค้าซูเปอร์ลักชูรี ล่าสุดในปี 2020 แบรนด์ Goryard ได้ไปคอลแลบกับตัวการ์ตูนสุดน่ารักอย่าง Snoopy โหนกระแส Nostalgia กับเขาบ้าง โดยมีขายเฉพาะที่ห้าง Osaka Umeda Hankyu เท่านั้น!

Gucci’s ‘GG’ Monogram

โลโก้ของแบรนด์ Gucci เป็นการประสานตัว G สองตัวเข้าหากันซึ่งย่อมาจากชื่อของ Guccio Gucci ผู้ก่อตั้งแฟชั่นเฮ้าส์นี้ขึ้นตั้งแต่ปี 1921 ซึ่ง Guccio ได้เริ่มก่อตั้งแบรนด์หลังจากเขาได้แรงบันดาลใจในการทำกระเป๋าจากการเป็นพนักงานยกกระเป๋าอยู่ที่โรงแรม Savoy ณ กรุงลอนดอนแต่โลโก้ ‘GG ’ นั้นเกิดขึ้นด้วยฝีมือของ Aldo Gucci ลูกชายของ Guccio ที่ได้ออกแบบโลโก้ตามชื่อพ่อของเขาและถูกทำให้กลายเป็นลาย ‘GG Monogram’ สุดฮิตขึ้นมาในช่วงปี 60s 

ปัจจุบันลาย GG Monogram ได้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งยกเครดิตให้กับ Alessandro Michele ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์คนปัจจุบันของแบรนด์ Gucci เขาเลือกใช้ลายโมโนแกรมนี้แทบจะกับทุกไอเท็มในคอลเลคชั่นที่เขาดีไซน์ ตั้งแต่เสื้อ ร้องเท้า และเครื่องหนังทุกชนิด ลายโมโนแกรมของ Gucci กลับมาขายดีอีกครั้งก็ในยุคของ Alessandro นี้เลย แถมยังมีคอลเลคชั่นคอลแลบชูให้ลายโมโนแกรมนี้เป็นพระเอกอยู่หลายครั้ง เช่น The North Face x Gucci, Doraemon x Gucci, Disney x Gucci และล่าสุดที่เป็นกระแสไปทั่วโลกอย่าง Gucci x Balenciaga คอลเลคชั่นฉลองครบ 100 ปีของแบรนด์ก็นำเอาลายนี้มาใช้ในหลายๆ ไอเท็มในคอลเลคชั่นนี้

Celine’s ‘Triomphe’ Monogram

แฟชั่นเฮ้าส์ที่กำลังมาแรงมากในตอนนี้นอกจาก Lisa Blackpink เป็นแอมบาสเดอร์แล้ว ก็เพราะลาย ‘Triomphe Monogram’ นี้แหละที่ทำให้ยอดขายของแบรนด์ Celine พุ่งขึ้นเหมือนกราฟบิตคอยน์ ย้อนกลับไปในปี 2018 Hedi Slimane ดีไซเนอร์สุดคูลได้ย้ายมากุมบังเหียนแฟชั่นเฮ้าส์เก่าแก่อย่าง Celine เขาได้หยิบเอามรดกของแบรนด์อย่างลาย Triomphe ที่ถูกครีเอตขึ้นครั้งแรกในปี 1972 ลายนี้ที่ได้แรงบันดาลใจจากห่วงโซ่ที่ล้อมรอบสถานที่สำคัญของปารีส ‘Arc De Triopmphe’ เพื่อแสดงถึงความปารีเซียงในสายเลือดของแบรนด์

การที่ Hedi หยิบลายนี้ขึ้นมาคงหนีไม่พ้นเรื่องการสร้างยอดขายสู้กับแบรนด์อื่นๆ ที่นำเอาลายโมโนแกรมของแต่ละแบรนด์ออกมาสู้กันจนกลายเป็นเทรนด์ Logomania ลายนี้จึงถูกนำมาใช้อย่างจริงจังในไลน์เครื่องหนังของแบรนด์ในปี 2019 จนทำให้กระเป๋า Celine ในรุ่นไลน์ Triomphe Canvas Collection กลายเป็น It Bag แห่งยุคและขายดีจนมาถึงทุกวันนี้และยังลามไปถึงไลน์เสื้อผ้าอีกด้วย ตอกย้ำฉายา Hedi Slimane ดีไซน์ตัวพ่อที่สร้างยอดขายให้กับแบรนด์ที่เขาเข้าไปทำได้เป็นอย่างดี

Fendi’s ‘FF’ Monogram

FENDI x VERSACE

อีกหนึ่งลายโมโนแกรมที่เราโด่งดังอย่างต่อเนื่อง ‘FF Monogram’ จาก Fendi แฟชั่นเฮาส์ชื่อดังจากอิตาลี ลาย Double F นี้ถูกสร้างขึ้นโดยสุดยอดดีไซเนอร์อย่าง Karl Lagerfeld ในปี 1965 และมันได้รับความนิยมอย่างมากในเวลาต่อมาในช่วงปี 80s ความพิเศษของลายนี้คือมันถูกออกแบบโดยใช้เวลาแค่ 5 วินาทีเท่านั้น จริงๆ แล้วลาย FF ถูกใช้เฉพาะสำหรับคอลเลคชั่นขนสัตว์เท่านั้น ซึ่งมาจากคำย่อของ ‘Fun Fur’ แต่ด้วยความโด่งดังของมันปัจจุบันลายโมโนแกรมนี้ได้วิ่งเล่นไปทุกไลน์ของ Fendi 

The FF capsule collection

ลาย Double F เริ่มกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งในช่วงไม่กี่ปีมานี้ โดยในปี 2018 ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ของแบรนด์อย่าง Silvia Venturini Fendi ได้ปล่อย The FF capsule collection ซึ่งล้วนแต่เป็นไอเท็มที่ประทับด้วยลายโมโนแกรมสุดปังนี้รวมไปถึงการไปคอลแลบกับแบรนด์และศิลปินต่างๆ เช่น Fendi x Fila หรือ Fendi x Joshua Vides คอลแลปที่พาลาย Double F ออกจากกรอบเก่าๆ นอกจากนั้นยังได้ Kim Jones เจ้าพ่องานคอลแลบเข้ามาเสริมทัพกุมบังเหียนฝั่งเสื้อผ้าผู้หญิงทั้ง ready-to-wear และฝั่งโอต์กูตูร์จนพาแบรนด์สุดหรูจากอิตาลีสองแบรนด์มาเจอกันอย่างคอลเลคชั่น The Swap ที่ Versace กับ Fendi สลับกันออกแบบเสื้อผ้าเราก็เห็นโมโนแกรมลายนี้ในเวอร์ชั่นแบบสาว Versace

Versace’s ‘La Greca’ Monogram

ปกติแล้วหากพูดถึง Versace เราคงนึกถึงลายเมดูซ่าหรือ Medusa Head ที่ Gianni Versace ได้เลือกใช้เป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ แต่สำหรับ Donnatella Versace ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์คนปัจจุบันเธอขอหยิบลาย Greek Key อันคลาสสิคของแบรนด์ปัดฝุ่นและปรับโฉมให้ดูทันสมัยดู 3D มากขึ้น ‘La Greca’ โมโนแกรมลายใหม่จากบ้าน Versace ที่จะเข้าไปอยู่ในไอเท็มต่างๆ ของแบรนด์คู่กับลายเมดูซ่าเพื่อตอบรับกับกระแส Logomania อย่างที่ทุกคนรู้กัน ลายนี้เพิ่งเดบิวต์ครั้งแรกในคอลเลคชั่น Fall/Winter 2021 ที่เดินไปเมื่อต้นปีนี้เองนะเฟรชมากกกก!

Givenchy ‘G’ Monogram 

Givenchy เป็นอีกแบรนด์ที่เพิ่งหยิบเอาโลโก้ไอคอนิคของแบรนด์กลับมาใช้เป็นลายโมโนแกรมสุดเก๋ และครั้งนี้ภาพลักษณ์ของมันก็เปรี้ยวและแซ่บขึ้นมากเพราะได้ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์มือดีอย่าง Matthew M Williams เข้ามากุมบังเหียนทำให้เกิดเป็น ‘G Monogram’ ขึ้นมา ลายนี้ประกอบด้วยตัว G ตัวใหญ่สี่ตัวหันหน้าเข้าหากันและมีขนาดเท่ากันทั้งหมดต่อกันไปแบบไม่มีสิ้นสุดซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความเรียบโก้ ซึ่งโลโก้นี้เกิดขึ้นในปี 1952 โดยแฟชั่นดีไซเนอร์อันเลื่องลืออย่าง Hubert de Givency โดยเขาวาดคำว่า Givenchy หลากหลายรูปแบบก่อนที่จะมาเป็นโลโก้แบบนี้ก่อนที่ในปี 2003 จะถูกออกแบบใหม่โดยดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศส Pual Barnes ให้ดูทันสมัยขึ้น

จริงๆ แล้วโลโก้นี้มีมานานมากแล้วและถูกใช้เป็นลายโมโนแกรมตกแต่งเครื่องประดับของแบรนด์มาตั้งนานแต่ไม่มีดีไซเนอร์คนไหนหยิบเอามาทำเป็นลายโมโนแกรมในทุกๆ ไอเท็มอย่างจริงจังเหมือนแฟชั่นเฮ้าส์อื่นๆ แต่ Matthew เกิดปิ๊งไอเดียจากเหล่าดีไซเนอร์เหล่านั้นที่หยิบเอาลายโมโนแกรมที่เป็นมรดกของบ้านมาใช้ผนวกกับ Clare Waight Keller ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์คนก่อนหน้าก็เพิ่งนำโลโก้คลาสสิคแบบนี้กลับมาใช้อีกครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้เลยทำให้เขาจัดเต็มฟื้นคืนชีพลายโมโนแกรมนี้อย่างสมศักดิ์ศรีแถมส่วนใหญ่มาในเวอร์ชั่น See-Through อีกด้วย

Dior’s ‘Oblique’ Monogram

อีกลายโมโนแกรมสุดเก่าแก่ที่ใช้โดยแบรนด์ Christian Dior มากกว่า 50 ปีอย่างลาย ‘Oblique Monogram’ เกิดขึ้นในปี 1967 โดย Marc Bohan อดีตครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ของ Dior ที่ทำงานอยู่ที่บ้านนี้ตั้งแต่ 1961-1989 ลายนี้ได้รับการฟื้นฟูโดยครีเอทีฟไดเร็กเตอร์หญิงคนแรกและคนปัจจุบันของแบรนด์อย่าง Maria Grazia Chiuri ซึ่งขอกล่าวย้อนกลับไปในช่วง 70s ซึ่งลายนี้เป็นลายที่นิยมในกระเป๋าเดินทางของบ้านนี้เป็นอย่างมาก ก่อนกลับมาฮิตอีกรอบในช่วงต้นปี 2000 เพราะครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ในตำนานอีกคนของ Dior อย่าง John Galliano ที่นำลายนี้กลับมาใช้ในโดยเฉพาะใน It Bag ของยุค 90s -20s อย่าง Dior Saddle Bag และกระเป๋ารุ่นนี้ก็กลับมาอีกครั้งในยุคของ Maria

แต่ที่ทำให้ลายนี้ฮิตติดลมบนและได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางถ้าไม่ให้เครดิต Kim Jones ก็คงจะแปลก เพราะหลังจาก Kim เห็นฝั่งผู้หญิงอย่าง Maria ที่หยิบลายนี้มาใช้ทำไมฝั่งชายจะหยิบมาใช้บ้างไม่ได้ เขาได้หยิบลายโมโนแกรมคลาสสิคอันนี้มาใส่ในแทบจะทุกอย่างใน Dior Mens ไม่ต่างจาก Maria แต่เรารู้สึว่ากลิ่นอายแบบสปอร์ตในงานของเขาทำให้หนุ่มอยากได้ไอเท็มที่มีลายนี้ประกอบอยู่กันมากๆ ไม่ว่าจะเป็นสนีกเกอร์รุ่น B23 ที่เป็นสนีกเกอร์ตัวท๊อปของแบรนด์ หรือจะงานคอลแลบอย่าง Dior x Air Jordan 1 ที่นำความหรูหราแบบ Dior ผสมกับวัฒนธรรมสปอร์ตได้อย่างลงตัวจนราคารีเซลล์พุ่งสูงจนกลายเป็น Jordan 1 ที่แพงที่สุด ยังไม่รวม Dior x Rimowa ที่พาเอากระเป๋าเดินทางสุดหรูสัญชาติเยอรมันขยับราคาสูงขึ้นไปอีก

Photos : Courtesy of Brands

Related Articles

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ เราได้อธิบายความหมายและวิธีการใช้คุกกี้ของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือการเปิดเผย รวมถึงทางเลือกในการใช้คุกกี้ของเรา อ่านเพิ่มเติม