โมร็อกโก ดินแดนแห่งราชินีแห่งทะเลทราย ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “EL MAHGRIB AL AQSA” (เอล มาห์กริบ อัล อัค ซา) หมายถึง ดินแดนแห่งทิศตะวันตกที่ไกลแสนไกลที่สุด และยังเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นภูเขาสูงที่มีหิมะปกคลุมยอดเขา มีชายฝั่งทะเลที่อุดมสมบูรณ์ และผืนทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล แถมยังได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีอุณหภูมิหนาวที่สุดในแถบทวีปแอฟริกาเหนือ โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ย 25 องศาฯ ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวอาหรับและชาวเบอร์เบอร์ ที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นหลัก และยังมีการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ที่นี่นับเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ติดอันดับอยู่ใน Travel Wishlist ของฉัน และในที่สุดก็มีโอกาสได้มาเยือนเสียที
Rabat – The Capital
เมืองแรกที่ฉันได้ไปสัมผัส คือ เมืองราบัติ (Rabat) ซึ่งเป็นเมืองหลวงแห่งโมร็อกโกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1956 เมืองนี้ถูกตั้งเป็นเมืองหลวงแห่งแรกหลังจากการแทรกแซงทางการเมืองของประเทศฝรั่งเศส ราบัตินับเป็น1 ใน 4 ของอิมพีเรียลซิตี้แห่งโมร็อกโก ซึ่งประกอบไปด้วย ราบัติ, มาราเคช, เมคเนส, และเฟส และเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโมร็อกโกอีกด้วย ฉันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งอารายธรรมอาหรับขนานแท้ ที่บรรดาบ้านเรือนเมื่อมองไปสุดลูกหูลูกตา ได้ถูกเนรมิตรแต่งแต้มให้เป็นสีขาวสะอาดหมดจด ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวง และทำเนียบที่พักของเหล่าทูตานุทูตจากต่างแดน
Chefchaouen – The Cyan City
อีกเมืองหนึ่งที่ฉันได้สัมผัสถึงมนตร์เสน่ห์แห่งนครสีฟ้า คือเมืองเชฟเชาอิน (Chefchaouen) ที่ทั้งเมืองทาสีตกแต่งบ้านเรือน และอาคารต่างๆเป็นสีฟ้าทั้งหมด ด้วยความเชื่อว่าสีฟ้าคือสีของท้องฟ้าอันบริสุทธิ์ และจะทำให้ชาวเมืองแห่งนี้ได้เข้าถึงพระเจ้าได้อย่างใกล้ชิด ส่วนชื่อของเมืองนั่น มีความหมาย น่ารักๆ ว่า “มองที่เขาแพะ” เนื่องจากเมืองตั้งอยู่บนยอดเขาที่มีรูปร่างเหมือนเขาแพะนั่นเอง
ROMAN CITY OF VOLUBILIS
เมื่อฉันเดินย่างกรายเข้าไปในโบราณสถานแห่งนี้ ฉันรู้สึกประหนึ่งเหมือนได้เดินทางย้อนยุคไปยังยุคโรมัน ไม่น่าเชื่อว่าในสมัยนั้น โรมันจะสามารถสร้างอาณาจักรอันสุดแสนยิ่งใหญ่ไปทั่วทุกมุมโลก รวมถึงที่อาณาจักรอาหรับแห่งนี้ด้วย แม้ว่าตอนนี้สิ่งที่หลงเหลือจะเป็นเพียงซากปรักหักพังแต่ก็คงไว้ซึ่งร่องรอยแห่งความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิโรมัน และเมืองโบราณโวลูบิสิสแห่งนี้ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกปี ค.ศ.1997 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
Fez – The Fascinating Maze
เมืองเฟส (Fez) เป็นเมืองโบราณที่มีอายุนับได้มากกว่า 1,000 ปี และมีตลาดเมืองเก่าที่มีตรอกซอกซอยเยอะ นับได้ถึง 10,000 ซอย จนเสมือนเราได้เข้าไปอยู่ในเขาวงกตเลยทีเดียว เมื่อฉันก้าวเข้าสู่ประตูเมือง BAB BOU JELOUD ก็เหมือนย่างกรายเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่ง ภาพที่เห็นคือ ภาพของตลาดที่มีเส้นทางที่แคบ และคดเคี้ยวเลี้ยวลดไปมา ซอยที่แคบที่สุดของตลาดแห่งนี้มีความกว้างแค่ 50 ซม.เท่านั้น ฉันต้องเดินแหวกว่ายฝ่าเข้าไปกลางกลุ่มชาวพื้นเมืองที่ส่วนใหญ่แต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองที่มีความคล้ายกับชุดพ่อมด ชาวพื้นเมืองที่นี่ยังคงมีลาเป็นพาหนะ และใช้บรรทุกสินค้า และที่สำคัญเวลาเราเดินผ่านคนจูงลา เราต้องหลีกทางและห้ามถ่ายรูปกับลาของเขาอย่างเด็ดขาด เพราะจะไม่เป็นที่พอใจของคนจูงลาสักเท่าไรนัก ในตลาดมีสินค้าท้องถิ่นที่น่าสนใจมากมายไม่ว่าจะเป็น อาหารสด ถั่ว พรม เครื่องทองเหลือง จานชามแนวโมร็อกกัน เครื่องหนัง และสินค้าพื้นเมืองต่างๆมากมายที่มีเอกลักษณ์ในแบบฉบับโมร็อกกัน และหาไม่ได้จากที่ไหน
Sahara – Camping Underneath the Stars
ฉันได้มุ่งตรงไปยังทะเลทรายซาฮารา โดยนั่งรถโฟว์วีลลุยทรายเพื่อเข้าไปยังกลางทะเลทราย ซาฮารานับว่าเป็นทะเลทรายที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลกเลยทีเดียว และที่สำคัญเป็นทะเลทรายที่มีความร้อนที่สุดในโลกอีกด้วย จุดมุ่งหมายของวันนี้คือการไปนอนที่แคมป์กลางทะเลทราย และนอนดูดาวไปทั้งคืน เมื่อเดินทางไปถึงยังแคมป์ ช่างเป็นความรู้สึกที่แสนแปลกใหม่ พนักงานแต่งกายในชุดชาวพื้นเมืองพร้อมโพกผมในสไตล์อาหรับ ได้เดินเข้ามาต้อนรับด้วยชาผลไม้อย่างดี พร้อมกับมีการแสดงดนตรีพื้นเมืองรอบกองไฟ และฉันได้รับเชิญไปร่วมตีกลองกับวงดนตรี นับเป็นค่ำคืนที่สนุกสนานเป็นอย่างมาก แต่จู่ๆทางแคมป์ก็ได้ทำการดับไฟ ทันทีที่ดับไฟลง ฉันต้องตะลึงไปกับความงามของหมู่ดาวที่ระยิบระยับเต็มท้องฟ้า ความรู้สึกเสมือนตัวเองได้ลอยเข้าไปอยู่ในกาแล็คซี่เลยทีเดียว
Ouarzazate – The Fortress
เมืองวอซาเซท เมืองแห่งป้อมปราการนับพัน ที่ทั้งเมืองเมื่อมองไปสุดลูกหูลูกตาจะเห็นเมืองเป็นสีอิฐทั้งเมือง ในปี ค.ศ. 1928 ที่แห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ของชาวฝรั่งเศสซึ่งปัจจุบันได้กลายมาเป็นเมืองท่องเที่ยว และถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่อง อย่างเช่นเรื่อง Game of Thrones ที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี ฉันได้เข้าเยี่ยมชมป้อมทาเริท (KASBAH TAOURIRT) ที่เป็นป้อมขนาดใหญ่ ที่มีลวดลายการตกแต่งภาพวาด ภาพแกะสลักบนกำแพง และภายในป้อมแห่งนี้มีพระราชวังของตระกูลกลาวี และมีห้องเล็กๆจำนวนมากเนื่องจากในอดีตมีคนรับใช้ และคนงานหลายร้อยคนอาศัยอยู่ด้วย
AIT BENHADOU – The Legendary Location
อีกหนึ่งสถานที่ที่เมื่อมาถึงโมร็อกโก ฉันต้องมาเยือนให้ได้ คือ ป้อมอิท เบนฮาดู (KASBAH OF AIT BENHADOU) ที่ตั้งอยู่ที่เมือง AIT BENHADOU เมืองนี้ตั้งอยู่บนเส้นทางระหว่างทะเลทรายซาฮารา และเมืองมาราเคช ได้เคยมีการใช้ถ่ายทำภาพยนตร์มากกว่า 20 เรื่อง อาทิ Gladiator , Lawrence of Arabia , Jesus of Nazareth และภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงต่างๆอีกมากมาย และโดยเฉพาะยิ่งคนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของซีรีส์ดังอย่าง Game of Thrones พลาดไม่ได้ที่จะมาเยือนที่นี่ ภาพที่มองเห็นจากมุมไกลเสมือนภาพในนิทานปรัมปราอาหรับย้อนยุค เป็นภาพเมืองแห่งหินทรายสีส้มที่มีป้อมปราการตั้งอยู่บนเนินเขาท่ามกลางสวนอัลมอนด์ และรายล้อมไปด้วยแม่น้ำ Ounila เมืองแห่งนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกในปีค.ศ. 1987 และยิ่งในยามบ่ายที่พระอาทิตย์สาดส่องเข้ามายังเมืองนี้ ยิ่งดูมีเอกลักษณ์แปลกตายิ่งนัก
MARAKESH – The Dramatic City
เมือง มาราเคช 1 ใน 4 ของ อิมพีเรียลซิตี้แห่งโมร็อกโก ตั้งอยู่เชิงเขาแอตลาส เสน่ห์แห่งเมืองนี้คือสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์สไตล์มัวริชที่ผสานศิลปะโมร็อกกัน เข้าไว้กับศิลปะอิสลามิกที่มีความโดดเด่น จนทำให้ชื่อสียงของเมืองนี้โด่งดังไปทั่วโลก และในอดีตกาลนั้นเมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่พักของกองคาราวานอูฐที่เดินทางเพื่อมาทำการค้าขายจากทางตอนใต้ จึงเป็นแห่งชุมชนทางการค้าในสมัยอดีตที่โด่งดัง
จัตุรัสกลางเมืองเจมา เอล ฟนา (DJEMMA EL FNAA) เป็นจัตุรัสที่มีชื่อเสียง และเป็นแหล่งรวมสินค้า และอาหารนานาชนิด มีเวทีการแสดงกลางตลาดขนาดใหญ่ และเป็นที่ๆคนพลุกพล่านมาก จุดสะดุดตาคือมีการโชว์งู ด้วยการเป่าปี่ เหมือนที่ฉันเคยได้ดูจากในหนังอาหรับเลย ความงามในยามพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าคือ เมื่อแสงอาทิตย์ยามบ่ายตกกระทบกับบ้านเรือนที่ทาด้วยปูนสีส้ม สีเมืองจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูส้ม จนมาราเคชได้ชื่อว่าเป็น City of Drama นั่นคือเมืองที่มีความงามที่เหมือนภาพในภาพยนตร์ จุดเด่นของเมืองอีกอย่างคือมัสยิดคูดูเบีย ที่สามารถมองเห็นได้ในหลายๆมุมของเมืองด้วยความสูง 70 เมตร
อีกหนึ่งสถานที่สุดชิคแห่งมหานครนี้คือ สวนพฤกษศาสตร์ จาร์ดีน มาจอแอล (JARDIN MAJORELLE) หรือ สวนอีฟว์แซงโลค็อง ชื่อนี้สาวๆที่รักแฟชั่นคงจะคุ้นหูเป็นอย่างมาก รวมถึงฉันด้วยที่ชื่อชอบในแบรนด์นี้ ที่นี่คือบ้านตากอากาศของดีไซน์เนอร์ดังอย่าง อีฟว์แซงโลค็อง ในช่วงที่โมร็อกโกตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส อีฟว์ได้มาพักผ่อนคลายความเครียดจากการทำงาน ความโดดเด่นคือโทนสีที่ใช้ในการทาสีบ้าน สีน้ำเงิน สีส้ม สีเหลือง และสวนต้นกระบองเพชร และต้นไม้ทะเลทรายนานาพันธุ์ที่มีการจัดวางแต่งสวน ที่เรียกได้ว่า fashionable มาก
พระราชวังบาเฮีย (BAHIA PALACE) แปลอีกความหมายคือ “ราชวังแห่งความวิโรจน์” ถูกสร้างในศตวรรษที่ 19 โดย SI MOUSSA โดยมีความตั้งใจออกแบบให้มีความหรูหรานำสมัย โดยแต่ละห้องจะถูกออกแบบด้วยการแกะสลักปูนปั้น STUCCO ประดับประดาด้วยโมเสก อย่างสวยงามวิจิตร
Casablanca – Paint it White
“Oh a kiss is still a kiss in Casablanca But a kiss is not a kiss without your sigh. Please come back to me in Casablanca I love you more and more each day as time goes by”
บทเพลงบทนี้ดังก้องกังวานอยู่ในหัวตลอดทริปนี้ ซึ่งเป็นเพลง Casablanca จากภาพยนตร์เรื่อง Casablanca ที่สร้างในปีค.ศ. 1942 นี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้เมืองแห่งนี้กลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ที่ถ่ายทอดเรื่องราวความรักของชายหญิงสมัยสงครามโลกที่โมร็อกโกตกเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส แต่รู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้มีการถ่ายทำในโมร็อกโกเลย
จากบทเพลงดังอมตะมาสู่เมืองคาซาบลังก้า เมืองนี้แปลความหมายว่า บ้านสีขาว ที่มองไปทางไหนก็เห็นตึกรามบ้านช่องทาด้วยสีขาว และคาซาบลังก้าถือเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของราชอาณาจักรโมร็อกโกที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก ทางฝั่งตะวันตกของประเทศ มีประชากรอาศัยอยู่ถึง 5 ล้านคน
จุดน่าท่องเที่ยวแห่งเมืองนี้คือสุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 (MOSQUE HASSAN II) ที่ใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1993 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองพระชนมายุครบ 60 พรรษาของกษัตริย์ โดยออกแบบโดยมิเชล แปงโซ ซึ่งเป็นสถาปนิกชาวฝรั่งเศส
อ่านบทสัมภาษณ์เวอร์ชั่นเต็มได้ที่ LIPS E-Magazine April Issue
│Text & Photography : Ornnicha C.