อีกหนึ่งเรื่องราวภายใต้ธีม #NATURALEDUCATIONS ของ LIPS ในเดือนนี้ที่เราอยากบอกเล่าถึงผู้อ่านทุกคนก็คือ ‘Eco-Friendly City’ หรือเมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แม้ว่าประเทศของเราจะห่างไกลคำนี้อยู่มากโขหากเทียบกับเมืองต้นแบบด้านสิ่งแวดล้อมในนานาประเทศ แต่การที่เราศึกษาและมองพวกเขาเป็นต้นแบบและนำเอาจุดเด่นของแต่ละประเทศนั้นมาปรับใช้ให้ตรงกับปัญหาของเมืองใหญ่ในประเทศไทยก็คงเป็นเรื่องที่ดี
เพราะว่าทุกวันนี้มลพิษและการปล่อยก๊าซคาร์บอนนั้นเป็นปัญหาระดับโลกที่องค์กรระดับนานาชาตินั้นให้ความสำคัญจึงเกิดการประชุมความร่วมมือระดับนานาชาติมากมายเพื่อแก้ไขปัญหาและออกนโยบายเพื่อให้ประเทศทั่วโลกลดการปล่อยมลพิษและก๊าซคาร์บอนต่างๆ ที่ไปทำลายชั้นบรรยากาศของโลกซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้โลกของเรามีอุณหภูมิที่สูงขึ้น ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติรวมถึงทำลายระบบนิเวศน์บนโลกใบนี้โดยตรง
สาเหตุเหล่านั้นเองทำให้หลายๆ เมืองทั่วโลกหันมาใส่ใจในสิ่งแวดล้อมมากขึ้นโดยเร่งแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมผ่านการเคลื่อนไหวและนโยบายทั้งภาพรัฐและเอกชนต่างๆ เพื่อลดการทำลายสิ่งแวดล้อมและปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยที่สุด ซึ่งวันนี้เราได้คัดเลือกเมือง 5 เมืองที่โดดเด่นด้านความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งแต่ละเมืองนั้นมีจุดเด่นในด้านต่างๆ ที่แตกต่างกันจนได้รับฉายาว่าเป็นเมืองยั่งยืนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่สุดในโลกและจะมีเมืองไหนบ้างไปดูกัน!
Copenhagen ลดคาร์บอนผ่านการคมนาคมสีเขียว
เริ่มกันที่เมืองแรกอย่าง ‘Copenhagen’ เมืองหลวงของประเทศเดนมาร์ก เมืองนี้ได้รับการโหวตให้เป็นเมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในโลกอยู่หลายๆ ครั้ง เป็นเพราะความพยายามที่จะพัฒนาวิถีชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมาตั้งปี 2012 ที่รัฐบาลของประเทศเดนมาร์กได้เปิดตัวแผนที่จะเป็นเมืองหลวงที่ปราศจากคาร์บอนหรือ ‘Carbon-Neutral Capital City’ แห่งแรกของโลกภายในปี 2025
ซึ่งแผนอันยิ่งใหญ่ที่จะเป็น Carbon-Neutral Capital City แห่งแรกของเมืองนี้นั้นเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ เกิดขึ้นจากกลยุทธ์และความมุ่งมั่นที่ชัดเจนของภาครัฐและเอกชนที่ขับเคลื่อนให้ประชาชนนั้นลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้น้อยลงโดยมุ่งเน้นให้ประชาชนนั้นหันมาใช้จักรยานในการคมนาคมแทนการใช้ยานพาหนะส่วนตัวเพื่อเดินทาง โดยมีผลสำรวจออกมาว่ามีเพียง 29% ของครัวเรือนเท่านั้นที่มีรถยนต์ไว้ในครอบครอง
และอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เมืองนี้กลายเป็นผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมคือทั้งภาครัฐและเอกชนนั้นก็ได้ร่วมกันสนับสนุนให้ประชาชนได้หันมาใช้จักรยานในการเดินทางโดยการสนับสนุนในด้านต่างๆ เช่น การสร้างทางสัญจรสำหรับจักรยานที่มากขึ้น และการให้บริการกับประชาชนที่ใช้จักรยานในสถานที่สาธารณะต่างๆ ทำให้ประชาชนให้ความร่วมมือและมีความเชื่อมั่นในการคมนาคมสีเขียวนี้
Stockholm รักษ์โลกแบบองค์รวม
มาต่อกันที่เมืองที่สองอย่าง ’Stockholm’ เมืองหลวงของประเทศสวีเดนซึ่งเป็นเมืองที่เรียกไว้ว่ามีเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่ชัดเจนและครอบคลุมที่สุด อาจจะเป็นเพราะเมืองต่างๆ ในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย (Scandinavia) นั้นสามารถผสมผสานระหว่างองค์ความรู้และแนวทางปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี
การผสมผสานระหว่างแนวคิดและการปฏิบัติเข้าด้วยกันทำให้ Stockholm นั้นมีโรงแรมรักษ์โลก (Eco-Friendly Hotel) มากที่สุดในโลก และเป็นเมืองที่มีร้านเสื้อผ้ามือสองและร้านเสื้อรักษ์โลก (Sustainable Fashion) มากที่สุดในโลก นอกจากนั้น Stockholm เป็นเมืองเดียวในโลกที่สามารถรีไซเคิลสิ่งของในครัวเรือนได้ทั้งหมด และยังติดฉลากทุกสิ่งเพื่อบอกข้อมูลแหล่งที่มาของสิ่งของต่างๆ ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไปจนถึงประตูร้านของร้านอาหาร ทำให้ประชาชนสามารถตั้งคำถามและรู้ถึงที่มาของสิ่งของชิ้นนั้นได้
รวมถึงเป็นเมืองที่มีเป้าหมายจะเลิกใช้พลังงานฟอสซิลทั้งหมดภายในปี 2040 ด้วยการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) ที่สร้างขึ้นจากสิ่งปฏิกูลหรือขยะต่างๆ ทดแทนน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และพลังงานถ่านหินโดยนำเอาเชื้อเพลิงชีวภาพนั้นใช้เป็นพลังงานของยานพาหนะทั่วเมือง Stockholm
Portland เมืองแห่งพื้นที่สีเขียว
ถึงแม้ว่าว่าเมือง ‘Portland’ รัฐ Oregon ประเทศสหรัฐอเมริกานั้นจะมีจำนวนประชากรกว่า 647,000 คน ซึ่งหากเทียบเป็นกราฟแล้วนั้นเรียกว่าจำนวนประชากรของเมืองนี้นั้นเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในเวลาไม่นาน แต่เมื่อประชากรมากขึ้นเมืองนี้ก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวด้านต่างๆ เพื่อที่จำให้โลกนั้นมีสีเขียวมากขึ้นและพัฒนาวิถีชีวิตของผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองสุดคูลนี้ยั่งยืนอย่างเต็มรูปแบบ
อย่างแรกก็คือการสร้างเส้นทางสัญจรของจักรยาน 400 กิโลเมตรเพื่อทำให้การปั่นจักรยานของคนเมืองนี้นั้นเป็นเรื่องที่ง่ายและปลอดภัยแถมวางเส้นทางไว้รอบเมือง Portland เลยทำให้ประชากรกว่า 8% ของเมืองนี้ใช้จักรยานในการคมนาคมแทนการใช้รถยนต์ส่วนตัว และเมื่อมีต้นแบบจึงเกิดการความตระหนักและใส่ใจของประชาชนทำให้ผู้คนในเมืองนี้จำนวนกว่า 25% นั้นเกินทางด้วยจักรยาน การแชร์รถ และระบบขนส่งสาธารณะ
แต่นอกจากนั้น Portland มีสิ่งที่โดดเด่นกว่าเส้นทางปั่นจักรยานและประชากรที่เดินทางด้วยการคมนาคมสีเขียวที่เพิ่มมากขึ้น นั่นก็คือการเติบโตของพื้นที่สีเขียวอย่างป่าหรือสวนสาธารณะต่างๆ จนกลายเป็นหนึ่งในเมืองที่มีพื้นที่สีเขียวมากที่สุดในโลกกว่า 92,000 เอเคอร์หรือตีเป็น 232,760 เรียกว่าเยอะมากๆ นอกจากนั้นยังมีเส้นทางเดินป่าและเส้นทางสำหรับวิ่งไว้ให้ประชาชนมาซึมซับธรรมชาติกว่า 120 กิโลเมตร
Berlin เมืองแห่งยานพาหนะไฟฟ้า
หากได้ยินชื่อ ‘Berlin’ เมืองหลวงของประเทศเยอรมนีหลายคนคงไม่คิดว่าเมืองนี้จะติดอยู่ในลิสต์ Eco-Friendly City ด้วยเพราะว่าเมืองนี้จัดว่าเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกแห่งหนึ่งและมีประชากรกว่า 3.47 ล้านคน หลายคนอาจจะคิดว่าจำนวนประชากรและการเติบโตขึ้นภายในหัวเมืองนั้นอาจจะทำให้เมืองนี้ไกลกับคำว่ายั่งยืนอยู่มาก แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลยเพราะว่าภายใต้ความวุ่นวายเมืองนี้ยังมีจุดเด่นในเรื่องของความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่เติบโตไปพร้อมกับ GDP ของประชากรด้วย
Berlin เป็นเมืองที่มีพื้นที่สีเขียวมากที่สุดในยุโรปประกอบไปด้วยสวน สวนสาธารณะ และพื้นที่ป่ามากกว่าเมืองอื่นๆ ในยุโรป นอกจากนั้นประชาชนของเมืองนี้ยังหลงใหลในการรักษาสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นการรีไซเคิล การใช้พลังงานทดแทน และการเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืน แต่นอกจากนั้นสิ่งที่เรามองว่าเป็นจุดเด่นของเมืองนี้ก็คือที่รัฐบาลและเอกชนนั้นออกมาสนับสนุนให้ประชาชนใช้ยานพาหนะไฟฟ้าแทนยานพาหนะที่ใช้พลังงานน้ำมัน
ซึ่งไม่แปลกเลยเพราะว่าประเทศเยอรมนีนั้นเป็นจุดกำเนิดของแบรนด์รถยนต์ชั้นนำของโลกมากมาย เช่น Mercedez-Benz, BMW, Aud, Porsche และ Volkswagen ทำให้ประชาชนของประเทศนี้นั้นสามารถเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายๆ และเมือง Berlin นั้นก็ได้ติดตั้งจุดชาร์จมากกว่า 400 แห่งทั่วเมืองซึ่งถือว่าเยอะมากๆ นอกจากนั้นรัฐบาลยังสนับสนุนให้ประชาชนเปลี่ยนประเภทของรถยนต์มาใช้รถไฟฟ้ากันมากขึ้นและสนับสนุนให้แชร์รถยนต์ส่วนตัวเพื่อช่วยประหยัดพลังงานอีกด้วย
Cape Town ผู้นำด้านพลังงานทดแทน
เมืองสุดท้ายของลิสต์นี้มาจากทวีปแอฟริกาอย่างเมือง ‘Cape Town’ ประเทศแอฟริกาใต้ซึ่งเป็นเมืองที่เป็นผู้นำด้านความก้าวหน้าทางสิ่งแวดล้อมของทวีปแอฟริกาเลย เมืองนี้มีเป็นเมืองที่มีการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและการตระหนักถึงความยั่งยืนทำให้ติดอยู่ในลิสต์นี้ด้วย ด้วยความใส่ใจในด้านสิ่งแวดล้อมทำให้ภาครัฐของเมืองได้มองหาเทคโนโลยีใหม่เพื่อสร้างสถานที่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสร้างพลังงานทดแทนเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนจึงทำให้ในปี 2008 เมืองนี้ริเริ่มการใช้ฟาร์มกังหันลมเชิงพาณิชย์แห่งแรกของประเทศเพื่อผลิตพลังงานทดแทนและตั้งเป้าหมายว่าในปี 2020 ทั้งประเทศจะใช้พลังงานทดแทนกว่า 10% จากพลังงานทั้งหมดซึ่งเราคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ สำหรับประเทศที่มีพื้นที่และทรัพยากรในการสร้างพลังงานทดแทนเพื่อใช้แทนพลังงานฟอสซิลชนิดต่างๆ
นอกจากนั้น Cape Town กำลังผลักดันเรื่องวิถีชีวิตกลางแจ้งในอุดมคติไม่ต่างจากประเทศในแถบยุโรปที่เรากล่าวไปข้างต้น สิ่งแรกก็คือเมืองนี้ได้สร้างเส้นทางสัญจรสำหรับจักรยานที่ปลอดภัยและยังมีบริการ My CiTi โดยให้ผู้ที่สัญจรบนจักรยานสามารถนำขึ้นรถโดยสารได้ฟรีเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนนั้นเดินทางได้โดยไม่ต้องใช้รถยนต์ แถมยังตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านพลังงานทดแทนโดยที่ประชาชนในเมืองนี้เริ่มใช้โซลาร์เซลล์เพื่อใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์อีกด้วย