หลายครั้งที่เรื่องราวของใครบางคนก็ช่างเหลือเชื่อจนเกินวาดฝัน เช่นเดียวกับเส้นทางชีวิตของ นานิ – หิรัญกฤษฎิ์ ช่างคำ หนุ่มหน้าใสที่ในอดีตเขินอายต่อทุกเวทีประชันความหล่อ แต่ไม่วายที่ความโดดเด่นของเจ้าตัวกลับเปล่งประกายในสื่อโซเชียลของจังหวัด ซ้ำยังเข้าตาเซเลบริตี้ชื่อดังของเมืองไทย จนได้รับการทาบทามให้เข้าร่วมคัดเลือกนักแสดงในละครฟอร์มยักษ์ของ GMMTV เมื่อปี 2021
ครั้งแรกและครั้งเดียวก็เกินพอสำหรับโชคชะตาของนานิ การตัดสินใจ ‘คว้าโอกาสเพื่อแม่’ ในวันนั้นส่งผลให้นานิกลายเป็นนักแสดงนำดาวรุ่งของซีรีส์ F4 THAILAND: หัวใจรักสี่ดวงดาว BOYS OVER FLOWERS ทั้งยังแจ้งเกิดด้วยบทบาทเดียวกันกับตัวละครในภาพโปสเตอร์ F4 TAIWAN : รักใสใสหัวใจสี่ดวง ที่แม่ของเขาทิ้งร่องรอยแห่งความคลั่งไคล้ไว้บนประตูห้องน้ำมากว่า 20 ปี
แม้ทักษะตั้งต้นในวงการบันเทิงของนานิแทบเป็นศูนย์ แต่ความมุ่งมั่นและทุ่มเทของเขาก็ปรากฏผลในระยะเวลาอันรวดเร็ว ยอดผู้ติดตามใน IG ของนานิแตะหลักล้าน หลังซีรีส์ออกอากาศเพียงไม่กี่สัปดาห์ ล่าสุด เขาค้นพบเป้าหมายใหม่ที่เปี่ยมล้นด้วยแพสชั่น และกำลังจะมีผลงานซีรีส์อย่าง HOME SCHOOL นักเรียนต้องขัง ที่ถ่ายทำไปแล้ว 50% ต่อด้วย WEDNESDAY CLUB คนกลางแล้วไง มาให้หายคิดถึง
LIPS: ภาพความทรงจำของเด็กผู้ชายที่เติบโตในเมืองเหนือเป็นยังไงบ้าง เล่าให้ฟังหน่อย
นานิ: “ผมเกิดที่พะเยาแล้วย้ายมาอยู่เชียงใหม่ตั้งแต่เด็กครับ เพิ่งเข้ากรุงเทพฯ เมื่อ 2-3 ปีนี้เอง ผมโตมากับแม่สองคน เพราะคุณพ่อเสียตั้งแต่ยังเล็ก ผมว่าผมเป็นคนติ๋มๆ นะ (ยิ้ม) เคยเล่นทรัมเป็ตในวงโยธวาทิตของโรงเรียน ส่วนหนึ่งเพราะแม่อยากให้เป็นทหารดุริยางค์ แต่เล่นจนถึง ม.2 ก็ต้องลาออกจากโรงเรียนเก่าเพราะติดเพื่อน ขึ้น ม.3 นี่พีคมาก ดื้อจริงๆ โดนครูฟาดบ่อย แต่กับเพื่อนในห้อง เราสนิทกันมาก มีเรื่องสนุกเยอะ โดยเฉพาะเพื่อนสนิทที่ชื่อฟิล์มซึ่งเป็นคนตลกมาก เราแกล้งกันแรงๆ ตลอด แต่ไม่เคยโกรธกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งเราอยากสอบคณิตศาสตร์ให้ผ่าน แต่คาบเรียนนั้นเป็นวิชาภาษาอังกฤษ ผมเลยชวนเพื่อนสนิทโดดเรียนไปติวคณิตศาสตร์กัน 2 คน สุดท้ายก็สอบตกเหมือนเดิมทั้งคู่ (หัวเราะ) และด้วยความที่โดดเรียนบ่อย ผมเลยเน้นทำกิจกรรมให้โรงเรียน ครูอยากให้ช่วยอะไรผมก็เต็มใจหมด มีเป็นดรัมเมเยอร์ ไปแนะแนวให้น้องๆ เด็กประถมที่โรงเรียนอื่น ฯลฯ เลยค่อนข้างสนิทกับคุณครู
“ผมว่าการใช้ชีวิตกับเพื่อนมัธยมต้น – มัธยมปลาย มีความสุขที่สุดครับ มันดีมากเลย ทำให้ผมเรียนรู้แล้วก็มีความสุขจนถึงทุกวันนี้ ถ้าได้กลับไปผมก็อยากจะทำอะไรเหมือนเดิมนะ หลายประสบการณ์ทำให้ผมโตขึ้น มองย้อนกลับไปมันสนุก แต่ถ้ามีลูก บางอย่างเราก็ไม่อยากให้ลูกทำแบบนั้น (หัวเราะ)
LIPS: การใช้ชีวิตสองคนแม่-ลูก ในมุมมองของเราในเวลานั้นเป็นอย่างไร
นานิ: “มีทั้งช่วงเวลาที่ดี แล้วก็ช่วงเวลาที่เราโดนโกงเรื่องบ้านครับ ตอนนั้นทุกอย่างค่อยๆ ดรอปลง แต่ไม่ถึงกับลำบากมาก ผมเห็นแม่ทำงานมาตลอดเลยจะค่อนข้างเซนซิทีฟกับเรื่องแม่ เวลาอยากกินอะไร ผมจะไม่ค่อยกล้าขอ เพราะสงสารแม่ รู้ว่าถ้าขอแล้วแม่ให้แน่ แต่แม่คงจะลำบาก คงจะเหนื่อยขึ้น ผมเลยชอบปฏิเสธ บอกว่า ‘ไม่เป็นไร’ แต่คนเป็นแม่ก็จะดูออกครับว่าเราอยากกินหรืออยากได้อะไร เขาก็จะหามาให้อยู่ดี”
LIPS: สิ่งนี้ผลักดันให้นานิเข้าสู่วงการบันเทิงมั้ย ทำอะไรมาบ้างก่อนแคสต์ซีรีส์ F4 THAILAND: หัวใจรักสี่ดวงดาว BOYS OVER FLOWERS
นานิ: “จริงๆ ผมไม่ได้มีภาพของการเข้าวงการบันเทิงเลย ไม่รู้สึกว่าตัวเองหล่อหรือเหมาะสม แต่แม่เคยประกวดนางงามจังหวัดครับ เขาชอบทางนี้เลยมากรอกหูผม เวลาเห็นที่ไหนรับสมัคร แม่ก็จะมาขอว่าไปให้แม่หน่อย ซึ่งตอนนั้นผมไม่เอาเลย เขินมาก ต่อรองว่า ‘ไม่ประกวดได้มั้ย เดี๋ยวจะตั้งใจเรียนให้ (หัวเราะ) จะทำงานอย่างอื่นหาเงินเลี้ยงแม่นะ’ คุยกับแม่อย่างนี้มาตลอด
“(ฝันของแม่สำเร็จตอนไหน?) สุดท้ายก็ยอมไปประกวดบ้างครับ แต่ทำแบบไม่ค่อยตั้งใจเพื่อที่จะได้ไม่ต้องผ่านเข้ารอบ เหมือนไปเพื่อให้แม่สบายใจ แค่แม่ได้เห็นผมในกล้องนิดหน่อย แม่ก็ยิ้มแล้วครับ
“พออายุ 20 ต้นๆ เริ่มเห็นว่าแม่แก่ลง ทำอะไรไม่ค่อยคล่อง ผมก็ไม่ได้ขอเงินแม่แล้ว พยายามหาเงินด้วยตัวเองทุกทาง เช่น จากการเล่นเกม จากงานถ่ายแบบในเชียงใหม่ เคยแอบแม่สมัครงานยกของด้วย แม่เพิ่งบอกเมื่อเร็วๆ นี้เองว่าจริงๆ แม่รู้ เพราะบริษัทนั้นโทรกลับมา แต่แม่บังเอิญรับสายแทนเลยปฏิเสธไป”
LIPS: โอกาสในการเข้าร่วมคัดเลือกนักแสดงซีรีส์ F4 THAILAND: หัวใจรักสี่ดวงดาว BOYS OVER FLOWERS มีที่มาอย่างไร
นานิ: “แอดมินเพจ ‘ช้างเผือกอยู่ในป่า’ ที่เชียงใหม่ เขารู้จักกับพี่ก้อง HIVE SALON (กฤษฏิ์ จิระเกียรติวัฒนา) เลยเชิญผมไปร่วมงานหนึ่งของพี่ก้องครับ หนึ่งปีผ่านไป พี่ก้องถึงโทรมาว่าอยากให้ลองมาแคสต์ F4 แม่ผมชอบ F4 เวอร์ชั่นไต้หวันมาก มีซีดี มีสติ๊กเกอร์เต็มห้อง พอแม่ได้ยินก็ดีใจ ผมเลยรีบคว้าโอกาสนี้ไว้ให้แม่ ไม่อยากเห็นแม่เหนื่อยแล้ว ประกอบกับเงินที่เราหาได้ในตอนนั้นก็เลี้ยงตัวเองแทบไม่ไหว เลยตั้งใจแคสต์ดู
“(เตรียมตัวยังไงบ้าง มีบทให้ซ้อมก่อนมั้ย) ไม่เลยครับ มาถึงกรุงเทพฯ พี่ก้องถามว่า ‘สภาพนี้เลยหรือ’ (หัวเราะ) ตอนนั้นผมยาวมาก เพราะร้านตัดผมปิดกันหมดช่วงโควิด แกก็เลยให้คนเอาอุปกรณ์มาให้แล้วตัดข้าง ๆ ออก จับมัดให้พอเรียบร้อย
“ผมว่าการแคสต์งานยากมาก มีแต่คนสูง คนหล่อ ตอนเขาประกาศว่าแคสต์ผ่าน ผมยังช็อกรีบโทรบอกแม่ว่า ‘เขาเลือกนานิ’ เท่านั้นละแม่ผมกรี๊ดดังออกมาจากโทรศัพท์ จนต้องรีบวางสายเพราะอยู่ในลิฟต์
“(แม่อยากให้ได้บทใคร) ‘วิค’ ครับ (เจ๋อเล่ย เวอร์ชั่นไต้หวัน / เร็น เวอร์ชั่นไทย) แม่ชอบมาก แต่ผมชอบ ‘แวนเนส’ (เหม่ยจั้ว เวอร์ชั่นไต้หวัน / เอ็มเจ เวอร์ชั่นไทย) ซึ่งเป็นรูปที่แม่ติดประตูห้องน้ำ ผมเห็นทุกวันตั้งแต่เด็กจนโต (หัวเราะ) ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้รับบทเขา เป็นอะไรที่มหัศจรรย์มากๆ”
LIPS: ในที่สุด F4 THAILAND: หัวใจรักสี่ดวงดาว BOYS OVER FLOWERS ก็ประสบความสำเร็จมาก ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ไทยทุกอีพี รวมถึงยอด IG ของนานิในเวลานั้นก็แตะ 2 ล้านบัญชีผู้ใช้อย่างรวดเร็ว ช่วยเล่าจังหวะนั้นแบบสโลว์โมชั่นหน่อย
นานิ: “ผมนั่งอยู่ในห้องน้ำแล้วมือสั่นอยู่อย่างงี้ (ทำท่าประคองมือถือพร้อมจ้องหน้าจอ) ผู้ใหญ่บอกว่าจะปล่อยทีเซอร์แรกตอน 6 โมงเย็น ผมก็ดูเวลาจน 5.59 น. พยายามเลื่อนหน้าจอให้มันรีเฟรช พอคลิปเด้งขึ้นมาก็กดดูทันที ผมมือสั่นน้ำตาไหล รู้สึก..หูว..เท่จัง ตื่นเต้นแต่ก็ต้องรีบลง IG ตัวเองเพื่อโปรโมทด้วย
“จำได้ว่ายอดฟอลของผมตอนนั้น จาก 10K ไป 20K ไม่นานก็ 30K เป็น 50K แล้วก็ขยับไป 70K จนก่อน F4 ออนแอร์ก็แตะ 100K ผมก็โอ้โห…จินตนาการถึงโรงเรียนที่มีเด็ก 2,000 – 3,000 คน มายืนอยู่ตรงหน้าก็ว่าเยอะแล้ว แต่นี่หนึ่งแสนคนจะเยอะขนาดไหน ช่วงนั้นก็เริ่มเอ๊ะว่าต้องทำตัวยังไง? จนวันหนึ่งที่ F4 ออนแอร์มาสักพัก พวกผม (ไบร์ท วชิรวิชญ์, วิน เมธวิน, ดิว จิรวรรตน์) กำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่ร้าน ผมก็บอกเพื่อนๆ ว่า “เฮ้ยตื่นเต้น…ไอจีจะถึงล้านแล้ว” เราเลยได้เคานต์ดาวน์ไปด้วยกัน เป็นโมเมนต์ที่แฮปปี้มากครับ”
LIPS: ทางต้นสังกัดเค้ามีไกด์ไลน์หรือข้อแนะนำมั้ยสำหรับการรับมือกับความโด่งดังชั่วข้ามคืน
นานิ: “เขาบอกแค่ว่าพอผลงานออกไปจะมีคนรู้จักมากขึ้น ควรวางตัวยังไง เตรียมตัวยังไง ถ้าต้องเจอสถานการณ์นั้นนี้ แล้วผมก็ฟังมาค่อนข้างเยอะว่าเราจะใช้ชีวิตเหมือนเดิมไม่ค่อยได้ ตอนนั้นก็ยังคิดว่ามันขนาดนั้นเลยหรือ จนออกมาข้างนอกก็เริ่มมีคนขอถ่ายรูป มีคนรู้จัก แต่ผมก็ยังใช้ชีวิตแบบเดิม อยากไปกินข้าวร้านไหนก็ไป เอาความเป็นตัวเองนี่แหละครับค่อยๆ เรียนรู้กับมันไป โชคดีที่ผมมีไบร์ทกับวินซึ่งมีประสบการณ์มาก่อน เราก็เรียนรู้จากเขา และเอาจริงๆ ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองดัง เพราะสองคนนั้นเขาดังกว่า”
LIPS: นานิทั้งร้องและแร็ปในเพลงประกอบซีรีส์ F4 THAILAND: หัวใจรักสี่ดวงดาว BOYS OVER FLOWERS ปกติร้องเพลงอยู่แล้ว หรือเป็นสกิลที่เพิ่งฝึกพร้อมละคร
นานิ: “ขอไปเรียนร้องเพลงครับ ส่วนแรปผมฝึกเอง ใจผมอยากอยู่แล้ว เพราะชอบฟังเพลงทุกแนวตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าลูกทุ่ง ป๊อป ร็อก ฯลฯ คนที่เขาทำเพลงกันเองแบบไม่มีสังกัด ผมก็ตามฟังหมด ทั้งไทย ทั้งต่างชาติ จนวันหนึ่งก็รู้สึกว่าเราชอบดนตรีแบบจริงจังเลยนะเนี่ย เราแฮปปี้กับมัน อย่างทรัมเป็ตผมขอแม่ซื้อเพราะอยากฝึกเองทุกเย็นที่บ้าน เรียนรู้ตัวโน้ตเอง เรียนรู้วิธีการเป่า ผมว่ามันเป็นสกิลติดตัวที่ดี”
LIPS: ในซีรีส์เรื่องใหม่แนวลึกลับ ‘HOME SCHOOL นักเรียนต้องขัง’ ซึ่งกำลังถ่ายทำ นานิยังคงต้องสวมบทตัวละครวัยมัธยม เราดีไซน์คาแรคเตอร์ยังไง ยากไหมที่หนุ่มวัย 25 อย่างเราต้องเล่นเป็นเด็กอายุ 16
นานิ: “ยากครับ อย่างแรกที่คิดคือจะทำยังไงให้ดูเด็กลง ลองนึกภาพตัวเองตอนอายุ 16 ก็เลยตัดผม สองคือลดน้ำหนัก จาก 70 กิโลกรัม ตอนนี้เหลือประมาณ 62 จนผู้ใหญ่บอกว่าผอมเกินไปแล้ว เพราะเขาไม่รู้ว่าผมตั้งใจจะลดน้ำหนักเพื่อให้ดูเป็นเด็กนักเรียน พี่ผู้กำกับบอกว่าคาแรกเตอร์ของตัวละครในเรื่องจะคล้ายผมเลย เขาถอดมาจากผมที่เป็นคนนิ่งๆ ไม่ค่อยพูด ซึ่งผมว่ามันยากมากเลยที่ต้องเล่นเป็นตัวเอง แต่ให้อยู่ในคำพูดและความคิดของตัวละคร (ได้ข่าวว่านานิกลัวผีด้วย?) มาก…ก แต่บรรยากาศในกองถ่ายไม่น่ากลัวครับ มีบ้างตอนกลางคืนที่มันเป็นป่าเราก็เริ่มระแวงละ มองซ้ายมองขวา (หัวเราะ) แต่จริงๆ ไม่มีอะไรครับ”
LIPS: การร่วมงานกับ ‘ดิว’ อีกครั้งในเรื่อง HOME SCHOOL เป็นอย่างไร ฉากไหนที่อยากให้ติดตามมากที่สุด
นานิ: “เราพลิกบทบาทกันเลยครับ ผมจากร่าเริงมานิ่งๆ ส่วนดิวจากนิ่งๆ เป็นพูดเยอะกว่าเดิม เรื่องนี้เราเป็นเด็กธรรมดาที่ไม่ต้องดูสมาร์ทตลอดเวลา ใช้ชีวิตในโรงเรียนกับเพื่อนๆ แต่พอเจอเรื่องราวที่เข้ามาก็จะมีวิธีการรับมือในรูปแบบที่แตกต่างกัน ซึ่งตัวละครทั้ง 13 ชีวิต มีเสน่ห์และมีสตอรี่ของตัวเองที่น่าติดตามจริงๆ แล้วก็มีฉากที่ผมไม่เคยเล่น ไม่เคยอยู่ในจุดนั้นเลย พอได้มาเล่นแล้วรู้สึกอินมากครับ คิดว่าน่าจะถ่ายทอดออกมาได้ดี ฉากนี้อยู่ในซีนท้ายๆ ของเรื่อง ไม่อยากสปอยล์เลย อยากให้ทุกคนอดใจรอดูกันนิดนึงนะครับ”
LIPS: นานิมีซีรีส์อีกเรื่องที่อยู่ในคิวถ่ายทำคือ WEDNESDAY CLUB
นานิ: “ใช่ครับ จะเริ่มถ่ายต่อจาก HOME SCHOOL เป็นเรื่องราวของกลุ่มเพื่อนมหาวิทยาลัยที่เป็น ‘ลูกคนกลาง’ เรามีกฎอยู่ว่าห้ามรักเพื่อนในกลุ่ม แต่ปัญหาเกิดเมื่อเริ่มชอบกันเอง มันเลยเกิดการหักหลังขึ้น”
LIPS: มีบทบาทไหนมั้ยที่อยากลองสวมคาแรกเตอร์เป็นพิเศษ อยากสลัดเครื่องแบบวัยเรียนแล้วรึยัง
นานิ: “อยากสลัดคราบเพลย์บอยด้วยครับ ผมอยากลองบทบาทใหม่ ๆ เช่น เล่นเป็นผี คนโรคจิต ซูเปอร์ฮีโร่ อย่างล่าสุดผมไปดู ‘ขุนพันธ์ 3’ มา โอ้โหอยากเล่นหนังแอ็คชั่น อยากเล่นบทเสือเลย…เท่มาก”
LIPS: เตรียมตัวอย่างไรกับการทัวร์ SHOOTING STAR ASIA TOUR ในต่างแดน โดยเฉพาะในเดือนเมษายนนี้ที่ต้องขึ้นแสดงที่ ‘เกาหลี’ ซึ่งเป็นประเทศที่อุตสาหกรรมบันเทิงสตรองมากในระดับโลก
นานิ: “ก็กดดันนะครับ รู้สึกเหมือนเราเป็นรุ่นน้อง ต้องฝึก ต้องทำการบ้านเยอะๆ ในรูปแบบที่ยังคงเป็นตัวเราเอง ซึ่งแต่ละประเทศที่ไปก็จะไม่ค่อยเหมือนกัน ด้วยผู้คน ด้วยสถานการณ์หน้างาน ฯลฯ สิ่งนี้ก็ทำให้เราเก่งขึ้น อย่างที่เวียดนามก็ค่อนข้างว้าวครับ ผมเซอร์ไพรส์ทั้งแฟนคลับ ทั้งเวที ผมชอบมากเพราะมีพื้นที่ให้เล่นเยอะ ซึ่งผมรู้สึกว่ามันช่วยเพิ่มอินเนอร์ให้เราได้”
LIPS: มีวิธีจัดการกับความตื่นเต้นก่อนขึ้นเวทียังไงบ้าง
นานิ: “ไม่เคยหายเลยครับความตื่นเต้นเนี่ย รู้สึกว่าการขึ้นเวทีมันคือความสดทุกครั้ง ผมชอบคุยเยอะๆ ไม่ค่อยอยู่นิ่ง ในช่วงเตรียมตัวจะฟังเพลงตลอด ฝึกร้องบ่อย ๆ ฝึกกับกระจกที่บ้านเพราะไม่ค่อยมีเวลา ถ้าถามว่าอนาคตอยากมีสเตจของตัวเองมั้ย? ครับ…ผมอยากทำโชว์ดี ๆ สักโชว์นะ ผมพร้อมทุ่มเลย SHOOTING STAR ASIA TOUR ครั้งแรกที่ไทย ผมทุ่มให้กับมันมาก พอทำงานเสร็จหรือฝึกเช้าถึงค่ำเสร็จ ตกดึกผมก็ไปเรียนเต้นต่อ ขอเค้าซ้อมเพิ่ม ทำแบบนี้ทุกวันจนก่อนขึ้นสเตจ ทำให้ผมรู้ตัวเองว่าจริงๆ แล้วรักงานตรงนี้มาก”
LIPS: อาการมันเป็นยังไง ความรู้สึกที่ว่ารัก
นานิ: “ชอบมาก…ก อยากทำมากกว่าเดิม อยากทำให้ดีกว่าเดิม อยากเรียนเต้น อยากทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อโชว์บนเวที ผมสามารถทุ่มเทให้สิ่งนี้ได้โดยที่ไม่ต้องมีใครสั่ง จนพี่ผู้จัดการเขาบอกผมว่าพักเถอะ มันหนักไปแล้ว เพราะผมซ้อมจนเจ็บเข่าเจ็บขา แต่ก็ยังแอบไปเต้น เพราะรู้สึกว่าต้องทำให้ได้ มีแดนเซอร์ที่เขาอุตส่าห์รอ และกว่าจะรวมตัวกันได้ก็ยาก ผมเลยทุ่มเทมาก ทำงานหรือทำอะไรเสร็จก็จะซ้อมเต้น พวกผม (พระเอก F4) เคยคุยกันว่าถ้ามีโอกาสมากกว่านี้ก็อยากจะทำโชว์ใหญ่ๆ เพื่อให้คนดูได้อรรถรสกันเต็มที่”
LIPS: ทราบมาว่าตอนเรียนนานิเคยฟอร์มวงดนตรีกับเพื่อน ๆ ด้วย
นานิ: “ใช่ครับ ช่วงที่หนังเรื่อง SUCKSEED ดัง มันเท่มากเลยชวนกันทำวงครับ ผมเล่นเบส จำชื่อวงไม่ได้ แต่ไปซ้อมกันบ่อยมาก (หัวเราะ) ตอนนี้ผมกำลังคิดทำเพลงของตัวเองแบบจริงจัง อยากเป็นศิลปินที่ได้หมกหมกมุ่นกับการทำเพลง แบบอยู่ในห้องอัด ใช้อินเนอร์ใช้จิตวิญญาณไปกับมัน ใจอยากเล่นกีตาร์ไปด้วย ร้องเพลงไปด้วย แต่ยังเล่นไม่เป็นครับ พยายามฝึกอยู่ ช่วงนี้ผมฟังเพลงหลายแนวและฟังเยอะมาก เพื่อที่จะได้ซึมซับแล้วก็ถ่ายทอดในแบบที่เราชอบ กำลังศึกษาเรื่องบีทด้วยครับ ผมใช้วิธีหาบีตฟรีในยูทูบแล้วลองออกแบบทำนองเอง ลองจังหวะหลายๆ แบบ เผื่อในอนาคตได้ใช้ ผมมีเพลงที่แต่งเก็บเอาไว้อยู่หนึ่งเพลง”
LIPS: หนึ่งเพลงถ้วนที่แต่งเสร็จแล้วมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร แฟนด้อม KOTAE จะมีโอกาสได้ฟังเมื่อไหร่
นานิ: “ยังไม่มีชื่อเพลงครับ เกิดจากตอนนั้นผมถามแม่ว่า ถ้าอยากทำเพลงต้องทำยังไง? แม่เลยบอกว่าคิดอะไรก็เขียนไป ผมก็เลยเขียนเลย เนื้อหาคือเราอยากอยู่กับคนๆ หนึ่ง อยากเจอหน้าทุกวัน แค่แบบตื่นเช้ามาเจอเค้าก็แฮปปี้แล้ว เป็นเพลงน่ารักๆ ครับ ผมกำลังเรียนรู้กระบวนการผลิตดนตรี รอให้ทุกอย่างพร้อมก่อน”
LIPS: สิ่งที่กำลังอินหรือแพสชั่นล่าสุดในตอนนี้คืออะไร
นานิ: “ผมอินดนตรีไม่หายเลยจริงๆ ยังไงชีวิตนี้ต้องทำเพลงของตัวเองให้ได้ การเป็นนักแสดงเป็นสิ่งที่ผมชอบรองลงมา เป็นความท้าทายในแบบที่เราอยากจะเป็นตัวละครตัวนั้นตัวนี้ แต่การทำเพลง ผมสามารถนำสิ่งที่พบเจอใหม่ในชีวิตทุกๆ วัน มาแต่งเพลงได้เรื่อยๆ”
LIPS: โดยส่วนตัวเป็น ‘สายแฟ’ มั้ย
นานิ: “เราน่าจะชอบแต่งตัวแหละ แต่ไม่รู้ว่าเรียกว่าแฟชั่นได้มั้ย ผมว่าการแต่งตัวออกจากบ้านของแต่ละคนก็คือ ‘ความมั่นใจ’ เรารู้สึกว่ามันดูดีในแบบของเรา อย่างวันนี้ผมแต่งตัวแบบนี้ บางคนอาจจะไม่ชอบ แต่จริงๆ แล้วแค่เราสบายใจ อยากแต่งแบบไหนก็แต่ง พอเราแฮปปี้ มันก็เท่ได้เองในแบบที่เป็นตัวเรา”
LIPS: มุมมองต่อวงการเปลี่ยนไปมั้ย ตั้งแต่ก่อนเข้าจนดังเปรี้ยงในชั่วข้ามคืน และกลายเป็นดาวรุ่งมาร่วมปี
นานิ: “มุมมองเปลี่ยนไปเยอะครับ เมื่อก่อนเราเป็นคนดูก็จินตนาการว่านักแสดงคงเป็นแบบนั้นแบบนี้ตามละคร แต่พอได้เข้ามาในวงการ การทำงานมันจะมีสเต็ป ได้เจอผู้คน ได้เรียนรู้หลาย ๆ อย่าง เจอมาเยอะ ทั้งเรื่องดี เรื่องไม่ดี อะไรพูดได้ พูดไม่ได้ ผ่านมาหมดแล้ว มันก็มีช่วงที่ผมดาวน์มากๆ แต่สุดท้ายเราก็ต้องรักตัวเองแล้วฮึบให้ลุกขึ้นมา เพราะแทบไม่มีใครช่วยเราได้ ถ้าเราไม่ช่วยให้ตัวเองลุกขึ้นมาสู้ (ถึงขนาดเสียน้ำตามั้ย?) แน่นอนครับ ผมว่าเป็นกันทุกคน ถ้าต้องผ่านอะไรหลายๆ อย่างที่มันยากลำบาก”
LIPS: ได้เรียนรู้อะไรบ้างจากประสบการณ์ที่ทำให้เสียน้ำตาในวัยเบญจเพส
นานิ: “เยอะเลยครับ ข้อเสียอย่างหนึ่งคือ ผมค่อนข้างให้ใจกับคนอื่นมากเกินไป จนเราแทบไม่รักตัวเอง เหมือนให้ใจไปและหวังว่าเขาจะให้ใจเรากลับ ถ้าเราดีกับเขาก็หวังว่าเขาจะดีกับเรา แต่จริง ๆ แล้วคนบนโลกไม่เหมือนกัน เขาไม่ผิดนะ เราไม่สามารถเปลี่ยนใครได้ ถ้าเราทำดีอยู่แล้วก็ทำดีต่อไป รักษาความดีไว้ อย่าหวังว่าเขาจะเป็นยังไงกับเรา ไตร่ตรองตัวเองให้มากขึ้น ให้ความรักกับตัวเองมากขึ้น ให้ความเป็นส่วนตัวกับตัวเองมากขึ้น ไม่ต้องวิ่งตามคนอื่นขนาดนั้น ที่สำคัญคือเรียนรู้จากอะไรที่เคยล้ม แล้วนำมาแก้ไขตัวเองครับ”
LIPS: สิ่งที่จะทำให้นานิยิ้มได้มีอะไรบ้าง
นานิ: “คนที่เรารัก คนที่เราอยากอยู่ด้วยครับ หรือแค่ได้ไปเที่ยวก็มีความสุขแล้ว ผมชอบเที่ยวธรรมชาติ ชอบทะเล ชอบภูเขา อะไรที่สบายหูสบายตา มันผ่อนคลายดีครับ ไปต่างประเทศก็อยากไปดูธรรมชาติบ้านเค้า ล่าสุดเพิ่งไปถ่ายละครที่กาญจนบุรี เป็นทะเลสาบที่ข้างหน้าเป็นภูเขา ชอบมาก..ก สวยมาก..ก (ใช่เขื่อนมั้ย) ใช่ๆ มันเป็นป่า มันโล่ง แล้วก็ลมเย็น รู้สึกดีมากครับ ไม่อยากลุกไปไหนเลย ผมสามารถเอาเก้าอี้ไปนั่งเฉยๆ อยู่ตรงนั้นได้ทั้งวัน ผมเป็นคนที่สโลว์ไลฟ์ เอื่อยๆ ต่อนยอน (ยิ้ม)”
Words: Sasi Akkomee
Photos: Somkiat Kangsdalwirun