เป็นเวลากว่า 2 เดือนแล้วที่ฉันพยายามทำ Social Media Detox ด้วยการคว่ำหน้าโทรศัพท์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผลก็คืองานการพังพินาศ โดนเพื่อนร่วมงานด่ายับ เพราะขาดการติดต่อหายหัวตามตัวไม่ได้ในยามคับขัน ในโลกที่ทุกคนทำงานผ่านเน็ต Work from Everywhere ดูเหมือนเราจะตัดตัวเองออกจาก Notification มือถือไม่ได้เลย จะให้คว่ำมือถือห่างไกลหน้าฟีดที่ทำให้เราสมาธิสั้น เราก็พาลจะพลาดงานสำคัญไปด้วย
จะมีไหมนะสมาร์ตโฟนที่ต่อให้คว่ำหน้าโทรศัพท์อยู่ แต่ก็รู้ได้เมื่อมี Noti สำคัญเด้งมา คำตอบคือ มีมาเป็นปีแล้วจ้า ที่สำคัญเขาอัปเกรดออกรุ่น 2 กันในปีนี้แล้วด้วยกับ Nothing Phone 2 สมาร์ตโฟนแนวคิดใหม่ที่กลับมาท้าชนเรือธงด้วยดีไซน์ฝาหลังใสแจ๋ว เส้นไฟ LED วิบแวบฟังก์ชั่นไม่เหมือนใครกับคอนเซ็ปต์คว่ำมือถือบนโต๊ะด้วย Glyph interface เป็นมือถือคว่ำเครื่องที่ช่วยแก้ปัญหาสังคมก้มหน้า
ย้อนกลับไปเดือนกรฎาคม ปี 2022 Nothing Phone รุ่นแรกเปิดตัวมาในราคา 18,900 บาท ด้วยราคาปานกลาง ทำให้หลายคนปรามาศว่า Nothing Phone เป็นแค่มือถือแบรนด์เด็กใหม่ที่พยายามหาแสงด้วยลูกเล่นหวือหวา แต่ด้วยยอดขายกว่า 8 แสนเครื่องภายใน 1 ปี และเสียงตอบรับที่ดีกับดีไซน์ด้านหลังอันเป็นเอกลักษณ์ ฝาหลังใสกิ๊ง โชว์ความโปร่งใสไร้การคอร์รัปชัน มี Glyph interface เส้นไฟ LED สร้างลวดลายล้อไปกับเครื่องด้านใน แถมด้วยฟังก์ชั่นที่ทำงานยามคว่ำเครื่องบนโต๊ะ
Nothing Phone 2 สมาร์ตโฟนเรือธง
ในเดือนกรกฎาคมปีนี้ เขากลับมาใหม่กับรุ่น 2 ในฐานะสมาร์ตโฟนเรือธง ที่อัปเกรดมาเต็มพิกัดในทุกมิติ ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 24,990 บาท ซึ่งยังคงดีไซน์สไตล์เดิม เพิ่มเติมลูกเล่นของ Glyph interface ที่สามารถทำงานเป็น Progress Bar ได้ในหลายฟังก์ชั่น เช่น เป็นแถบบอกจับเวลานับถอยหลังตอนตั้ง timer หรือ บอกตัวแหน่งอูเบอร์ (ซึ่งไม่มีบริการในประเทศไทย อ้าว เซ็งเลย) หรือจะเป็นแถบบอกระดับเสียง สำหรับปรับวอลุ่ม
ต่างจากรุ่น 1 ที่เส้นไฟ LED ด้านหลังเชื่อมต่อกันเป็นส่วนใหญ่ มาในรุ่น 2 เส้นไฟของ Glyph interface ถูกแยกย่อยเป็นส่วนๆ เพื่อให้เราสามารถเซตให้เส้นไฟแต่ละส่วน เชื่อมต่อกับ Notification ของแต่ละแอปพลิเคชันได้ตามต้องการ ทำให้เราสามารถโฟกัสกับการแจ้งเตือนที่จำเป็นในการทำงาน หรือไลฟ์สไตล์ของเราจริงๆ เท่านั้น โดยไม่ต้องหงายหน้าจอขึ้นมาดู เป็นฟังก์ชั่นที่เหมาะมากสำหรับคนที่ต้องการลดการไถฟีดหน้าจอให้น้อยลง
อีกหนึ่งฟังก์ชั่นใหม่ของ Glyph interface ที่ดูจะเหมาะกับเด็กยุค 90 ที่เติบโตมากับเสียงโมเด็ม เครื่องแฟ็กซ์ และริงโทนมือถือ คือ เราสามารถสร้างสรรค์เสียงเรียกเข้าพร้อมแพตเทิร์นการกระพริบของ Glyph interface แล้วผูกกับเบอร์โทรของคนที่โทรเข้ามาได้ โดยเสียงที่เซตมาให้ใช้ก็สุดจะล้ำสมัยยุค Y2K ออกแนวเสียงเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกในหนังไซไฟไซเบอร์พังก์ ตั้งแต่เสียงต่อโมเด็ม 56K จนถึง ปี๊บ ปี๊บบบบ ขอสัญญาณแฟ็กซ์ด้วยค่ะ
นอกจากสไตล์เสียงแล้ว ดีไซน์ของอินเตอร์เฟซของระบบปฎิบัติการก็มาแบบธีมเดียวกัน ฟอนต์แบบจุดพิกเซล สีแบบโมโนโครม มีการลดทอนไอคอนของแอปพื้นฐานต่างๆ ที่มากับตัวเครื่องให้เป็นสองสี และทำให้เป็นพิกโตแกรมเหมือนสัญลักษณ์ของกีฬาต่างๆ ในการแข่งขันโอลิมปิก ทำให้ธีมออกมาดูเรียบแต่เท่ ไซไฟ Y2K เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Nothing OS 2.0 ที่พัฒนาขึ้นมาครอบบนแอนดรอยด์ 13 อีกที
ต่อด้วยเรื่องสเปก Nothing Phone 2 พัฒนามาใช้ชิปเซตระดับเรือธง Snapdragon 8 Gen 1 พร้อมรับการประมวลผลจากกล้องหลังความละเอียด 50 MP 2 ตัว เปลี่ยนเซ็นเซอร์ภายในให้ใหญ่ขึ้นกว่ารุ่น 1 โดยใช้เป็น IMX 890 ของ Sony รับแสงดีขึ้น ถ่ายรูปในที่มืดได้ดีกว่าเดิม ระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS และ EIS กล้องอัลตร้าไวด์เป็นเซ็นเซอร์ Samsung JN1
กล้องหน้าจากเดิม 16 MP ก็กดเพิ่มเป็น 32 MP พร้อมเซนเซอร์ Sony IMX615 น้ำหนักโดยรวมของเครื่องอยู่ที่ 200 กรัมกำลังเหมาะมือ ไม่เบาหวิวกิ๊กก๊อก หน้าจอขยายจากรุ่นหนึ่ง ที่ 6.55 นิ้ว เป็น 6.7 นิ้ว (เท่ากับไอโฟนรุ่น Pro max) ซึ่งถือว่าใหญ่ใช้สะดวก
แม้สเปกโดยรวมจะถือว่าตามหลังรุ่นท็อปของแบรนด์ใหญ่เรือธง แต่ด้วยภาพรวมที่ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ประกอบกับราคาที่คุ้มค่า ใครที่ชอบมือถือดีไซน์ยูนีกไม่ซ้ำใคร และอยากลองฟังก์ชั่นที่เอาไปช่วย Social Media Detox อย่างที่กล่าวมา Nothing Phone 2 จัดจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการแล้วตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคมนี้ที่ dotlife, KOAN, Shopee และ Lazada Nothing Official Store ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ th.nothing.tech
ส่วนฉันคงไม่พลาดแน่นอน เพราะอยากลองเอามาใช้ Social Detox มากก รับรองถอยมาวันแรกไม่พลาดโพสลง IG รัวๆ ไฟกระพริบๆ แว้บๆ ก็น่าจะเหมาะกับทำคลิป TikTok …เอ๊ะ…เหมือนลืมอะไรไปอย่าง
Words: Roongtawan Kaweesilp