“สวัสดีครับท่านผู้ฟังที่เคารพ เสียงที่กำลังเจี้อยแจ้วอยู่นี่ คือเสียงจากหน่วยฉายภาพยนตร์กลางแปลงของห้างขายยาตราโอสถเทพยดา ตราฤาษีถือไพ่ป๊อกๆๆๆๆๆ” (กรุณาอ่านออกเสียงแบบเอคโค โค โค โค)
“ในวันที่ 11 ตุลาคมเป็นต้นไป Netflix ภูมิใจเสนอ มนต์รักนักพากย์ ผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ นนทรีย์ นิมิบุตร”
ชายเจ้าของชื่อในสูทดำ ก้าวออกมาพร้อมมือถือไมค์ ไฟส่องหน้า เอ่ยสุ้มเสียงเปี่ยมคาริสมาว่า
“มนต์รักนักพากย์ ฉายฉากชีวิตในยุคเฟื่องฟูของภาพยนตร์ไทยในอดีต รถเร่ฉายหนังขายยาตระเวนไปตามหมู่บ้านเพื่อฉายหนัง ก่อนจะปลุกอาชีพเสาหลักวงการหนังไทยที่เลือนหาย ให้กลับมาโลดแล่นบนโลกสตรีมมิง ภายใต้เรื่องราวของกลุ่มคนมีฝันที่ออกเดินทางไปด้วยกันพร้อมรถเร่ขายยาพาหนะคู่ใจ”
ทันใด ‘มานิตย์’ เจ้าของสมญา ‘นักพากย์ห้าเสียง’ ประกาศเรียกคนดูเป็นรอบสุดท้ายก่อนฉายหนังว่า
“บัดนี้ ขอเชิญคุณผู้อ่านไปล้อมวงคุยกับทีมคณะพากย์ นำโดย หนูนา-หนึ่งธิดา โสภณ รับบท เรืองแข, เก้า-จิรายุ ละอองมณี รับบท ไอ้เก่า และสามารถ พยัคฆ์อรุณ รับบท ลุงหมาน ได้ ณ บัดนี้พลัน นัน นัน นัน…”
ขออภัยที่อินไปนิด ก็คิดถึงหนังไทยที่ดูเพลิน อิ่มเอมในดวงหทัย ฮีลใจเสียนี่กระไรน่ะ อ่ะ อ่ะ อ่ะ
LIPS: จุดเริ่มต้นของหนังปักหมุดที่ยุคทองของมิตร ชัยบัญชา ณ ช่วงเวลาปี พ.ศ. 2513 ยุคทองก่อนที่หนังไทยจะโดน disrupt พี่สามารถเกิดทันยุคคุณมิตรด้วยใช่ไหม บรรยากาศซุป’ตาร์คนแรกของวงการบันเทิงไทยเป็นอย่างไรบ้าง
สามารถ: ผมทันได้ดูหนังเรื่องสุดท้ายของคุณมิตร แม่พาไปดูเรื่อง ‘อินทรีทอง’ ตอนนั้นผมยังเด็กมาก อายุ 7-8 ขวบ สมัยรุ่นแม่เรา ยังไงก็ต้องดูหนังมิตร-เพชรา (เพชรา เชาวราษฎร์ นางเอกคู่ขวัญของมิตร) เราไปดูหนังตามแม่ ซึ่งก็เป็นหนังของมิตร-เพชราทุกเรื่อง คนยุคนั้นยังไงก็ต้องได้ดูหนังของคู่ขวัญคู่นี้
เก้า: ผมเคยได้ยินชื่อมิตร ชัยบัญชา รู้ว่าเขาเป็นพระเอกตลอดกาล แต่เรื่องแรกที่ได้ยินคือเรื่องที่เขาถ่ายคิวบู๊แล้วตกจากเฮลิคอปเตอร์จนเสียชีวิต มันเป็นอะไรที่…เราเป็นนักแสดงที่อยู่ในยุคหลังจากเขามากๆ เราช็อกว่าหนังไทยยุคนั้น นักแสดงต้องเล่นเองจริงๆ แม้จะเสี่ยงขนาดนั้น เจ๋งน่ะ ภาพที่เราเห็นทหาร ตำรวจว่าเป็นฮีโร่ พระเอกหนังไทยยุคคุณมิตรเป็นฮีโร่แบบเดียวกันเลย
LIPS: จุดเริ่มต้นของหนังปักหมุดที่ยุคทองของมิตร ชัยบัญชา ณ ช่วงเวลาปี พ.ศ. 2513 ยุคทองก่อนที่หนังไทยจะโดน disrupt พี่สามารถเกิดทันยุคคุณมิตรด้วยใช่ไหม บรรยากาศซุป’ตาร์คนแรกของวงการบันเทิงไทยเป็นอย่างไรบ้าง
สามารถ: ผมทันได้ดูหนังเรื่องสุดท้ายของคุณมิตร แม่พาไปดูเรื่อง ‘อินทรีทอง’ ตอนนั้นผมยังเด็กมาก อายุ 7-8 ขวบ สมัยรุ่นแม่เรา ยังไงก็ต้องดูหนังมิตร-เพชรา (เพชรา เชาวราษฎร์ นางเอกคู่ขวัญของมิตร) เราไปดูหนังตามแม่ ซึ่งก็เป็นหนังของมิตร-เพชราทุกเรื่อง คนยุคนั้นยังไงก็ต้องได้ดูหนังของคู่ขวัญคู่นี้
เก้า: ผมเคยได้ยินชื่อมิตร ชัยบัญชา รู้ว่าเขาเป็นพระเอกตลอดกาล แต่เรื่องแรกที่ได้ยินคือเรื่องที่เขาถ่ายคิวบู๊แล้วตกจากเฮลิคอปเตอร์จนเสียชีวิต มันเป็นอะไรที่…เราเป็นนักแสดงที่อยู่ในยุคหลังจากเขามากๆ เราช็อกว่าหนังไทยยุคนั้น นักแสดงต้องเล่นเองจริงๆ แม้จะเสี่ยงขนาดนั้น เจ๋งน่ะ ภาพที่เราเห็นทหาร ตำรวจว่าเป็นฮีโร่ พระเอกหนังไทยยุคคุณมิตรเป็นฮีโร่แบบเดียวกันเลย
LIPS: ตอนที่รู้เรื่องคุณมิตร เก้าเป็นดาราหรือยัง
เก้า: ผมทำงานแสดงแล้วครับ เพราะผมเริ่มทำงานตั้งแต่ยังเด็กมากๆ จำความได้ก็ทำงานในวงการ แต่เราไม่เคยต้องเล่นฉากแอ็กชันเสี่ยงๆ แต่พอเรารู้เรื่องนี้ก็เกิดคำถามมากมาย ก็ถามแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น
หนูนา: เก้ากับหนูนาอายุใกล้กัน เราโตมาก็เป็นยุค VHS นั่งกรอวิดีโอแล้ว (หันไปถามเก้า) รู้จักใช่ไหม เครื่องกรอเทป
เก้า: รู้จักสิ เกิดทันอยู่
หนูนา: แต่เด็กยุคหลังเราจะไม่เข้าใจ ทำไมต้องกรอ
เก้า: ไม่ได้ ‘คลิก’ เอาเหรอคะ ไม่ใช่สิ เด็กยุคนี้ไม่พูดว่าคลิก ต้อง ‘tab’
LIPS: ทำการบ้านกับบทนักพากย์หนังกลางกันอย่างไร
เก้า: ใกล้ตัวที่สุดที่เราจะหาข้อมูลได้คือไปหาหนังในยุคนั้นมาดู แต่หนังของคุณมิตรคงดูได้ไม่หมด หรืออาจต้องใช้เวลาหลายสิบปี แกเล่นหนังไทยปีละ 40 เรื่อง และคุยกับพี่อุ๋ย (นนทรีย์ นิมิบุตร ผู้กำกับ) ผมชอบเล่นเลียนเสียงคนอยู่แล้ว เสียงนักร้อง นักแสดง ตลก เราเอามาเล่นหมด ผมชอบดูคลิปพากย์นรกด้วยไง
คนเหล่านี้เก่งนะ จินตนาการสูงและไวมาก นักพากย์เขียนบทกันเองด้วย ผมเคยดูหนังที่โจวซิงฉือเล่นในเวอร์ชันพูดจีน หนังเงียบมาก (หัวเราะ) เขาเล่นตลกแอ็กติงกัน แต่พอทีมพันธมิตรเอามาพากย์ไทย โอ้โห กลายเป็นหนังตลกพูดมาก และนักพากย์จะเติมเหตุการณ์ในปัจจุบันเข้าไปด้วย มีการสร้างคำใหม่ๆ ที่กลายเป็นคำติดหู อย่าง ‘เด็กแนวนั่งขี้’ คนเอาไปพูดกันเป็นปีๆ
หนูนา: ตอนแรกคิดมากเรื่องพากย์ เราเคยพากย์หนังมาบ้าง แต่เป็นพากย์อนิเมชัน ซึ่งคนละแบบกันเลย แรกๆก็งงว่าจะไปศึกษาการพากย์หนังสดที่ไหน ก็ทำเหมือนเก้า ไปหาดูหนังเก่าๆ และเราก็ชอบดูหนังจีนพากย์ไทยอยู่แล้วด้วย และปรึกษาพี่ๆนักพากย์ที่มาช่วยเวิร์กชอป
LIPS: ทำไมนักพากย์ต้องพูดเสียงหนีบๆ พระเอกก็จะเสียงหล่อ นางเอกเสียงสวย
หนูนา: เพราะต้องเล่นให้ชัดค่ะ ฟีลเหมือนละครทีวี ตัวเอกต้องเสียงดี ตัวร้ายต้องเสียงกวนๆ แจ๋นๆ เพื่อให้คนดูเข้าใจคาแรกเตอร์ตัวละครได้ชัดว่า คนนี้คือพระเอก คนนี้คือนางเอก และนักพากย์หญิงหนึ่งคน บางทีในฉากเดียวกัน เขาต้องพากย์เป็นหลายคน รับตัวละครผู้หญิงทั้งหมดในหนังไปพากย์คนเดียวเลย เขาจึงต้องเลือกเสียงบอกคาแรกเตอร์ให้ชัด เพื่อให้ง่ายเวลาเปลี่ยนเสียง บางฉากมีตัวละครหญิง 3 ตัวคุยกัน เด็ก นางเอก คนแก่ เขาต้องสลับพากย์ 3 เสียง จะได้ไม่สับสนกับตัวคนพากย์เองและคนดูด้วย
LIPS: นักพากย์เป็นเหมือนนักแสดงอีกคนเหมือนกันนะ
หนูนา: ใช่ค่ะ นางเอกจะเสียงหวานๆ อย่างป้าจุ๊ (จุรี โอศิริ) พากย์เป็นนางเอกตลอด เสียงแกหวาน
LIPS: เรืองแขเป็นผู้หญิงเก่ง ฉลาด สู้ชีวิตมาก เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวไปตะเลงออกพากย์หนังกับคณะนักพากย์ผู้ชายทั้งทีมเป็นเดือน
หนูนา: เรานับถือผู้หญิงสมัยก่อนมากนะคะ เขาแข็งแรง ปากกัดตีนถีบ เท่ ยุคนี้ผู้หญิงก็ยังต่อสู้ เพียงแต่เราอาจจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้น
LIPS: เรืองแขไม่จำเป็นต้องทำตัว ‘น่ารัก’ เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตัวเองต้องการด้วย
หนูนา: ใช่ๆ เขาสู้มาก เป็นสาวต่างจังหวัดที่มีความฝัน เคยผ่านเรื่องราวในชีวิตมาประมาณหนึ่ง เคยมีแฟน อกหัก พอได้งานทำในคณะนักพากย์ชายล้วน เขาเป็นผู้หญิงคนเดียว ต้องตามไปดูค่ะว่าเรืองแขสร้างเกราะป้องกันตัวแต่เนิ่นๆ ทำให้ได้อยู่กับผู้ชาย 3 คนได้อย่างไร เขาใช้วิธีการที่ฉลาดมาก ทำให้อดคิดชื่นชมไม่ได้ว่า ผู้หญิงที่ต้องมาทำงานตรงนี้ต้องเป็นคนเจ๋งนิดหนึ่ง ถ้าไม่เจ๋งจริง การจะอยู่กับกลุ่มผู้ชายคงยาก และด้วยเนื้องานนักพากย์ก็ไม่มีใครสอน ไม่มีคอร์สเรียน ต้องครูพักลักจำเอาเอง เพราะเขาฝันอยากเป็นเลขาฯไงคะ เลยต้องปากกัดตีนถีบสู้เพื่อฝันของตัวเอง
LIPS: ในทีมจะประกอบไปด้วยกลุ่มคนแบบนี้เสมอ คือหัวหน้าที่เป็นเพราะสถานการณ์หรือตำแหน่งผลักให้ต้องนำ แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าต้องเป็นหัวหน้ายังไง ก็คือหัวหน้ามานิตย์ (รับบทโดย เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ) มีคนที่คอชักใบให้เรือเสีย ทำให้ทีมหมดกำลังใจอยู่นั่น ซึ่งก็คือไอ้เก่า และมีคนที่นิ่งสุด คอยตบทุกคนให้อยู่ในร่องในรอย คอยซัพพอร์ตทางใจให้ทุกคน ก็คือตัวละครลุงหมาน
สามารถ: ด้วยความที่ลุงหมานเป็นผู้ใหญ่สุดในทีม เขารู้ว่าต้องวางตัวยังไง รู้ว่าต้องให้เกียรติหัวหน้า และตัวเองก็ต้องเป็นผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบชีวิตทุกคนในทีม ไม่ได้ยากอะไร มันคือตัวเราอยู่แล้วด้วย
LIPS: พี่สามารถเจอโมเมนต์ที่ลุงหมานเจอบ้างไหม ที่โดนอะไรมาเปลี่ยนเส้นทางชีวิต เพราะพี่เป็นนักมวย มาเป็นนักร้อง เป็นนักแสดง
สามารถ: ผมไม่ได้คิดเรื่องพวกนี้เลย แล้วแต่ดวง ไม่ได้คิดเลยว่าเราจะเลิกต่อยมวยแล้วไปเป็นนักร้อง ไม่เคยวางแผนเลย
LIPS: ตอนนั้นไม่กลัวหรือว่า ถ้าวันหนึ่งต่อยมวยไม่ได้ขึ้นมาแล้วจะไปทำอะไรต่อ
สามารถ: ไม่กลัว แล้วแต่ดวง เราไม่รู้อนาคต คิดแค่ว่าวันนี้ต้องทำให้ดีที่สุด นี่ผมยังไม่รู้เลยว่าเดือนหน้าผมจะทำอะไร เราใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอด ตอนนั้นผมอายุ 25-26 มีคนถามผมมาตลอดว่า ทำไมอยู่ๆเลิกเป็นนักมวยมาเป็นนักร้อง ผมบอกไม่รู้ ไม่ได้คิดอะไร ผมมีโอกาสอะไรก็ลองทำ ถ้าไม่ดีก็กลับไปต่อยมวย เราคิดง่ายๆ ไม่ใช่ก็เลิก ลุงหมานก็พูดในหนังว่า “ทางมันมีก็ต้องไป” ถ้าหัวหน้ามานิตย์ตัดสินใจแล้วก็ทำไปตามนั้น ไม่คิดอะไรซับซ้อน ไปกินข้าวกันก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน ลุงหมานเป็นตัวแทนของมิตรภาพ เขาเชื่อใจทุกคนและเป็นตัวเชื่อมทุกคน เขาจะลุยๆ ซื้อหวยทุกงวด ลองเล่นดู ไม่ถูกก็ช่าง ถูกก็ดี ตัวผมจริงๆก็เป็นคนแบบนี้
LIPS: แล้วการใช้ชีวิตด้วยความเชื่อแบบนี้ เคยทำให้พี่บอกตัวเองไหมว่า “ไม่น่าเลย…”
สามารถ: ไม่เคย ไม่มี ทุกอย่างอยู่ที่เราตัดสินใจอะไรทำ จากนั้นก็แล้วแต่ดวง ไม่เคยมานั่งเสียใจว่าไม่น่าตัดสินใจไปทำนั่นเลย อยู่ตรงนี้ก็ดีอยู่แล้ว ผมจะคิดว่าก็ลองไปเหอะ อาจจะดีกว่าทางที่เราอยู่ตอนนี้ก็ได้
LIPS: เคยโดนชีวิตน็อกเอาต์ลุกไม่ขึ้นไหม
สามารถ: ไม่เคย ที่สาหัสมากที่สุดคือตอนที่ผมเสียแชมป์โลกและโดนคนทั้งประเทศด่า แต่เราไม่ได้แคร์ ความจริงเรารู้ว่าเป็นอย่างไร คนมาด่าเรื่องที่เราไม่ได้ทำ เราก็ไม่สนหรอก ถ้าผมล้มมวย ผมจะยอมรับความจริงว่าล้มและผมได้เงิน แต่ความจริงคือผมไม่ได้ล้มมวย แต่ตอนนั้นผมต้องโดนคนทั้งประเทศด่านานเป็นเดือน
ผมเคยโดนตีหัวด้วย หลังจากเสียแชมป์โลก ผมไปนั่งกินเหล้ากับพรรคพวกที่ผับ โต๊ะข้างหลังมาถามว่า “พี่ใช่สามารถหรือเปล่า” ถ้าเราตอบว่าใช่ เดี๋ยวเรากับเขาได้มีเรื่องกันแน่ คนมันเมาอยู่แล้ว เขาจะมาด่าเราเรื่องล้มมวยนี่ละ สักพักบนเวทีเล่นดนตรีสด และเรียกเราขึ้นไปร้องเพลง โต๊ะนั้นคงเคืองว่าเมื่อกี้ถามว่าใช่สามารถหรือเปล่า เราดันบอกไม่ใช่ เพราะไม่อยากมีเรื่อง ทีนี้พอผมลงจากเวที ร้านเปิดเพลงได้ไม่ถึงครึ่งเพลงเลย พวกสั่งขวดแก้วโพลาริสมารอไว้เลย ให้คนสิบกว่าคนไปรอข้างนอก เหลือคนเดียวไว้รอตีหัวผม ผมก็เลยโดนตีหัว คนตีก็วิ่งแน่บหนีไป ผมไม่รู้ว่าใครยิงปืนขึ้นฟ้า เราตามไม่ได้ละ เพราะไม่รู้ว่าคนอื่นมีปืนหรือเปล่า
LIPS: เอ่อ เรื่องอนาคตจะเป็นยังไงไม่รู้ดูเล็กไปเลย เจอเรื่องโหดๆมาเบอร์นี้
สามารถ: (หัวเราะ) ผมไม่ได้อยากมีเรื่องกับใคร
LIPS: กลัวว่าถ้าเรามีเรื่อง เราไม่ได้กลัวเราเจ็บตัว แต่กลัวอีกฝ่ายจะเจียนตายหรือเปล่า เราเป็นนักมวยนะ
สามารถ: (หัวเราะ) ใช่ พรรคเดียวที่ไปด้วยกัน 4-5 คน นักมวยทั้งนั้น ก็ดีแล้วที่มันตีเราทีเผลอ จะได้หาตัวไม่เจอ
LIPS: เก้าเล่นหนังมายาวนาน จนถึงทุกวันนี้ก็ยังได้เล่นหนังอยู่ ความรู้สึกเปลี่ยนไปบ้างไหม หลังจากเราออกถ่ายมาตั้งแต่ 5 ขวบ จนบัดนี้อายุ 28 ปีแล้ว
เก้า: ผมดีใจที่ได้โอกาสอยู่เรื่อยๆ แต่หนังเรื่องนี้พิเศษสำหรับผมนะ โดยเฉพาะในช่วงหลังๆ พอเราเล่นหนังมาสักพัก บทที่เข้ามามีซ้ำบ้าง ความรู้สึกตอนอ่านบทไม่ได้ตื่นเต้นขนาดนั้นแล้ว มีบทผ่านตาเราเยอะประมาณหนึ่ง เราจะรู้เลยว่าเรื่องนี้พิเศษ ผมคิดว่าทุกคนรู้แหละว่าบทที่ดีคือ 70% ที่จะทำให้หนังดีได้ บทไม่ดีนี่ยากมากเลยที่จะทำหนังที่ดีได้ อาจจะมีนะ
พอบทเรื่องนี้มาปุ๊บ ผมอ่านแล้วรู้สึกพิเศษทันที ผมมองว่ามันคือหนังที่ไม่ได้พยายามเอาใจใคร ไม่ใช่หนังที่ทำมาเพื่อตอบโจทย์คนดูขนาดนั้น มันดีด้วยตัวมันเอง…อย่างตัวผมเกิดไม่ทันยุคมิตร ชัยบัญชา แต่ทำไมผมอ่านบทแล้วผมรู้สึกตามได้ มนุษย์ไม่ว่ายุคไหนก็ตามจะมีความรู้สึกร่วมกันบางอย่างได้
LIPS: มี Human Touch
เก้า: มันคือคำนี้ ก็เลยภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมนต์รักนักพากย์ พอเราทำงานในวงการนี้มาสักพัก เราจะรู้เลยว่าโอกาสแบบนี้ไม่ได้มีมาบ่อย ผมบอกตัวเองว่าเราต้องตั้งใจกับมันให้มากๆเลยนะ ขณะเดียวกันถ้าเราตั้งใจมากๆ การแสดงก็จะดูพยายามเกินไปอีก โชคดีว่าลักษณะการถ่ายทำหนังเรื่องนี้เป็นแบบโร้ดมูฟวีเหมือนเรื่องราวในหนัง ช่วงที่ตัวละครนั่งรถไปก็คุยกันไป ทีมงานของหนังก็เป็นแบบนั้น
ผมชอบช่วงเวลาที่ถ่ายทำหนังเรื่องนี้มากๆ เป็น The Best ในบรรดาหลายๆเรื่องที่ผมเคยทำงานมา หนังเรื่องอื่นพอเลิกกอง เราไม่ได้คุยกันเยอะ ต่างคนต่างกลับบ้าน แต่หนังเรื่องนี้ไปถ่ายทำในหลายจังหวัด เลิกกองก็มานั่งคุยกัน ดื่มน้ำเก๊กฮวยก็ช่วยละลายพฤติกรรมได้เยอะ (หัวเราะมีเลศนัย) เป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำมากเลยสำหรับผม
หนูนา: พวกเราสนุกมากกับการถ่ายหนังเรื่องนี้ เหมือนอยู่เป็นครอบครัวบนรถอีแก่ นอนข้างๆกัน
เก้า: บางโรงแรมก็บรรยากาศกุ๊กกู๋มาก ต้องคอยถามกันว่านอนไหวไหมเพื่อน ในหนังเป็นโร้ดมูฟ นอกจอก็โร้ดมูฟวี
LIPS: นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้อยู่ในบรรยากาศหนังไทยแบบนี้
เก้า: น่าจะ 7-8 ปีเลยนะ และจากการที่ผมยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้เต็มเรื่อง แต่ผมสามารถบอกได้ก่อนเลยว่า ตอนถ่ายหนังเรื่องนี้ ผมสนุกมาก หนังบางเรื่องที่ผมเคยทำ ผลลัพธ์ออกมาดีมาก แต่แค่นึกถึงตอนถ่ายทำก็เหนื่อยล้าแล้ว ส่วนหนังเรื่องนี้ ตอนออกกองมีบางวันที่ผมป่วย บางวันพี่มาดป่วย มองย้อนกลับไปก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราจะตาย แค่เป็นวันหนึ่ง เพราะเราช่วยกัน เราไปกันเป็นทีม
สามารถ: มีบางวันที่ผมปวดขามากจนเดินไม่ได้ ต้องขี่หลังทีมงาน อุ้มขึ้นรถ
LIPS: พี่อุ๋ยให้แสดงหนังหรือไปทำอะไร
สามารถ: ผมเป็นโรคประจำตัวที่นานๆทีจะเป็น อยู่ๆเหมือนขัดขา เดินไม่ได้ ไม่ใช่ขาแพลง ขาพลิก มันเป็นของมันเอง เราจะรู้ว่าเป็นวันเดียวเดี๋ยวก็หาย
เก้า: ทีมงานหนังเรื่องนี้มีหลายคนที่ทุ่มเทกับการทำหนังไทยมากจนตายในกองถ่ายได้ บางวันฝนตก สภาพแย่มาก แต่เขายังไม่หยุดทำงาน เจอแบบนี้เราก็อยากลุยไปกับเขาเหมือนกันนะ เหมือนเวลานักบอลเห็นเพื่อนวิ่งเลือดเต็มขา แต่ยังสไลด์บอลอยู่อีก
LIPS: เคยคุยกับเก้าว่า บางทีเจอทีมงานที่ไม่ไปด้วยกัน เราอยากไปต่อ แต่เขาพอแค่นี้ ผ่านละ
เก้า: บางทีการที่เราไม่ผลักดันให้ถึงที่สุดด้วยกันอาจเป็นเรื่องเวลาที่จำกัด หนังทุกเรื่องมีเคอร์ฟิวของมันหมดแหละ แต่บางทีผู้กำกับไม่ไปต่อ เขาพอใจแค่นี้ บางทีเราก็เลยเบื่อๆกับการแสดงไปบ้าง ผมชอบผู้กำกับที่มีภาพชัด บอกผมได้ว่าจะเอาอะไร พอเราคุยกันเยอะๆ เราจะรู้ว่าถ้าเขาขออีก แสดงว่ามันยังไปได้เยอะจริงๆ หรือผู้กำกับที่อยากลองภาพใหม่ๆ ไหนเซอร์ไพรส์เขาหน่อยซิ ผมว่าการทำงานแบบนั้นสนุกกว่า
แต่บางเรื่องเปิดคิวถ่ายมา วันนี้ถ่าย 23 ฉาก! จะเอาเวลาที่ไหนมานั่งปั้นงานได้ 23 ฉาก แต่ถ้าเรามีเวลาและมีคนที่เราเชื่อใจว่าเขารู้ดีที่สุด เราไปกับเขาได้มันจะดีมากๆ แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้ง บางทีเราก็ไปเจอสายตาผู้กำกับที่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากได้อะไร และไม่มาคุย ไม่มาถามเราด้วยนะ เขาเองคงไม่อยากให้เรารู้สึกเขาพึ่งไม่ได้ เอาแค่ว่าจะถ่ายทันไหม งบจะบานหรือเปล่าก็แย่แล้ว เขาต้องเอาพลังไปคิดเรื่องอื่น
แต่หนังเรื่องนี้ไม่ใช่อะไรแบบนั้นเลย พี่อุ๋ยอาจจะมีเรื่องกังวลใจบ้าง แต่เขาไม่เคยทำให้เรารู้สึกเลยว่าเขากังวล มันทำให้เราสามารถโฟกัสกับงานศิลปะที่กำลังทำอยู่ได้ เขาอาจมีคนไปเคลียร์ เพื่อจะไม่เอาเรื่องอื่นเข้ามาในพื้นที่ทำงานเลย และพี่อุ๋ยเองก็พร้อมมาก เราสามารถถามอะไรก็ได้ถ้าเราไม่รู้ ไม่มีอาการมานั่งงงๆว่า คำนี้พูดได้หรือเปล่า หันไปถามใครก็ไม่มีใครฟันธงได้ แต่พี่อุ๋ยตอบได้หมด เพราะเขาสร้างคาแรกเตอร์คณะนักพากย์เร่ไว้ชัดแต่แรก ทำให้เราเข้าใจว่าจะแสดงยังไง
LIPS: เปิดเรื่องมา พี่อุ๋ยพูดเรื่อง ‘ความรักและความฝัน’ ซึ่งเป็นแกนหลักของหนัง สองเรื่องนี้มีสำคัญหรือไม่สำหรับตัวหนูนาและเรืองแข
หนูนา: (นิ่งคิด) บางทีเราไม่รู้ว่าสิ่งที่เราจริงๆกับสิ่งที่เราฝันถึงจริงๆคืออะไรด้วยซ้ำ เหมือนคนในยุคนี้ เราเรียนทางนี้มา แต่ต้องไปทำงานด้านอื่น เราจะทำได้หรือเปล่า มันใช่เราหรือเปล่า เหมือนเรืองแขที่ไม่รู้เลยว่าเราแค่ฝันตามคนอื่นไปอย่างนั้นเองหรือเปล่า เรืองแขไม่ได้อยากเป็นนักพากย์ เขาฝันอยากจะเป็นเลขาฯ แต่จริงๆแล้วเรืองแขอยากเป็นเลขาฯจริงๆหรือ หรือเขารักการเป็นนักพากย์ และสามารถเป็นนักพากย์ที่ดีได้ แต่ที่เขาฝันแบบนั้นเพราะผู้หญิงยุคนั้นต้องเป็นเลขาฯจึงจะดูโก้ ดูทันสมัย…หรือเปล่า
สุดท้ายเขาต้องไปตามหาไงคะว่าเขารักอะไร อยากเป็นอะไร จริงๆแล้วคนทุกยุคสมัยก็มีปัญหาเรื่องนี้เหมือนๆกัน เราเองยังงงเลยว่าจะเรียนอะไร ชอบหรือเปล่า จบมาแล้วจะได้ทำงานตรงสายที่เรียนมาหรือเปล่า
LIPS: หนังพูดเรื่อง disruption ชัดเจนมาก ทั้งนักพากย์สดที่ต้องหายไปเพราะนักพากย์หนังในฟิล์ม ซึ่งก็ต้องหายไปเพราะโทรทัศน์เข้าแทนที่ จนมาถึงยุคนี้ที่อินเทอร์เน็ตกวาดล้างสื่อเก่าหายเรียบ ชีวิตเราเคยเจอเรื่องแบบนี้ไหม แล้วเราไปต่อยังไง
หนูนา: เคยโดนอยู่แล้ว เป็นกันทุกวงการ อย่างวงการเพลงนี่เจอเต็มๆ จากเทปเป็นซีดี เป็น MP3 จนตอนนี้ทุกย่างเป็นออนไลน์ อยู่ในคลาวด์ หรือวงการหนัง จากหนังโรงก็มาเป็นหนังสตรีมมิง อาจจะเดินทางไปคู่กันก็ได้ ไม่มีแบบไหนหายไป
LIPS: เด็กยุคนี้ยังเรียกหนูนา กวนมึนโฮ หรือว่าอะไร
หนูนา: แล้วแต่ว่าเขาไปเจอเราจากเรื่องอะไร บางคนเจอเราสมัยทำดิสนีย์เลย ตอนพากย์เสียงการ์ตูน บางคนก็มาเจอเราตอนเล่นหนังกวนมึนโฮ บางคนบอกว่าดูเรามาตั้งแต่สมัยเล่นน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ นานมากแล้ว (ลากเสียง)
LIPS: ดีนะที่เราเริ่มต้นอาชีพเร็ว ผลงานเราเยอะ มีหลายยุคที่ไปเจอผู้บริโภคได้หลายกลุ่ม
หนูนา: เราอาจเป็นเหมือนเรืองแขก็ได้นะที่กำลังหาอยู่ว่าเรารักอะไร เพราะเราเพิ่งกลับมารับงานอีกครั้งนะคะ หลังจากไม่รับงานเลย 2-3 ปี ช่วงนั้นเราไม่รู้ว่าเราชอบอะไร บอกแล้วว่าเราเป็นเรืองแข (หัวเราะ) เราเริ่มทำงานเร็ว เริ่มงานพอๆกันเก้า แสดงมาทุกอย่างจนเราไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเราชอบมันหรือเปล่า ก็เลยหยุดรับงาน ไปเป็นเชฟ เรียนทำอาหาร
LIPS: สุดท้ายหาเจอไหมว่ารักอะไร
หนูนา: (ตอบเร็ว) ชอบร้องเพลงค่ะ ชอบเล่นละครเวที พอเราไม่ได้ทำและไปทำอย่างอื่น มีครั้งหนึ่งเราไปคอนเสิร์ตเล็กๆของรุ่นน้อง ชอบเล่นละครเวทีเลยมาทำคอนเสิร์ตด้วยกัน เราไปดูแล้วร้องไห้เลย เราลืมไปเลยว่าตอนแรกที่แม่เห็นว่าเราชอบร้องเพลง ก็เลยพาเราไปทำสิ่งนี้ แต่เราทำมันจนกลายเป็นกิจวัตรซ้ำๆตั้งแต่เด็ก ตื่นเช้ามาไปกองถ่าย ไปเรียนก็งงๆ เวลาอยู่เพื่อนก็แปลกๆ เราไม่ค่อยได้เล่น จนได้มารู้ตัวว่าเราชอบร้องเพลงที่สุดมาแต่แรก
LIPS: ดีใจที่เห็นหนูนาบนจออีกครั้ง
หนูนา: ดีใจเหมือนกันค่ะ ตอนนี้โอเคแล้ว เราอาจจะฝันอยากเป็นอย่างอื่นหรือเปล่า บอกแล้วว่าเหมือนเรืองแขเลย ดิ้นรนแทบตายเพื่อจะได้เป็นเลขาฯ และมองว่างานพากย์เสียงทำเพื่อหาเงินไปเป็นเลขาฯ สุดท้ายเขาได้รู้ว่าเชาชอบเป็นนักพากย์
ใบปิดหนังฝีมือ อาจารย์บรรณหาร ไทธนบูรณ์ ศิลปินชั้นครูผู้คร่ำหวอดในวงการใบปิดภาพยนตร์ไทย ได้แรงบรรดาลใจจากใบปิดภาพยนตร์เรื่อง อินทรีทอง ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของ มิตร ชัยบัญชา
‘มนต์รักนักพากย์’ ฉายแล้ววันนี้ทางเน็ตฟลิกซ์
Words: Suphakdipa Poolsap
Photo: Somkiat Kangsdalwirun