ต้องยอมรับว่า ขอบตาดำคล้ำคล้ายกับหมีแพนด้าที่มาพร้อมกับความเกรียนแบบฉีกกรอบและสร้างสรรค์กับการนำเสนอคอนเท็นต์สาระเรื่องราวความรู้หลากหลายรอบด้านในเชิงสุขภาพและการแพทย์ด้วยการสื่อสารผ่านรูปแบบของภาษาที่เข้าใจง่ายแต่แฝงไว้ซึ่งอารมณ์ขันที่ทนพ.ภาคภูมิเดชหัสดินนักเทคนิคการแพทย์ประจำศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติสภากาชาดไทยหรือหมอแล็บแพนด้าได้นำเสนอผ่านทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ “หมอแล็บแพนด้า” เพจสุขภาพที่โด่งดังอยู่ในโลกโซเชียลในขณะนี้ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามการันตีได้จากยอดผู้ติดตามกว่า 2.3 ล้านคน
โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ผู้คนต่างต้องการที่ปรึกษา และศึกษาหาข้อมูลความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องได้ ซึ่งหมอแล็บแพนด้าก็ไม่ได้รับบทบาทเป็นเพียงแค่นักเทคนิคการแพทย์ ที่สวมเสื้อกาวน์แล้วส่องกล้องจุลทรรศน์อยู่ในห้องแล็บปฏิบัติการสี่เหลี่ยม แต่ยังก้าวกระโดดออกมานอกกรอบ พร้อมก่อเกื้อประโยชน์ให้เกิดขึ้นในสังคมได้ในวงกว้าง
“ผมทำงานเป็นนักเทคนิคการแพทย์มาได้ 10 กว่าปีแล้วครับ ถึงได้มาเปิดเพจ หมอแล็บแพนด้า ต้องบอกว่ามันมาจากความคับข้องใจล้วนๆ ครับ ที่เรารู้สึกว่ามันไม่มีใครรู้จักวิชาชีพเราสักเท่าไร เลยคิดว่า เราทำเพจดีกว่า และที่ใช้ชื่อว่า หมอแล็บแพนด้า เพราะผมต้องทำงานอยู่เวรเยอะมาก ตาก็เลยคล้ำ แล้วปรากฏว่าคนหัวเราะ คนชอบใจ ทำไมตาคล้ำจัง หมอแล็บเหมือนหมีแพนด้าเลย เราเองก็ชอบ เราสนุก อยากเห็นรอยยิ้มคนอื่น ก็เลยได้ชื่อนี้มา ซึ่งมันเหมือนเป็นการลดระยะห่างทางสังคม ทำให้คนกล้าเข้ามาอ่าน กล้าเข้ามาศึกษาหาความรู้ พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้
“ผมพยายามที่จะทำคอนเท็นต์ให้สนุก ทำให้ทุกคนไม่เครียด รู้สึกผ่อนคลาย แล้วช่วงโควิด-19 ผมพยายามที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในทุกๆ มิติ เพราะว่าพอเรามีคนตามเพจเยอะแล้ว เราก็รู้สึกว่าเราน่าจะช่วยอะไรได้บ้าง”
….ตั้งแต่ตอนแรกเราเห็นแล้วว่าในประเทศจีนแต่ละประเทศเริ่มมีการระบาดของเชื้อไวรัสขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผมเคยเตือนว่า “อย่ากินค้างคาวนะ อย่ากินสัตว์แปลกๆ นะ” นั่นคือเซ้นส์ รู้เลยว่า มันมาแน่นอนครับ แล้วพอมันระบาดรุนแรงอุปกรณ์การแพทย์ต้องขาดแคลนแน่ แล้วโรคนี้จะเป็นทั่วโลก พอเป็นทั่วโลกการผลิตต่างๆ ต้องขาดแคลน ผลิตไม่ทัน ก็เลยเริ่มเปิดรับบริจาคอุปกรณ์การแพทย์ พวกเครื่องป้องกันต่างๆ เพราะผมไม่เชื่อว่ามันจะเพียงพอ”
เราเชื่อว่า สิ่งที่นักเทคนิคการแพทย์หนุ่มคนนี้มองเห็นนั่นคือการมองโลกผ่านวิสัยทัศน์ซึ่งคงคล้ายกับการมองลอดผ่านเลนส์กล้องจุลทรรศน์ซึ่งเราสามารถจะมองเห็นสิ่งเล็กๆแต่ยิ่งใหญ่ได้
“ผมเห็นพ่อกับแม่ทำงานเพื่อสังคมมาโดยตลอด เขาจะบอกผมเสมอว่า คนเราเกิดมาแล้วดำรงชีวิตอยู่เหมือนกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่จะทำให้เราแตกต่างจากคนอื่นได้ นั่นคือเราต้องรู้จักตอบแทนแผ่นดินด้วย เราก็เลยจำคำนั้นมาโดยตลอด มันมาฝังอยู่ในใจ เพราะเขาลงมือทำให้เห็นมากกว่าที่เขาพูด เขาสอนเด็กพิการแขนขาด เวลาคัดลายมือเด็กต้องใช้แขนหนีบดินสอ เราเลยรู้สึกว่า เราต้องตอบแทนสังคมกลับไปบ้างให้ได้เหมือนอย่างเขา
…แล้วในเรื่องโควิด-19 มันเป็นเชื้อโรคใช่ไหมครับ ซึ่งเราเองก็อยู่กับเชื้อโรคมาตลอด เราเป็นผู้เฉลยคำตอบให้กับแพทย์ว่า คนนี้ผิดปกติแล้วจะไปอย่างไรต่อ คนนี้มีความผิดปกติของสารคัดหลั่งในร่างกายอย่างไรบ้าง ถ้าเจอเชื้อโรคก็จบ หมอก็รักษาถูกต้อง เราก็เลยมองว่า เราก็มีบทบาทสำคัญนะ และด้วยความที่หมอแล็บแพนด้าเป็นเพจที่คนติดตามเยอะ ผมก็เลยเลือกเป็นสื่อกลางในการรับบริจาคอุปกรณ์สิ่งของต่างๆ เป็นเพจแรกๆ ก็ส่งไปโรงพยาบาลต่างๆ ตั้งแต่เดือนมกราคมที่เริ่มมีการแพร่ระบาดของไวรัสวิด-19
…เราทำหน้าที่เป็นสื่อกลางมาเรื่อยๆ ทีนี้พอมาถึงจุดที่มีคำสั่งให้ lockdown รู้ได้เลยว่าทุกคนต้องไม่มีงานทำแน่ เราก็เลยเริ่มเปิดตลาดผ่านเพจหมอแล็บแพนด้า คุณมีอะไรคุณลองเอามาโพสต์ขายสิ แล้วชักชวนให้คนมาช่วยกันซื้อ ก็ทำให้คนเริ่มเกิดรายได้ แล้วคนที่ไม่เคยทำออนไลน์ ก็เริ่มขายเป็น ก็เริ่มติดต่อซื้อขายกัน ส่วนในรายที่มันตั้งตัวไม่ไหวจริงๆ เราก็ช่วยเขาเราก็บริจาคสิ่งของให้ เราซื้อข้าวหลายตันส่งให้มูลนิธิกระจกเงา มอบให้หน่วยงานที่เขาทำอยู่แล้วครับ แต่มันยังไม่ครบวงจร เพราะพอคนตกงานปุ๊ป งานมันหายาก ก็เลยให้แฟนเพจเราที่เป็นผู้ประกอบการ ประกาศว่าตัวเองต้องการคนตำแหน่งไหน เพื่อให้คนเข้ามาหางานในโพสต์นั้น ไม่ใช่ว่าเราป้อนอาหารให้เขาเพียงอย่างเดียว ต้องหาอาชีพให้เขาทำ ในฐานะที่เราเป็นสื่อ เราทำได้”
ที่ผ่านมากรุงเทพมหานครได้ร่วมมือกับเพจหมอแล็บแพนด้าจัดบริการรถตรวจคัดกรองเชื้อโควิด-19 เคลื่อนที่ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างสารคัดหลั่ง (SWAB) ให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงถึงหน้าบ้านสำหรับผู้ที่เข้าเกณฑ์สงสัยผ่านการคัดกรองโดยระบบ BKK COVID-19 เพื่อนำไปทดสอบการติดเชื้อตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 และลดการเดินทางซึ่งอาจเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19
“เราเอาสถิติในแต่ประเทศที่ติดเชื้อมาดูนะครับว่า ประเทศไหนมีอัตราการเสียชีวิตน้อยสุด เราก็ไปไล่ศึกษาวิธีการของเขาดู เขาไล่ตรวจ เขาให้คนมาตรวจ พอตรวจเยอะก็รีบกักกัน เจอก่อนกักก่อน รีบรักษาให้ทัน เจอเร็วรีบรักษาไว มันก็ไม่ลงปอด พอไม่ลงปอดก็ไม่ตาย เป็นเรื่องง่ายมาก
…แต่ทีนี้เราไม่ได้มองแค่นี้ เรามองอีกในแง่หนึ่งครับ แล้วถ้าเราไม่ต้องให้คนเดินทางมาตรวจ เพราะประเทศอื่นให้คนเดินทางมาตรวจใช่ไหมครับ ขับรถ หรือไม่ก็นั่งรถโดยสารจากบ้าน นั่งรถสาธารณะ มันเป็นการเอาคนไปรวมกัน แล้วก็ไปโรงพยาบาลก็ไปออกันในนั้น คนอ่อนแอทั้งนั้น โอกาสติดเชื้อมันก็สูง ผมเลยมองว่า มันต้องคิดใหม่ มันต้องเป็นโมเดลแรกของโลก เราต้องไปหาเขา โดยให้เขาอยู่ที่บ้าน เป็นการลดความเสี่ยง ไม่กระจายเชื้อ
“จากการทำงานลงพื้นที่ที่ผ่านมา เราตรวจไปประมาณ 2,000 กว่าคน พบผู้ติดเชื้อ 9 รายในกรุงเทพฯ เพราะฉะนั้นมันก็เหมือนเป็นการช่วยสังคมได้ เจอก่อนก็รีบกันเขาออกมาก่อน อย่าให้คนอื่นไปติด ลดอัตราเสี่ยงจากการแพร่กระจายเชื้อ เราก็ใช้ชีวิตกันได้อย่างสบายใจมากขึ้น”
…ในการทำงานสำหรับผมไม่หนักมากนัก ตัวผมเองไม่ได้ทำหน้าที่คัดกรองกลุ่มเสี่ยงโดยตรง เพราะว่าเราทำงานที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ต้องรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนด้วย เพราะฉะนั้น ผมเลยทำงานเป็นผู้ออกแบบแชร์ไอเดียแล้วก็ประสานงานให้แต่ละฝ่ายมาทำงานร่วมกัน เพราะผมทำงานเทคนิคการแพทย์ 10 กว่าปี ผมรู้จักเพื่อนเยอะ รู้จักว่าใครจะช่วยเราด้านนี้ได้ เรามีเครือข่ายเทคนิคการแพทย์ที่เป็นจิตอาสา แล้วก็มีเครือข่ายเพื่อนต่างๆ ในแวดวงสื่อหลังจากที่ได้ทำเพจหมอแล็บแพนด้ามา ก็เอาคนกลุ่มนี้มาจอยกัน มาร่วมมือกัน มาทำงานร่วมกันกับกรุงเทพมหานคร เพื่อให้เกิดโครงการดีๆ นี้ขึ้นมา”
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆนั้นหน้ากากอนามัยยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำหน้าป้องกันเราจากเชื้อโรครอบตัวได้ดี
“สถานการณ์ตอนนี้ มันดีขึ้นเรื่อยๆ มันดีมาก เพราะว่าตัวเลขผู้เชื้อมันเพิ่มขึ้นเพียงหลักเดียว แต่เราก็ไม่ควรประมาท เพราะพอคลายมาตรการขึ้นมาจะเห็นว่าติดเชื้อเพิ่มทุกประเทศเลย เกาหลีก็ไปผับ ก็ติดเชื้อกลับมาอีก เพราะฉะนั้นหน้ากากอนามัยธรรมดาให้ใส่ ป้องกันได้ เพราะโรคนี้มันน่ากลัวตรงที่คนที่ติดเชื้อแล้วไม่แสดงอาการ มันยังเดินเหินได้ คุยกันได้ ไปเที่ยวผับได้ แต่แพร่เชื้อไปแล้วนะ ซึ่งตอนนี้เหมือนจะเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า ประเทศที่ไม่ค่อยใส่หน้ากาก โดยเฉพาะทางยุโรป ก็เสียชีวิตกันไปมาก ปรากฏว่าคนที่ใส่หน้ากากอัตราการเสียชีวิตต่ำ แล้วก็ติดเชื้อต่ำ
“ใครจะเชื่อว่า บ้านเราจะเป็นกราฟแบบนิ่งลงมา เราคิดว่า จำนวนผู้ป่วยเราแตะแสนแน่แล้ว แต่ปรากฏว่า พวกเราช่วยกันใส่หน้ากาก กลายเป็นว่าประเทศเราน่าจะเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จมากเลยนะในการควบคุมโควิด-19 ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง ผมว่าบ้านเรา เราช่วยกันทำได้ดีมาก”
“การที่จะทำให้เชื้อโรคหายไปจากประเทศเรา หรือจากโลกนี้ มันมีแค่ 3 วิธีเท่านั้น วิธีแรก คิดวัคซีนให้ได้ ซึ่งกระบวนการทำวัคซีนไม่เคยมีกระบวนการไหนใช้เวลาต่ำกว่า 1 ปี เพราะฉะนั้นในเร็ววันนี้ยังไม่มีแน่ๆ ครับ
…อันที่สอง ต้องคิดค้นยาให้ได้ ยาที่จำเพาะต่อโรคนี้โดยเฉพาะ ไม่ใช่ไปกินยาไข้หวัดใหญ่ ไปกินยารักษาเอดส์ ไปกินยาต้านไวรัสชนิดอื่น เพื่อที่จะอาศัยผลของมันมาช่วยลดความรุนแรงของโควิด-19 ตอนนี้เขาใช้ยาที่ใช้ต้านไวรัสตัวอื่นอยู่ครับ อย่างไข้หวัดใหญ่เป็นไวรัสใช่ไหมครับ ปรากฏว่ามันก็มีฤทธิ์บางอันที่เป็นผลข้างเคียงของยาไปช่วยได้
…อันที่สามไม่ต้องทำอะไรเลย ปล่อยให้คนเจ็บล้มหายตายจาก ปล่อยให้เป็นหมดเลย ใครตายก็ตายไป ใครหายก็หาย ไอ้คนหายก็มีภูมิไม่เป็นอีกแล้ว ปล่อยให้ติดเชื้อให้หมดนะครับ ซึ่งเราทำแบบนั้นไม่ได้ เราก็เลยต้องให้ทุกคนพยายามรักษาตัวเองให้ดีแค่นี้มันก็จะสามารถช่วยได้แล้ว”
…แน่นอนครับว่า ชีวิตหรือว่าหลังจากนี้สถานการณ์มันจะเปลี่ยนอย่างที่บอกว่าวิธีการที่จะทำให้โรคนี้มันหายไปมี 3 วิธีเท่านั้นซึ่งแต่ละวิธีใช้เวลาทั้งนั้นเลยนะครับเพราะฉะนั้นเราต้องปรับตัวอยู่กับมันแบบนี้ไปอีกนานพอสมควรอย่างเร็วสุดอาจ 1 ปีเราก็ต้องใช้ชีวิตแบบนี้ครับก็ปลดล็อคไปเรื่อยๆทีละกิจการช่วยๆกันคิดหาวิธีว่ากิจการที่ฉันทำทำอย่างไรที่จะทำให้มันเดินต่อได้โดยที่ยังใส่แมสก์ยืนห่างล้างมือไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตามเราเชื่อว่าถ้าเราร่วมมือกันทำตามมาตรการต่างๆที่ทางภาครัฐออกมาผมเชื่อว่าเราจะผ่านไปได้ด้วยกัน”
┃Photography : Somkiat K.