เวลาอยากได้น้ำหอมและแวะไปที่เคาท์เตอร์แบรนด์ เกิดอาการยืนงงในดงน้ำหอมไหมคะ คือเลือกไม่ถูก นั่นก็ดี นี่ก็กลิ่นหอม นั่นก็ขวดสวย เลยตัดสินใจไม่ได้ เราเลยมีทริคเล็กๆ ที่อาจจะทำให้การตัดสินใจ ของคุณง่ายขึ้นโดยปัจจัยหลัก น่าจะมาจาก 3 สิ่ง กลิ่นที่ใช่ ราคา และนางจะสามารถหอมฟุ้งอยู่บนตัว เราได้นานแค่ไหนและคีย์เวิร์ดง่ายๆ เวลาไปซ็อปน้ำหอม เพียงแค่คุณรู้ว่า 5 ศัพท์ นี้ถ้าเราเจอกันบ่อยๆ ที่ขวดมีความหมายอย่างไร ถ้าพร้อมกันแล้ว เชิญค่ะ
น้ำหอมประเภท Parfum (ปาฟูม) หรือ Perfume (เพอร์ฟูม)
ถือเป็นน้ำหอมที่มีความหอมชัดเจนและหอมไติดทนยาวนานที่สุด เพราะประกอบด้วยส่วนผสมของน้ำมัน หอมเข้มข้นสูงถึง 15-40% และเมื่อคุณสมบัติครบถ้วนขนาดนี้ ใช่คะ เจ้าขวดนี้ก็จะมีราคาที่สูงที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำหอมประเภทอื่นๆ Parfum หรือ Perfume มีกลิ่นหอมที่เข้มข้น และสามารถ ให้ความหอม นานถึง 12 ชม. เมื่อฉีดร่างกาย และ ตลอดวันเมื่อคุณฉีดใส่เสื้อผ้า เหมาะสำหรับการใช้ในโอกาสพิเศษต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะหอมตั้งแต่เริ่มจนจบงานคะ
น้ำหอมประเภท Eau De Parfum (โอ เดอ ปาฟูม) (EDP)
จะเป็นน้ำหอมที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมเข้มข้นอยู่ที่ประมาณ 15-20% มีความเข้มข้นเป็นอันดับ 2 ที่มาพร้อมคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัว คือ มีส่วนผสมของน้ำมันหอมสูงกว่าแอลกอฮฮล์ จึงเหมาะสำหรับ คนที่มีผิวเซนซิทีฟแพ้ง่าย และที่เป็นไฮไลต์คือ ราคาของน้ำหอมประเภทนี้จะย่อมเยากว่า Parfum จึงทำให้น้ำหอมประเภท Eau De Parfumจึงได้รับความนิยมสูงกว่าชนิดอื่นๆ
Eau De Parfum (EDP) ให้ความหอมถึง 10 ชม. เมื่อฉีดร่างกาย และยาวนานถึง 16 ชม. เมื่อคุณฉีดใส่เสื้อผ้า เหมาะสำหรับฉีดในช่วงเวลาระหว่างวันเพื่อเพิ่มความสดชืนให้ตัวคุณเองและคนรอบข้าง
น้ำหอมประเภท Eau De Toilette (โอ เดอ ตัวแล้ท) (EDT)
จะเป็นน้ำหอมที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมเข้มข้นอยู่ที่ประมาณ 5-15% ทำให้น้ำหอมประเภทนี้มีราคา หลายแบรนด์นิยมใช้ผลิตเป็นน้ำหอมสำหรับผู้ชาย หรือ น้ำหอมกลิ่นแนวสปอร์ต ที่ต้องการให้ความหอม อ่อนๆ เบาบาง หรือ สดชื่น จากคุณสมบัติทั้งเรื่องกลิ่น และ ราคา จึงทำให้ Eau De Toilette (EDT) เป็นที่นิยมแพร่หลายไม่แพ้ Eau De Parfum (EDP) โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ชาย และวัยรุ่น
Eau De Toilette ให้ความหอมสดใสถึง 8 ชม. เมื่อฉีดร่างกาย และ ยาวนานถึง 10 ชม. เมื่อคุณฉีดใส่เสื้อผ้า เหมาะสำหรับการฉีดเพื่อทำกิจกกรมกลางแจ้งระหว่างวัน
น้ำหอมประเภท Eau De Cologne (โอ เดอ โคโลญจน์) (EDC)
มีส่วนผสมของนํ้ามันหอม ประมาณ 3-5 % ให้ความหอมแบบอ่อนๆ เบาบาง คล้ายๆ Eau De Toilette (EDT) แต่กลิ่นจะจางเร็วกว่า เหมาะเป็นน้ำหอมที่ใช้ระหว่างวัน และไม่ฉุนจนเกินไปสำหรับสภาพอากาศของบ้านเรา แต่ Eau De Toilette จะระเหยไวกว่า 2 ชนิดแรก
Eau De Cologne (EDC) สามารถให้ความหอมได้ประมาณ 6 ชม. เมื่อฉีดร่างกาย และ ยาวนานถึง 8 ชม. เมื่อคุณฉีดใส่เสื้อผ้า เหมาะสำหรับหนุ่มๆ ที่อยากได้ความหอมเพื่อเพิ่มความสดใสให้ตัวเองแบบไม่ฉุน และชัดเจนจนเกินไป
น้ำหอมประเภท Eau Fraiche (โอ แฟร้ช)
ถือเป็นน้องเล็กสุด เพราะเป็นน้ำหอมที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมน้อย เพียง 1-3% ที่เหลือจะเป็นแอลกอฮอล์ และน้ำ จึงทำให้น้ำหอมประเภทนี้มีกลิ่นที่อ่อนและฟุ้งหอมได้ไม่นานเมื่อเทียบกับน้ำหอมประเภทอื่นๆ แต่ข้อที่น่าสนใจคือ ราคาถูกที่สุดเมื่อเทียบกับประเภทอื่นๆ
Eau Fraiche ให้ความหอมเพียง 4 ชม. เมื่อฉีดร่างกาย และ ยาวนานถึง 6 ชม. เมื่อคุณฉีดใส่เสื้อผ้า
จนถึงบรรทัดนี้น่าจะเข้าใจถึงคุณสมบัติความแตกต่างของน้ำหอมแต่ละประเภท ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น ง่ายๆเลยค่ะ เข้มข้นมาก ฉีดแล้วติดนาน คุณมีบัดเจดเพื่อลงทุน หยิบ Parfum (ปาฟูม) หรือ Perfume (เพอร์ฟูม) แต่ถ้า บัดเจทน้อยลงหน่อย แต่ยาวหอมนานๆ เลือก Eau De Parfum (โอ เดอ ปาฟูม) ส่วนหนุ่ม ๆ หรือสาวน้อยทั้งหลายที่อยากได้ความหอมแบบอ่อนๆ เพื่อเพิ่มความสดชื่น ลองเลือก กลิ่นประเภท Eau De Toilette (โอ เดอ ตัวแล้ท) มาดมค่ะ แต่ถ้าคุณคือ คนที่พึ่งเริ่มต้น คนหาตัวตน ของตัวเองในศาสตร์ของความหอม หรือ ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง Eau De Cologne (โอ เดอ โคโลญจน์) และ Eau Fraiche (โอ แฟร้ช) คือคำตอบสำหรับคุณค่ะ