อ่านบทสัมภาษณ์ UNCUT ครั้งแรกที่ทั้ง 5 หนุ่มบอยกรุ๊ปวง PERSES (เพอร์เซส) ได้แชร์ความคิดและความฝันแบบเต็มๆ ยาวๆ ถึงการเป็นเด็กฝึกรุ่น TFH (Train From Home) การทำมิวสิกโปรดักชั่นกับ Jam Factory ที่ร่วมงานกับ Chris Brown จนถึง Seventeen และการทำงานกับผู้กำกับเอ็มวีของ BTS!
แม้ที่ผ่านมาสถานการณ์โควิดจะเป็นอุปสรรคใหญ่ แต่ก็ไม่อาจหยุดชะงักกระบวนการเฟ้นหาไอดอลกลุ่มแรกภายใต้แผนการปั้น ‘ศิลปินไทยป๊อปเจเนอเรชั่นใหม่’ ของ GMM GRAMMY ลงได้ เด็กฝึกรุ่น TFH (Train From Home) กว่า 20 ชีวิต ที่ผ่านการออดิชั่นโดย G’NEST สังกัดล่าสุดในเครือ จึงต้องฝึกซ้อมและสอบคัดเลือกอย่างเข้มข้นผ่านระบบห้องเรียนออนไลน์ ก่อนจะผลิดอกออกผลเป็น 5 ศิลปินหนุ่มบอยกรุ๊ปในนามวง PERSES (เพอร์เซส) ซึ่งประกอบไปด้วย พี่ใหญ่วัย 25 ปี จั๋ง – วิกร บูรณภิญโญ (เมนแร็ปเปอร์), เน – ณรัณ วิกัยรุ่งโรจน์ (วิชวล/แร็ปเปอร์) วัย 24 ปี, กฤติน – กฤติน สอสูงเนิน (เมนโวคัล) วัย 23 ปี ไปจนถึงดูโอ้น้องเล็กวัย 19 ปี อย่าง ปาล์ม – พีรวิชญ์ พินธะ (เมนแดนเซอร์) และ ปลั๊กกี้ – ธรากร คำสิงห์ (เมนโวคัล & ลีดแดนเซอร์)
PERSES มาพร้อมกับปรากฏการณ์ใหม่ของ GMM GRAMMY ในระดับอินเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการทำมิวสิกโปรดักชั่นในระบบ ‘แคมป์เพลง’ เป็นครั้งแรกร่วมกับ Jam Factory ที่รังสรรค์ผลงานให้ Chris Brown, Pitbull, Will Smith, Nct, Seventeen ฯลฯ รวมถึงการผลิตมิวสิกวีดิโอเพลงแรกในเกาหลีใต้ด้วย
ประสบการณ์ของผู้กำกับภาพ EUMKO ซึ่งฝากฝีมือไว้ในเพลง Yet to Come – BTS, Fearless – LE SSERAFIM, Savage – aespa ฯลฯ ร่วมด้วยทีม Flip Evil ที่ทำเอ็มวีโปรดักชั่นให้ IU, AESPA, WayV, BIBI, Jay Park ฯลฯ ทีมช่างหน้าและช่างผม Bit & Boot ที่ผ่านการร่วมงานกับ BTS, NCT, EXO, LE SSERAFIM, TWICE ฯลฯ
Official MV น่ารักน้อยลงหน่อย – PERSES
นอกจากทักษะการร้อง-เต้น สิ่งหนึ่งที่ทำให้ PERSES น่าจับตาที่สุดวงหนึ่งก็คือ การชูคอนเซปต์เพลง ‘โมเดิร์นป๊อป’ ที่ผสมผสานดนตรีไม่ซ้ำแนว ไม่ว่าจะเป็นเพลง My Time กับดนตรีฟังก์ เพลง Touchdown (ใกล้ดาว) กับจังหวะอาร์แอนด์บี เพลง Catch the Night กับกลิ่นอายแทร็ปและอีดีเอ็ม ในขณะที่เพลงล่าสุด ‘น่ารักน้อยลงหน่อย (Cuteless)’ หวนคืนสู่ความป๊อปที่ทุกคนคิดถึง โดยปณต คุณประเสริฐ หรือนต Getsunova โปรดิวเซอร์ใหญ่ของวง เปิดโอกาสให้ ‘จั๋ง – วิกร’ ลีดเดอร์คนเก่ง ได้สร้างสรรค์เนื้อร้องและทำนองของท่อนแร็ปได้อย่างอิสระ
ต่างที่มา ต่างความฝัน ก่อนบรรจบกันด้วยความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ
ปาล์ม: ผมชอบเต้นมาตั้งแต่ประถมครับ เหตุเกิดจากผมชอบผู้หญิงคนหนึ่งมาก เขาชอบไปยืนดู ‘ชมรมเต้น’ ผมก็เลยเข้าชมรมนั้น เพราะอยากโชว์อะไรให้เขาเห็น (ได้อยู่ในสายตาเขาแล้วรู้สึกยังไง?) กระชุ่มกระชวยหัวใจครับ (เขารู้มั้ย?) ไม่เคยบอกเลยครับ แต่ก็ทำให้ค้นพบว่าการเต้นเป็นสิ่งหนึ่งที่เราชอบ จนโตขึ้นก็ได้รับโอกาสให้ร่วมทีมแดนเซอร์ในคอนเสิร์ตของศิลปิน เช่น พี่เบิร์ด พี่ทาทา พี่เป๊ก – ผลิตโชค ฯลฯ จุดนี้ทำให้ผมมาออดิชั่น เพราะอยากพัฒนาขึ้นไปอีก
ปลั๊กกี้: ผมเป็นเด็กขอนแก่นครับ คลิปที่ผมประกวด ‘เดอะวอยซ์ คิดส์’ เมื่อ 7 ปีที่แล้วเป็นไวรัลอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนนั้นมีความสุขกับการร้องเพลงมาก เสียงสูงแค่ไหนก็ไปถึง โหดแค่ไหนก็ร้องได้หมด แต่พอเสียงแตกแล้วเรนจ์เสียงแคบลง เลยหันมาจริงจังกับการเต้นคัฟเวอร์แทน ผมเดินสายแข่งทั่วภาคอีสานเลย สูงสุดคือได้รางวัลที่ 3 จากงาน ‘อิสาน ยัง ทาเลนต์’ แต่ก็ไม่ค่อยได้รางวัลครับเลยเลิกประกวด แล้วหันมาทำคลิปลงยูทูบ ปรากฏว่าพี่ๆ ใน G’NEST เห็นเข้าก็เลยทักมาทางไอจี เขาคุยกันว่า “น้องคนนี้เต้นแรงจัง” เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ได้ออดิชั่นกับทางค่ายครับ
จั๋ง: ส่วนผมอยู่กับดนตรีมาตั้งแต่ ม.ปลาย เลยครับ ผมชอบตีกลอง เล่นเปียโน แล้วก็ทำวงดนตรี เมื่อก่อนเล่นแนวร็อกเลยครับ อย่างเพลงของวง Paradox, Bodyslam, Potato, Cocktail ฯลฯ จนวันนึงที่ G’NEST เปิดออดิชั่น ค่ายเก่าก็เลยส่งผมมาครับ (ฝึกกับค่ายเก่านานแค่ไหน?) ตอนนั้นฝึกได้ 6 เดือนครับ เกือบจะได้เดบิวต์แล้วด้วย
เน: ผมรับงานถ่ายแบบ เล่นเอ็มวี เล่นโฆษณามาบ้างครับ พอ G’NEST เปิดออดิชั่น พี่ๆ เลยติดต่อให้มาลองดู (เราร้อง – เต้นได้อยู่แล้ว?) ไม่ได้ครับ ไม่มีพื้นฐานเลย ตอนนั้นร้องเพลงเธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ เพราะเราฟังเพลงแนวนี้ ส่วนตอนเต้นก็โยกไปตามที่เราเข้าใจ ไม่รู้ว่าเหมือนกันครับว่าทำไมถึงผ่านเข้ารอบ แต่ยังไงก็ขอลองดูสักตั้ง
กฤติน: ผมก็เป็นนายแบบโฆษณา เล่นหนังสั้น เล่นเอ็มวีอยู่ครับ จริงๆ ความฝันสูงสุดคืออยากเป็นศิลปิน แต่เราก็ไม่กล้าไปประกวดหรือสมัครกับค่ายเพลง จนพี่ผู้จัดการเขาถามว่าอยากลองออดิชั่นมั้ย? ผมก็เลยมากับพี่เนนี่ล่ะครับ เพราะอยู่โมเดลลิ่งเดียวกัน จำได้ว่าร้องเพลงทางของฝุ่น แล้วก็เต้นแค่นี้ (ชูแขนพร้อมโยกตัว) คือขยับแขนขึ้น-ลง ฟีลแฮงเอาต์เบาๆ กับเพื่อน (ยิ้ม) ตอนนั้นผมก็งงนะว่าผู้ใหญ่เล็งเห็นอะไรในตัวเรา แต่เชื่อว่าเขาคงเห็นว่าเราทำได้
ค้นพบทักษะใหม่จากการเจียระไนและค้นหาตัวตน
กฤติน: ทางค่ายฝึกให้ทุกอย่างครับ มากกว่าร้อง-เต้น เราได้เรียนบุคลิกภาพ ทัศนคติ การพูด การแสดง แร็ป ฯลฯ เลยค้นพบว่าเราไม่ใช่แค่คนพูดเสียงดังอย่างเดียว แต่เรามีพลังในการร้อง และผมเป็นคนฟีลกับทุกอย่าง ผู้ใหญ่คงเล็งเห็นจุดนี้ ฝึกกันมาเรื่อยๆ ล้มบ้างลุกบ้าง แต่ได้เพื่อนๆ พี่ๆ ในค่ายคอยพยุง ช่วยซัพพอร์ตซึ่งกันและกันมาโดยตลอด
ปลั๊กกี้: ความยากของผมคือก่อนหน้านี้เราเต้นคัฟเวอร์มา เราต้องพยายามเต้นให้เหมือนศิลปินที่เราโคฟ แต่พอมาฝึกเพื่อที่จะเป็นศิลปิน มันต้องมาจากตัวเราข้างในจริงๆ เพื่อส่งอารมณ์ไปยังคนดูได้ อย่างปาล์มได้คลุกคลีกับอาชีพแดนเซอร์มาก่อน เขาเบสิกแน่น แต่ผมแค่แกะท่าเต้นอยู่ที่บ้าน เพิ่งได้รู้ที่มาที่ไปของแต่ละท่า และการทำให้ถูกต้อง
ปาล์ม: พอเข้ามาฝึกเป็นศิลปิน เราต้องใช้อินเนอร์เยอะครับ เราสื่อสารผ่านร่างกายเยอะมาก ต้องรู้สึกกับแต่ละเพลงจริงๆ ถึงจะสื่อสารให้คนดูได้รับความรู้สึกจากเราเต็มที่
จั๋ง: ตอนแรกผมเข้ามาเป็นโวคัลก่อน แต่ด้วยความที่เราชอบทดลอง อยากหาเอกลักษณ์ของตัวเองให้เจอ ประกอบกับชอบสไตล์พี่กอล์ฟ F.Hero กับพี่ทีเจ URBOYTJ เวลาฟังก็รู้ทันทีว่านี่คือซาวน์ของใคร เลยลองหาซาวน์ที่เข้ากับเราที่สุด ร้องได้สบายที่สุด ถนัดที่สุด แล้วผมก็เริ่มสนใจการแร็ปมากขึ้น จนสุดท้ายก็กลายเป็นจุดแข็งของตัวเอง
เน: ตอนเป็นเทรนนี เราต้องสอบทุกเดือนครับ มีทั้งเพลงที่เลือกเอง แล้วก็เพลงที่ค่ายกำหนดมา พอสอบไปเรื่อยๆ ทางค่ายเริ่มเห็นตัวตนเราจากการแร็ป ผมก็เลยลองโฟกัสกับการแร็ป พยายามผลักดันตัวเองในทางนี้ ส่วนตัวผมชอบการแร็ปที่เป็นเนื้อเรื่อง อย่างพี่ตั้ง TangBadVoice ซึ่งมีคาแรกเตอร์ในการแต่งเพลงและเขียนโฟล์วที่ชัดเจนมาก
เส้นทางบอยกรุ๊ปที่ฟันฝ่าด้วยน้ำตาและกำลังใจ
กฤติน: เรามีเพื่อนที่ฝึกด้วยกันหลายคนครับ แต่จะโดนคัดออกทุก 3 เดือน ผมเลยไม่ชอบการแข่งขัน รู้สึกกดดัน เหมือนพวกเราเป็นเซอร์ไววัล (จัดการความเครียดยังไง?) น้ำตากับช้อปปิ้ง! การซื้อของเยียวยาผมได้ แต่เพื่อนกับครอบครัวช่วยได้มากที่สุด ปกติผมจะได้รับคำชมว่าเป็นคนที่มีคาแรกเตอร์ชัด แต่มีช่วงหนึ่งที่ค่ายบอกว่าเราดูไม่มีคาแรกเตอร์ ดูล้น ดูไม่ใช่ไปหมด ตอนนั้นเสียใจมาก รู้สึก “อ้าว..จบแล้วอาชีพในฝัน” มารู้ทีหลังว่าเป็นเพราะเรากดดันตัวเองมากเกินไป เวลาเพอร์ฟอร์มเลยดูไม่เป็นธรรมชาติ (เอาจุดเด่นกลับมาด้วยวิธีไหน?) ทำตัวเองให้มีความสุขก่อนครับ
ปลั๊กกี้: ผมก็ร้องไห้บ่อย เพราะระหว่างเป็นเด็กฝึก เราจะมีคะแนน มีการจัดอันดับอยู่ตลอด ผมเลยพยายามผลักดันตัวเองให้อยู่ตำแหน่งบนๆ ให้ได้มากที่สุด แต่พอผลการสอบไม่เป็นตามคาดก็จะกดดันตัวเอง ดีที่ได้พูดคุยกับเด็กฝึกด้วยกัน แล้วพี่ๆ ทีมงานก็คอยให้กำลังใจว่าทุกอย่างมีขึ้นมีลง เคยลงแล้วก็กลับขึ้นไปใหม่ได้
เน: เราเริ่มฟอร์มวงหลังจากผ่านการเทรนมาประมาณหนึ่งปีครับ เริ่มจาก 4 คนก่อน (เน จั๋ง กฤติน ปลั๊กกี้) อีกเกือบหนึ่งปีถึงได้ปาล์มเข้ามา และได้เทรนด้วยกัน 5 คนจนเป็นวง PERSES แบบทุกวันนี้
กฤติน: ตอนนั้นเหมือนทางค่ายต้องการใครสักคนที่จะมาเติมเต็มวงให้สมบูรณ์ขึ้น (ผู้จัดการวงเสริมว่าเป็นเพราะไม่ได้กำหนดไว้แต่แรกว่าต้องมีสมาชิกกี่คน จนสุดท้ายเหลือ 4 คนที่มีศักยภาพในการเป็นศิลปิน ทว่ายังไม่กลมกล่อม เลยต้องประกาศออดิชั่นอีกครั้งจนได้ปาล์มเข้ามา ซึ่งปาล์มก็ต้องเจอบททดสอบเยอะกว่าจะผ่านเข้ามาได้)
ปาล์ม: (รู้สึกยังไงบ้างที่เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย) ตื่นเต้นครับ แต่ก็แอบงงๆ เพราะพวกเขาซ้อมด้วยกันมานานแล้ว และอีกอย่างคือผมดูเป็นคนเข้าถึงยาก (เราค่อนข้างอินโทรเวิร์ต?) ไม่นะ (ปาล์มปฏิเสธ แต่ปลั๊กกี้พยักหน้าหงึกๆ)
กฤติน: คือปาล์มเป็นอินโทรเวิร์ตที่เข้าใจว่าตัวเองเป็นเอ็กซ์โทรเวิร์ต
ปาล์ม: ผมชอบเข้าสังคมนะ แต่ไม่รู้จะเข้าหาสังคมยังไง (ปาล์มเสียงอ่อย พร้อมเครื่องหมายคำถามในหัวของทุกคน) ช่วงแรกเลยอาจดูมีกำแพงนิดนึง ผมคุยกับปลั๊กกี้เป็นคนแรก เพราะเราเรียนเต้นด้วยกัน อายุเท่ากันเลยคุยกันง่าย
ปลั๊กกี้: ปาล์มเงียบมาก ดีที่ตอนเทรนมีโจทย์ให้คิดท่าเต้น เราก็เลยได้คุยกันเรื่องนี้ ผมคิดว่าคงเป็นเพราะเราเจอกันแต่ในออนไลน์ พอได้เจอตัวเป็นๆ เอ๊า…เงียบกว่าในจอไปอีก (หัวเราะ) แต่ตอนนี้ปาล์มพูดเยอะขึ้นแล้วครับ
คุณค่าจากการทำลายล้างเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ตามนัยยะแห่ง ‘เทพเพอร์เซส’
เน: ผมไม่มีพื้นฐานมาก่อนก็เลยไม่กล้าที่จะร้องหรือเต้นต่อหน้าใคร แต่พอได้เข้ามาเป็นเด็กฝึก ได้เรียนร้องเพลง เรียนเต้น ข้อจำกัดทั้งหลายที่ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ก็ถูกทำลายไป
จั๋ง: พวกเราต่างคนต่างที่มา มีความถนัด ความสนใจ ความชอบที่แตกต่างกัน แต่พอได้มาเทรนด้วยกันก็เหมือนเราได้ทำลายกำแพงระหว่างกันลงครับ อีกส่วนหนึ่งคือการทำลายสิ่งที่เราไม่ถนัด อย่างผมที่เคยไม่มั่นใจ ไม่กล้าแสดงออกมาก่อน พอได้รูัจักกับสมาชิกในวง ได้ฝึกฝนอย่างจริงจังก็ทำให้เราได้เป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุด
ปาล์ม: ก่อนหน้านี้ผมไม่ค่อยอินกับการร้องเพลง เพราะชอบเต้นอย่างเดียว ช่วงที่เรียนร้องเพลงแรกๆ เลยรู้สึกว่าเรามีกำแพงบางอย่าง (แล้วกำแพงทลายลงตอนไหน?) น่าจะเป็นการสอบร้องเพลงครั้งสุดท้ายครับที่ผู้ใหญ่มาดูเพื่อที่จะเคาะสมาชิกในวง วันนั้นผมได้รับคำชมว่า “ร้องดีนะ” เลยเริ่มมั่นใจในการร้องเพลงมากขึ้น
ปลั๊กกี้: ของผมคือการทำตัวเองให้เก่งกว่าเดิม จากทีแรกที่คิดว่าเราร้องเต้นได้ดีแล้ว แต่พอเป็นเด็กฝึกก็ได้รู้ว่าเรายังไม่โอเคขนาดนั้น เราทำให้ดีขึ้นได้อีก อีกอย่างคือได้ทลายความเป็นเด็กลงบ้าง มาอยู่กรุงเทพฯ เอง ได้รับผิดชอบมากขึ้น ได้เจอเรื่องให้กดดันมากกว่าตอนเป็นเด็กที่แม่ไปส่งเข้าเรียนพร้อมข้าวไข่เจียว เหมือนเราได้ตัวเองเวอร์ชั่นใหม่
กฤติน: ผมนี่ระเบิดคนเดิมทิ้งไปเลย ชีวิตตอนนี้เป็นคนละแบบกับเมื่อก่อน ตอนนั้นอยากทำอะไรก็ทำ อยากพูดอะไรก็พูด ค่อนข้างอิสระและขวางโลก แล้วเราไม่ได้มีเพื่อนเยอะ คบแค่กลุ่มเดียวซึ่งเป็นเพื่อนที่คิดดีทำดีนะ เป็นเด็กเรียนที่ขี้อวย (หัวเราะ) คืออวยเราไปเรื่อย ซัพพอร์ตหมด ไม่มีใครกล้าเตือน คงเพราะผมเสียงดัง แต่พอทำวง เราต้องเห็นแก่ส่วนรวม ผมค่อยๆ เปลี่ยนตัวเอง ลอกคราบคนเก่าออกไป จนเดี๋ยวนี้ซอฟต์ขึ้นเยอะ (งั้นช่วงแรกมีใครกลัวกฤตบ้าง?)
ปาล์ม: แรกๆ กลัว เพราะหน้าเขาดูขึงขังนิดนึง และโดยปกติผมก็ไม่รู้จะเข้าหาคนยังไงอยู่แล้ว (หัวเราะ)
จั๋ง: ผมก็มีเฟิร์สต์อิมเพรสชั่นกับกฤตในทางไม่สู้ดี ครั้งแรกเห็นเขาอัดคลิปอยู่คนเดียวก็เลยเข้าไปถามว่า “พี่ช่วยมั้ย?” แต่ด้วยความที่เขาหน้านิ่ง พอตอบกลับว่าไม่เป็นไรเลยดูเหมือนเขาตึงใส่ แต่พอรู้จักจริงๆ กฤตเป็นคนน่ารักมาก
กฤติน: ต้องให้เวลา 1-2 อาทิตย์ ผมถึงจะเผยตัวจริงออกมา (จั๋งแย้งว่านานกว่านั้น) ก็เราไม่ค่อยได้คุยกันไงพี่จั๋ง เรามาสนิทกันช่วงฟอร์มวงแล้ว พอได้คุยกันก็รู้สึกว่าจริงๆ แล้วเราเข้ากันได้มากกว่าที่คิด เพราะพี่จั๋งเป็นคนใช้เหตุผล แต่ผมเป็นคนใช้อารมณ์ (หัวเราะ) ส่วนพี่เนเขาเหมือนน้ำที่อยู่ตรงไหนก็ได้ เข้ากับทุกคนได้หมด เหมือนปลั๊กกี้
ปลั๊กกี้: ผมไม่อะไรกับพี่กฤต แค่ตอนแรกรู้สึกว่าเขาเล่นใหญ่ในทุกๆ อย่าง (ทุกคนฮาครืนโดยมิได้นัดหมาย) พี่กฤตตามมาหลังจากที่พวกเราเริ่มฝึก 1-2 วัน แล้วแต่งตัวดีมาก ซึ่งในห้องซ้อมไม่มีใครแต่งตัวดี เขาแต่งตัวเหมือนเตรียมพร้อมที่จะทำอะไรสักอย่าง (ทุกวันคือรันเวย์?) ใช่ เต้นไลน์ใหญ่ พูดเสียงดัง จนผมคิดว่าต้องขนาดนี้เลยหรอ? (หัวเราะ)
จั๋ง: แล้วพี่มองว่าพวกเราเป็นยังไงบ้างครับ (ลีดเดอร์สอบถามความเห็น LIPS)
LIPS: เนเหมือนชายใหญ่สุขุมนุ่มลึก กฤตอารมณ์ชายรองขาใหญ่ ปาล์มเป็นชายกลางสายละมุน
ปลั๊กกี้: ส่วนผมเป็นชายสี่..หมี่เกี๊ยว (น้องเล็กชิงปิดฉากด้วยมุกตึ่งโป๊ะ)
กฤติน: (คู่ไหนต่างกันที่สุด?) ถ้าสุดขั้วเลยคือผมกับพี่เน พี่เนเป็นสวรรค์ ผมก็สวรรค์..แต่เป็นสวรรค์ชั้นล่าง
ปลั๊กกี้: 3 คนนี้ครับ (พูดพลางชี้นิ้วเป็นสามเหลี่ยมพลังงานที่ประกอบไปด้วยกฤติน เน ปาล์ม)
รักทุกผลงาน แต่เพลงนี้ครองชาร์ตอันดับหนึ่งในหัวใจ
จั๋ง: ผมให้ ‘Touchdown (ใกล้ดาว)’ ซิงเกิ้ลที่ 2 ครับ ส่วนตัวผมชอบแนวเพลงอาร์แอนด์บีอยู่แล้ว เพลงนี้เราได้พี่เติร์ด Tilly Birds มาแต่งเนื้อร้องให้ พี่เขาเลือกใช้คำที่ทัชเรามาก เนื้อเพลงเพราะ ฟังง่าย เมโลดี้ก็สวยครับ
ปลั๊กกี้: ผมก็ชอบ ‘Touchdown’ มากที่สุด เพราะส่วนตัวถ้าไม่ฟังเพลงสนุกๆ ก็ฟังแนวสบายๆ ไปเลย เพลงนี้ความหมายดี ฟังครั้งแรกรู้สึกชวนฝันเลย เหมือนพรรณนาถึงสิ่งที่เราเฝ้ารอ แล้วท่าเต้นบางส่วนในเพลงนี้ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากท่าที่ปาล์มออกแบบด้วยนะครับ เพราะก่อนหน้านั้น ทางค่ายให้เราลองทำโชว์โดยคิดท่าเต้นกันเอง
เน: ส่วนผมชอบซิงเกิ้ลที่ 3 ‘Catch the Night’ ที่สุดครับ เพราะไม่ว่าดนตรีหรือเนื้อหา ถ้าใครได้ฟังก็น่าจะได้รับพลังในการออกไปใช้ชีวิต ออกไปเป็นตัวเอง เพลงนี้ดนตรีสนุก เนื้อหาปลุกพลังสุดๆ เลยครับ
ปาล์ม: ‘Catch the Night’ เหมือนพี่เนครับ ผมชอบดนตรีแนวนี้อยู่แล้วที่เดือดๆ หน่อย เป็นเพลงของสายแดนซ์จริงๆ ตอนเต้นเพลงนี้ผมมีความสุขมาก เหมือนได้ปล่อยพลังเต็มที่
กฤติน: ผมชอบ ‘น่ารักน้อยลงหน่อย (Cuteless)’ ซิงเกิ้ลที่ 4 เพราะอยากให้คนรู้ว่าเราก็อ้อนเป็น เห็นแบบนี้ผมอ้อนเก่งนะค้าบ ทีแรกก็ไม่แน่ใจว่าเราจะทำได้ดีแค่ไหน แต่พอได้เวิร์กกับเพลงจริงๆ ก็รู้สึกว่า “มาละ..ตัวตนเรามาแล้ว” หลายคนอาจจะนึกไม่ถึงว่าผมอ่อนโยนได้ อบอุ่นได้ (ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยว่าตัวตนของกฤตินเป็นเช่นนั้น)
ปลั๊กกี้: พี่กฤตเขาไม่ใช่คนแข็งขนาดนั้น แต่ด้วยลุคภายนอกที่แบบ…
กฤติน: แบบไก่ทอดที่ภายนอกแข็งกรอบ แต่ข้างในนุ่มชุ่มฉ่ำ (อารมณ์หมาใหญ่ใจดี?)
ปลั๊กกี้: ไม่นะ เหมือนน้องหมาพันธุ์เล็กที่เห่าแบบก๋ากั่น (ทำเสียงประกอบ) แต่พอเราแกล้งเงื้อมือก็รีบวิ่งหนีเลย
‘น่ารักน้อยลงหน่อย (Cuteless)’ เพลงใหม่ฟังแล้วเขินโดยพร้อมเพรียง
จั๋ง: ตอนแรกที่พี่เขาเปิดเพลงนี้ให้ฟัง ผมก็เสนอว่าถ้าเติมท่อนแร็ปเข้าไปสักหน่อยก็น่าจะลงตัว ทางค่ายเลยบอกว่า “งั้นจั๋งเขียนมาสิ” ผมก็เลยได้โอกาสเขียนแร็ปแล้วอัดเดโมส่งไป ซึ่งเขาให้อิสระมากว่าเราจะเล่ามุมไหนก็ได้
เน: ผมชอบคาแรกเตอร์ในเพลงนี้ที่ซอฟต์ๆ หน่อย ทุกคนอาจจะยังไม่เคยเห็นพวกเราในมุมอ้อนๆ น่ารักๆ แบบนี้ ยิ่งได้เพอร์ฟอร์มก็รู้สึกสนุกและแฮปปี้มากในการถ่ายทอดคาแรกเตอร์นี้ออกมา
ปาล์ม: 3 เพลงก่อนหน้านี้มีทั้งความดุดัน ความเท่ แต่เพลงนี้คือโลกเป็นสีชมพู (ยิ้ม) ถือเป็นเอ็มวีเพลงแรกที่พวกเรายิ้มเยอะที่สุด ยิ้มกันทั้งเพลงเลยครับ มันมีความน่ารักของแต่ละคนอยู่ในเพลงนี้ ทุกคนอาจจะเคยเห็นพี่กฤตแต่ในมุมคูลๆ แต่จริงๆ เวลาเขายิ้ม เขาน่ารักมาก (กฤตินถึงกับเอามือป้องปาก แต่ก็ซ่อนรอยยิ้มกว้างของตัวเองไม่ได้)
ปลั๊กกี้: ส่วนผมชอบความตรงไปตรงมาของเพลงนี้นะ บอกตรงๆ เลยว่า “เธอช่วยน่ารักน้อยลงหน่อย” ก็คือเข้าใจง่าย ไม่ต้องคิดเยอะ ไม่ต้องตีความเหมือนเพลงที่ผ่านๆ มาของพวกเรา
กฤติน: ใช่ ผมก็ชอบเนื้อหาเพลง ได้ยินครั้งแรกก็รู้สึกย่อยง่าย ภาพในหัวมันออกมาเลย ฟังแล้วยิ้มตาม เอ็มวีสดใส โลกสว่าง ผมว่าทุกคนน่าจะชอบ เพราะตัวผมเองก็ชอบเพลงนี้มากๆ ครับ
โดดเด่นเพราะหลอมรวมแตกต่าง พร้อมกรุยทางระดับอินเตอร์
จั๋ง: ผมว่าเอกลักษณ์ของ PERSES คือแนวดนตรี แล้วก็ความแตกต่างกันของสมาชิกในวง ไม่ว่าคาแรกเตอร์หรือความถนัด พวกเราต่างกันมาก แต่เวลาแสดงด้วยกัน มันเหมือนมีเฉดสีพิเศษที่เบลนด์ออกมาจากพวกเราทั้ง 5 คน
กฤติน: เราได้ Harlem Shake มาออกแบบท่าเต้นทุกเพลงเลยครับ เขาดีไซน์จากตัวตนของพวกเรา เลยมีเอกลักษณ์ว่าวง PERSES นี่แหละที่เต้นฟีลนี้ ไลน์นี้ เอ็มวีเพลงแรก ‘My Time’ ก็ไปถ่ายทำกันถึงเกาหลีเลย
จั๋ง: ตอนนั้นทางค่ายเลือกจากผลงานที่ผ่านๆ มาของแต่ละเจ้าครับ ทั้งบริษัทในไทยและเกาหลี แต่ด้วยความที่คอนเซปต์เพลงแรกไปตรงกับสไตล์งานของบริษัทที่เกาหลี เราเลยได้บินไปถ่ายเอ็มวีกันที่นั่น
ปลั๊กกี้: ถ่ายเอ็มวีครั้งแรกสนุกมากครับ ไม่เครียดเลย คือก่อนหน้านี้เราจะได้ยินพี่ๆ ที่เคยร่วมงานกับเกาหลีบอกว่า “เขาจะดุๆ หน่อยนะ” แต่พอถึงหน้างานจริงรู้สึกว่าทีมงานน่ารัก เช่น ช่างแต่งหน้าที่ไนซ์มาก พยายามสื่อสารกับเรา ผมก็พอพูดกับเขาได้นิดหน่อย เพราะเคยศึกษาเอง ซึมซับจากไอดอลที่เราชื่นชอบ อีกสิ่งหนึ่งที่ประทับใจมากเลยก็คือความตรงเวลา ทุกอย่างเป๊ะมากตามเวลาที่วางไว้ เป็นการเปิดศักราชผลงานแรกที่ดีมากๆ
ปาล์ม: ถึงท่าเต้นในเพลง My Time จะเป็นท่าที่ทำให้เหนื่อยสุดๆ แต่ตอนถ่ายเอ็มวีพวกเราสนุกมากครับ ใส่เต็มกันทุกคน เหมือนเราเทรนกันมานานเพื่อที่จะมีเอ็มวีแรกในชีวิต เพลงนี้เราถ่ายทำกันอยู่ 2 วัน วันแรกถ่ายเสร็จตี 2 กลับถึงที่พักตี 3 พอตี 5 ก็ต้องตื่นไปถ่ายต่อของอีกวัน ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงกันมาจากไหน (หัวเราะ)
เส้นชัยและปณิธานในวงการบันเทิง
เน: พอเราได้ขึ้นแสดงในฐานะศิลปิน เราได้รับพลังจากคนดู รอยยิ้มของเขา การที่เขาร้องเพลงกับเรา ความสุขที่เขาได้ดูเรา ทำให้ผมอยากอยู่ตรงนี้ คอยให้ความสุขเขาไปเรื่อยๆ ส่วนเป้าหมายส่วนตัว ด้วยความที่วงการบันเทิงคือศิลปะ ผมรู้สึกว่า ‘ศิลปะคือการเข้าใจตัวเอง’ เข้าใจความรู้สึกของเราเอง แล้วค่อยถ่ายทอดมันออกไปผ่านการร้องเพลง การเต้น การแสดงบนเวที ผมอยากทำความเข้าใจในศาสตร์นี้เพิ่มขึ้น เพื่อที่จะทำความเข้าใจตัวเองและสื่อสารออกไป (ที่ผ่านมาสำรวจตัวเองไปแล้วกี่เปอร์เซ็นต์) ผมว่าสัก 7% เพราะเราต้องเรียนรู้ตัวเองในแต่ละวันไปจนวาระสุดท้ายของชีวิต วันนี้กับเมื่อวาน ความคิดเราก็เริ่มแตกต่าง หรือให้เทียบกับตัวเองเมื่อปีก่อน ผมก็รู้สึกว่าเราต่างจากวันนั้นมากๆ
จั๋ง: ปณิธาน ‘ก่อนเดบิวต์’ กับ ‘หลังเดบิวต์’ ของผมต่างกันมากเลย ก่อนเดบิวต์ เราทำในสิ่งที่ชอบ เรารักในดนตรี รักในการร้อง เต้น แร็ป ทำเพลง ทำทุกสิ่งที่ว่ามานี้ด้วยความสนุก เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง แต่พอเดบิวต์ ความคิดเราเปลี่ยนไปหลังจากที่ได้เจอแฟนคลับ เวลาเราเพอร์ฟอร์ม เราได้ฟีดแบ็กจากแฟนคลับ บางคนถ่ายรูปแล้วแท็กมาว่าเราเป็นหนึ่งในกำลังใจและเป็นแรงผลักดันของเขา สิ่งเหล่านี้เปลี่ยนโลก เปลี่ยนมุมมองของผมไปเลย กลายเป็นว่าเราไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่เรากำลังทำเพื่อคนอื่นด้วย ส่วนการทำงานในวงการบันเทิง ด้วยความที่ผมโปรดิวซ์เพลง มีประสบการณ์ในการรับทำเพลง ในอนาคตก็อยากทำงานเบื้องหลัง ผลิตเพลง ผลิตผลงานให้ศิลปินคนอื่นต่อไป
ปาล์ม: ผมอยากมีเวิลด์ทัวร์เป็นของตัวเองครับ อยากให้คนทั่วโลกรู้จักเรามากขึ้น ตอนนี้เรามีแฟนด้อม PIECES ที่รักเรามาก คอยสนับสนุนและให้กำลังใจเสมอ ไม่ว่างานเช้าหรืองานดึก ไม่ว่าเราจะไปทำงานที่ไหน เลยรู้สึกว่าถ้าวันหนึ่งเราได้รับการยอมรับมากขึ้นหรือได้ไปแสดงในต่างประเทศ ก็คิดว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นการตอบแทนที่ดีได้
ปลั๊กกี้: ความฝันตั้งแต่เด็กๆ ของผมคืออยากเป็นนักร้อง ตอนนี้เลยโฟกัสที่งานเพลงก่อน ผมอยากทำเพลงหลายๆ แนว เพราะแต่ละเพลงที่ผ่านมาก็จะมีเราในแต่ละแบบ เลยอยากเห็นตัวเองในแต่ละเวอร์ชั่นให้มากขึ้น แล้วก็อยากรู้ว่าเพลงแนวไหนนะที่จะเหมาะกับเรา ที่คนฟังจะสนุกสุดๆ ไปกับเรา ตอนนี้พวกเราก็กำลังหาแนวเพลงใหม่ๆ ไปด้วย อย่างล่าสุดผมได้ฟังจังหวะแอฟโฟรก็รู้สึกว่าอะเมซิ่งมาก ถ้าเรามีเพลงแนวนี้บ้างจะเป็นยังไงนะ? อีกอย่างคือผมกำลังจะเข้าเรียนปี 1 สาขาการแสดงและกำกับการแสดงภาพยนตร์ ก็เลยอยากลองงานด้านนี้ ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง
กฤติน: ผมอยากให้ผลงานของพวกเราเป็นที่ยอมรับ เป็นที่ชื่นชอบ ผมอยากมอบความสุขให้กับคนทั่วโลก อยากขึ้นเวทีต่างประเทศบ้าง ไปแสดงเฟสติวัลใหญ่ๆ ให้คนได้รู้จักเราเยอะๆ ถ้าในแง่ส่วนตัว ผมอยากเป็นตัวเองให้ได้มากที่สุด อยากให้ตัวตนของผมได้รับการยอมรับ เพราะการเป็นตัวเองมันดีนะ บางทีเราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวเราเพื่อคนอื่นขนาดนั้น ผมอยากให้คนรักที่ ‘เราเป็นเรา’ ในมุมที่ดีนะครับ
แพสชั่นและพื้นที่แห่งความสุขนอกเวลางาน
เน: ถ่ายวีดิโอครับ ผมเพิ่งซื้อกล้องแฮนดี้แคมมือสองมาจากออนไลน์ ถ้ามีวันว่างผมจะออกไปเดินเล่นแล้วก็ถ่ายวีดิโอเก็บไว้ อย่างรายละเอียดระหว่างการใช้ชีวิตที่เราอาจจะไม่ได้สังเกตมัน ความสวยงามเล็กๆ น้อยๆ ที่เราอาจจะเผลอลืมไป นอกจากนี้ ผมก็ชอบอ่านหนังสือมาก แล้วก็สนใจในการเขียนด้วย ทุกวันจะเขียนบันทึกว่ารู้สึกยังไง คิดอะไรอยู่ ได้เรียนรู้อะไรบ้าง ในอนาคตถ้ามีโอกาสก็อยากทำเป็นหนังสือออกมาครับ ส่วนการอ่าน ถ้าฟิกชั่น ผมชอบผลงานของนักเขียนแนวกระแสสำนึกที่เน้นถ่ายทอดความรู้สึกของตัวละคร เช่น ฮารูกิ มูราคามิ ถ้าเป็นนอนฟิกชั่น ผมจะสนใจพวกประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ (นี่เราพบเด็กเนิร์ดหนึ่งอัตราในวง PERSES ?)
กฤติน: สุดๆ ครับคนนี้ ร้อยเปอร์เซ็นต์
เน: แต่ผมเป็นเด็กเนิร์ดที่เรียนไม่เก่งนะ อ่านหนังสือทุกประเภท ยกเว้นหนังสือเรียน (หัวเราะ)
จั๋ง: แพสชั่นของผมคือดนตรี นอกจากจะเป็นส่วนหนึ่งของบอยแบนด์ ผมก็ทำพอร์ตโฟลิโอด้านดนตรีไปด้วย อย่างโชว์ของ PERSES ผมก็มีหน้าที่เอาเพลงมาร้อยเรียงใหม่ ตอนนี้กำลังอัพสกิลเปียโนและการทำดนตรีครับ ถ้าไม่ใช่เรื่องดนตรี ผมก็กำลังอินกับการทำสมาร์ทโฮมอยู่ เช่น ถ้ามีอุปกรณ์ตัวนี้จะสร้างซีนยังไง หรือเวลาเดินเข้าห้องจะให้หน้าต่างกับไฟทำงานอัตโนมัติ ตอนนี้กำลังจัดสตูดิโออัดเสียงที่บ้านอยู่ครับ (ใครเคยไปป่วนสตูดิโอบ้านจั๋งบ้าง?)
เน: เคยไปสตูดิโอเก่าที่ยังไม่ได้รีโนเวตครับ พวกเราไปอัดเสียงอัดเพลงที่บ้านพี่จั๋งกันมาแล้ว
ปาล์ม: ของผมฟุตบอลครับ ย้อนไปก่อนเรียนเต้น ตอนนั้นผมชอบฟุตบอลมากถึงขนาดอยากติดทีมชาติ อยากไปเล่นต่างประเทศ แต่พอเรียนเต้น ชีวิตก็พลิกผันไป จนช่วงมัธยมฯ ได้เตะบอลกับเพื่อนแล้วแพสชั่นนี้มันกลับมาอีกครั้ง เป็นงานอดิเรกที่ผมชอบมากอีกอย่างหนึ่ง ผมชอบเล่นกองหลังนะ เพราะไม่ต้องวิ่งเยอะ ทีมโปรดคือ ‘แมนฯ ซิตี้’ ครับ
ปลั๊กกี้: ผมอินหลายอย่างมาก แต่ที่เล่าได้คือการหาที่เที่ยวกับตามล่าหาร้านอร่อย จริงๆ ผมชอบไปที่ที่ไม่ร้อน อย่างตอนเด็กๆ เคยแวะไปอยู่แอลเอครึ่งปี เกาหลีใต้ก็ชอบมาก อาหารเกาหลีกลายเป็นเมนูหลักในชีวิตผมเลย สั่งบ่อยสุดก็น่าจะเป็นคิมชีบกกึมบับ (ข้าวผัดกิมจิ) จาจังมยอน (บะหมี่ซอสดำ) แล้วก็ทักคาลบี (ไก่ผัดซอสพริกเกาหลี)
กฤติน: เห็นช่วงนี้มีอาหารจีนด้วยนี่
ปลั๊กกี้: ใช่ๆ หม่าล่า ลองแล้วติดใจ อร่อยมากเลยกินบ่อยกฤติน: ผมอินกับการได้อยู่กับคนที่รักให้มากที่สุด ผมชอบอยู่กับเพื่อน ไม่ก็พาครอบครัวไปเลี้ยงข้าว เพราะเราให้งานไปแล้ว 80% ถ้าพ้นจากนี้ก็ขอขลุกอยู่กับเพื่อน (แก๊งเพื่อนขาอวย?) ไม่ๆ แก๊งนี้ทำงานกันหมดแล้ว (หัวเราะ) ผมมีเพื่อนสนิทที่ต้องเจอทุกวัน ถึงเลิกงานสี่ห้าทุ่มก็จะไปกินข้าวด้วยกัน ได้เล่าสารทุกข์สุกดิบ เพราะผมเป็นคนเก็บความเครียดไว้ไม่ได้ จริงๆ ก็รู้ว่าเราควรจัดการความรู้สึกได้ด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้ผมขอมีเพื่อนไว้ก่อน (เป็นคนขี้เหงา?) สุดๆ เลยครับ วันว่างผมไม่เคยอยู่ห้องเลย หรือถ้าซ้อมเสร็จเร็วตั้งแต่บ่าย 3 ผมก็ไปคาเฟ่แล้ว ชอบไปเจอผู้คน ไปดูของสวยงาม จิบกาแฟ คุยกับเพื่อน ถ่ายรูปเล่นกัน บางทีก็หาร้านซีฟู้ดเพราะพ่อแม่ผมชอบกิน แต่ผมแพ้นะ ถือเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ (โทรหาใครบ่อยสุด?) พี่จั๋งครับ เป็นแนวปรึกษาปัญหาชีวิต แต่ถ้าปลั๊กกี้จะเป็นแนวเมาท์มอยขำๆ (หัวเราะ)
PERSES ที่งาน Golden Melody Awards & Festival 2023
สนุก สุข ซึ้ง เวทีแห่งความทรงจำ
ปลั๊กกี้: SuperFluid ลบล้างทุกอย่าง! (กฤตินที่รอฟังอย่างตั้งใจถึงกับขำหัวทิ่ม) ถึงจะผ่านมาหลายเวทีที่ทำให้รู้สึกดีมากๆ แล้ว แต่พอเจอ SuperFluid Fest 2023 เข้าไป ผมรู้สึกว่านี่คือเวทีที่สนุกที่สุด! ด้วยความที่ผมชอบเทศกาลสงกรานต์อยู่แล้ว งานนี้เราได้เล่นปืนฉีดน้ำบนเวที ได้เห็นปืนฉีดน้ำทุกกระบอกของคนดูจ่อมาที่เรา ทุกคนจอยมาก เราไม่ต้องเต้นอย่างเดียว เป็นครั้งแรกที่ได้วิ่งเล่นบนเวที ไม่ต้องกังวลบล็อกกิ้ง ไม่ต้องกังวลว่าจะเต้นถูกมั้ย
กฤติน: ปกติพวกเราจะพยายามทำให้ทุกโชว์ทุกเวทีเป๊ะที่สุด ทั้งร้อง ทั้งเต้น ทั้งเก็บไลน์ แต่ SuperFluid เป็นอะไรที่ “จอยเถอะ!” วันนั้นก็เลยหลุดกรอบของ PERSES ไปหนี่งวัน เต้นผิด ลืมจบ ลืมบล็อกกิ้ง ฯลฯ มันหลุดไปหมด (หัวเราะร่า) แต่เป็นการหลุดที่มีความสุข แล้วคนดูก็เอ็นจอย ผมว่าจุดสูงสุดของศิลปินคือ การทำให้คนดูมีความสุข ถ้าทุกคนมีความสุข เราก็แฮปปี้ เพลงของเรามันได้ทำงานแล้ว จริงๆ ผมชอบทุกเวทีนะ แต่ก็ชอบ SuperFluid ที่สุด
เน: ผมก็เอ็นจอยกับเทศกาลสงกรานต์คล้ายๆ ปลั๊กกี้เลยครับ SuperFluid เป็นเวทีที่เรามีปืนฉีดน้ำแล้วก็ได้ฉีดน้ำใส่คนดู (หัวเราะ) แถมของเราเป็นน้ำที่แรงกว่า เพราะได้ปืนฉีดน้ำกระบอกใหญ่
จั๋ง: ของผมเวทีแรกที่ประทับใจที่สุดคือเทศกาลดนตรี OctoPop 2022 ที่ราชมังฯ ครับ ผมเป็นแฟนคลับ Bodyslam เคยดูคอนเสิร์ต ‘Bodyslam Live in คราม’ เมื่อ 10 กว่าปีก่อน เห็นพี่ตูนใส่กางเกงขาเดฟวิ่งไปทั่วเวที เลยมีความฝันตั้งแต่เด็กว่าถ้าได้ขึ้นเวทีราชมังฯ จะวิ่งให้ทั่วเลย (แล้วได้วิ่งสมใจมั้ย?) ได้วิ่งนิดหน่อยครับ เพราะเดี๋ยวหลุดบล็อกกิ้ง แต่ก็ถือว่าได้เติมเต็มความฝันอย่างหนึ่งแล้ว (ยิ้ม)
ปาล์ม: ของผมเป็น T-pop Concert Festival ครับ เป็นคอนเสิร์ตแรกๆ หลังจากที่พวกเราเดบิวต์กันมา เราต้องทำโชว์ใหญ่ 45 นาที แสดงประมาณ 6 เพลงได้ครับ ตอนนั้นตื่นเต้นมาก สิ่งที่ผมภูมิใจที่สุดตอนขึ้นไปบนเวทีก็คือเห็นแฟนคลับเรามาชูป้าย PERSES ให้ มองไปแล้วรู้สึกหายเหนื่อยเลยครับ ที่เราฝึกซ้อมกันมานาน หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เราได้กำลังใจจากคนดูมากๆ ก่อนขึ้นเวทีเรากอดคอกันแล้วบอกกันว่า “เราทำได้” ผมเชื่อมั่นในตัวทุกคนครับ
Words: Sasi Akkomee
Photos: Somkiat Kangsdalwirun