หากเราจะพูดเรื่องของ #REMASTER หรือการหยิบยกเอาผลงานชั้นครูกลับมาทำใหม่ตามธีมของนิตยสาร LIPS ในเดือนนี้ ภายใต้บริบทของน้ำหอมและเครื่องหอมนั้นเราคงจะต้องพูดถึงเหล่า ‘น้ำหอมไอคอนิค’ หรือ ‘Iconic Perfume’ ที่ถูกนำมาพัฒนาต่อยอดหรือ Reboot กลิ่นให้มีความร่วมสมัยและเข้ากับรสนิยมผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น ซึ่งในแวดวงน้ำหอมนั้นมีกลิ่นสุดไอคอนิคมากมายที่ถูกหยิบขึ้นมาทำใหม่ให้โมเดิร์นและทันสมัยมากขึ้น
เราขอเรียกน้ำหอมเหล่านี้ว่า ‘Perfume That Reboot The Iconic Scent’ หรือน้ำหอมที่พัฒนาต่อยอดมาจากเหล่าน้ำหอมกลิ่นไอคอนิค แต่ก่อนจะไปทำความรู้จักน้ำหอมไอคอนิคกลิ่นใหม่เหล่านี้เราควรรู้กันก่อนว่าน้ำหอมเหล่านี้ถูกสร้างและคิดค้นขึ้นโดย ‘Perfumer’ หรือ ‘นักปรุงน้ำหอม’ ชื่อดังที่คิดค้นกลิ่นหอมโดยได้รับแรงบันดาลใจหรือพัฒนามาจากน้ำหอมไอคอนิคในตำนาน ซึ่งน้ำหอมในตำนานเหล่านั้นถูกปรุงขึ้นโดยเหล่านักปรุงน้ำหอมชั้นครู ซึ่งในบางครั้งก็เป็นการนำเอากลิ่นหอมไอคอนิคที่ตัวเองเคยปรุงไว้มาพัฒนาให้มีความทันสมัยและร่วมสมัยมากขึ้น
ซึ่งจากปรากฏการณ์การนำน้ำหอมไอคอนิคในตำนานมารีบูตให้ทันสมัยมากขึ้น นอกจากในเรื่องของกลิ่นหอมเรายังเห็นประเด็นต่างๆ และความก้าวหน้ามากมายที่เกิดขึ้นภายใต้ขวดน้ำหอมเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความยั่งยืน (Sustainability) ธุรกิจ (Business) และความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ที่เหล่านักปรุงน้ำหอมและแบรนด์ต่างๆ ที่พยายามขยายกรอบแบบเดิมๆ ให้นอกจากกลิ่นของน้ำหอมเหล่านี้ทันสมัยมากขึ้นแล้ว เรื่องราวและที่มาของน้ำหอมเหล่านี้ยังเท่าทันยุคแห่งความหลากหลายและเท่าเทียมอีกด้วย จะมีน้ำหอมกลิ่นไหนบ้างที่เรารวบรวมมาไปอ่านกันได้เลย!
Chanel No.5 L’eau
หากเราพูดถึงน้ำหอมไอคอนิคในตำนานที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ‘Chanel No.5’ คงเป็นกลิ่นหอมที่อยู่ใน Top 3 ของลิสต์นั้น นอกจากนั้นกลิ่นหอมสุดคลาสสิคนี้ยังถูกจัดให้เป็นหนึ่งบิวตี้ไอเท็มที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในวงการแฟชั่นและความงาม น้ำหอมกลิ่นนี้ถูกปรุงโดยนักปรุงน้ำหอมที่มีชื่อว่า ‘Ernest Beaux’ นักปรุงน้ำหอมในตำนานที่ชูส่วนผสมน้ำหอมอย่าง Aldehyde ที่มีกลิ่นสะอาดและสดชื่นคล้ายสบู่ให้เป็นโน๊ตกลิ่นหลักของน้ำหอมกลิ่นนี้
ซึ่งส่วนผสมนี้ทำให้น้ำหอมสุดคลาสสิคกลิ่นนี้ได้ใจ Coco Chanel และผู้หญิงหัวสมัยใหม่ในยุคนั้นไปเต็มๆ โดยเฉพาะ ‘Marilyn Monroe’ ที่เคยกล่าวว่าเธอพรมน้ำหอมสุดคลาสสิคกลิ่นนี้ทุกคืนก่อนนอนทำให้ผู้หญิงทั่วโลกอยากมีน้ำหอมกลิ่นนี้เช่นเดียวกับเธอ แต่พอเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 น้ำหอมกลิ่นนี้มีภาพจำของความไม่ทันสมัยทำให้ ‘Olivier Polge’ นักปรุงน้ำหอมประจำบ้านคนปัจจุบันของ Chanel ที่ได้หยิบกลิ่นนี้มาต่อยอดให้ทันสมัยจนผลลัพท์ออกมาเป็นน้ำหอมที่มีชื่อว่า ’Chanel No.5 L’eau’
Chanel No.5 L’eau คือกลิ่นหอมที่แสนจะทันสมัยแต่คลาสสิคและยังคง DNA ของ No.5 ตัวออริจินอลและแบรนด์ Chanel ไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยม Olivier ยังคงโน๊ตกลิ่น Aldehyde เอาไว้เพื่อชูความรู้สึกสะอาดและโมเดิร์นเอาไว้ และคงส่วนผสมตระกูลฟลอรัลเอาไว้ไม่ว่าจะเป็น ดอกกระดังงา ดอกส้ม ดอกมะลิ และดอกกุหลาย แต่เพิ่มส่วนผสมจำพวกซิตรัสหรือพืชในตระกูลส้มเข้ามาเพื่อความทันสมัยอย่าง เลมอน ส้มแมนดาริน ส้ม มะกรูด และมะนาว ทำให้ No.5 L’eau ได้กลายเป็นทางเลือกของสาวๆ ที่อยากใช้ No.5 ตัวออริจินอลแต่กลัวความแรงและความเข้มข้นของน้ำหอมในตำนานนี้
Terre d’Hermes Eau Intense Vetiver and Eau Givrée
มาต่อกันที่แบรนด์แฟชั่นสุดหรูอีกหนึ่งแบรนด์ที่มีไลน์น้ำหอมอันโดดเด่นด้วยโทนกลิ่นธรรมชาติอย่าง ‘Hermes’ ซึ่งในไลน์น้ำหอมของแบรนด์นี้มีกลิ่นหอมสุดไอคอนิคอยู่หนึ่งกลิ่นที่ได้รับความนิยมมากๆ ในหมู่หนุ่มที่ต้องการความเรียบง่ายแต่หรูหราอย่างกลิ่น ‘Terre d’Hermes’ ที่เปิดตัวเมื่อปี 2006 โดย ‘Jean-Claude Ellena’ นักปรุงน้ำหอมประจำบ้านคนเก่าของ Hermes ซึ่งน้ำหอมสุด Masculine กลิ่นนี้สามารถมอบประสบการณ์การดมกลิ่นที่แสนซับซ้อน โดดเด่น และอโรมาติกอยู่สูงมาก
และเมื่อปี 2016 ที่แบรนด์ได้เปลี่ยน ‘In-House Perfumer’ หรือนักปรุงน้ำหอมประจำบ้านของ Hermes มาเป็นนักปรุงน้ำหอมหญิงคนเก่งอย่าง ‘Christine Nagel’ เธอก็ไม่รีรอที่จะหยิบเอาน้ำหอมกลิ่นไอคอนิคนี้มาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น เริ่มต้นด้วยการหยิบน้ำหอมสุดไอคอนิคนี้มาพัฒนาให้กลายเป็นกลิ่น ‘Terre d’Hermes Eau Intense Vetiver’ ที่ชูเบสโน๊ตอย่าง Vetiver หรือหญ้าแฝกในกลิ่นออริจินอลให้กลายมาเป็นพระเอกของน้ำหอมกลิ่นใหม่เพื่อเพิ่มความสดชื่นและความโมเดิร์นให้กับกลิ่น
แต่เท่านั้นยังไม่พอในปี 2022 นี้ Christine ได้เปิดตัว ‘Terre d’Hermes Eau Givrée’ น้ำหอมกลิ่นใหม่ล่าสุดในไลน์น้ำหอมสุดคลาสสิคนี้ออกมา โดยน้ำหอมกลิ่นนี้ได้แรงบันดาลใจจากส่วนผสมน้ำหอมชั้นดีอย่าง ‘ผลจูนิเปอร์เบอร์รี่’ ซึ่งจะเป็นโน๊ตที่เข้ามาเติมความรู้สึกใหม่ๆ ให้กับน้ำหอมขวดนี้ได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น Christine ยังได้แรงบันดาลใจจากความขัดแย้งในธรรมชาติเพื่อนำมาเป็นแรงบันดาลใจในพัฒนากลิ่นนี้อย่าง ภูเขาไฟในไอซ์แลนด์ซึ่งมีแกนกลางที่เดือดพล่านไปด้วยลาวาแต่ขณะเดียวกันก็มีน้ำแข็งปกคลุมรอบๆ ตัว และได้กลายมาเป็นชื่อของน้ำหอมรุ่นใหม่นี้อย่าง Eau Givrée ที่แปลว่าน้ำแช่แข็ง
Aqua di Gio Eau de Parfum
มาต่อที่อีกหนึ่งไลน์น้ำหอมสุดคลาสสิคของแบรนด์แฟชั่นสัญชาติอิตาเลียนอย่าง ‘Aqua di Gio’ จากแบรนด์ Giorgio Armani ซึ่งไลน์น้ำหอมนี้อีกหนึ่งไลน์น้ำหอมผู้ชายที่มีความโด่งดังเป็นอย่างมากเนื่องจากจุดเด่นของมันคือความสดชื่นและเหมาะสำหรับใส่ในทุกโอกาส และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบ 25 ปีของหนึ่งในน้ำหอมยอดฮิตตลอดกาลอย่าง ‘Aqua di Gio Eau de Toilette’ ทาง Armani เลยได้ปล่อยน้ำหอมตัวล่าสุดของไลน์นี้อย่าง ‘Aqua di Gio Eau de Parfum’ ออกมา
กลิ่นหอมกลิ่นใหม่นี้เป็นการนำเอากลิ่นยอดฮิตอย่าง Aqua di Gio Eau de Toilette ตีความในแง่มุมใหม่และเพื่อให้โอบรับกับความยั่งยืนของโลกใบนี้เพราะ Aqua di Gio Eau de Parfum ถูกคิดขึ้นขึ้นมาภายใต้แนวคิดเชิงนิเวศเศรษฐกิจเพื่อบรรลุเป้าหมาย ‘Carbon-Neutral’ ด้วยการจัดหาส่วนผสมอย่างมีจิตสำนึกและตระหนักถึงคุณค่าสิ่งแวดล้อม ทำให้ภายใต้ขวดน้ำหอมรูปทรงคุ้นตานี้อัดแน่นไปด้วยจิตสำนึกความรักษ์โลกของแบรนด์ Armarni เต็มๆ
ส่วนผสมของน้ำหอมกลิ่นใหม่นี้ไม่ว่าจะเป็น ส้มแมนดาริน ใบเสจ พิมเสน นั้นก็ได้มาจากธรรมชาติที่ผ่านการหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืนและไม่รบกวนสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้น Alberto Morillas นักปรุงน้ำหอมผู้คิดค้นน้ำหอมทุกตัวของไลน์นี้ก็ได้ปรุงกลิ่นขึ้นมาโดยสื่อถึงกลิ่นอายของ ‘ทะเล’ ซึ่งเปรียบเสมือนการ Remaster DNA ของ Aqua di Gio แถมยังผสานโมเลกุลที่มีชื่อว่า ‘YodanolTM’ ลงไปช่วยทำให้น้ำหอมกลิ่นใหม่นี้ติดทนยาวนานและกระจายตัวอย่างดีเยี่ยมอุดรอยรั่วของกลิ่นหอมไอคอนิคตัวออริจินอล
Davidoff Cool Water Parfum
มาต่อกันที่น้ำหอมอีกกลิ่นที่ครองใจผู้ชายทั่วโลกอย่างน้ำหอมที่มีชื่อว่า ‘Davidoff Cool Water’ น้ำหอมที่เรียกได้ว่าเป็นน้ำหอมที่พาผู้ชายหลายๆ คนเข้าสู่โลกของน้ำหอมและเป็น Essential Item ของผู้ชายหลายๆ คนเลย แต่เมื่อปี 2021 ทาง Davidoff ก็ได้เปิดตัวน้ำหอมใหม่ในไลน์ยอดฮิตไลน์นี้อย่าง ‘Davidoff Cool Water Parfum’ ขึ้นมาเรียกได้ว่าเป็นการเพิ่มความเข้มข้นของหัวน้ำหอมเพื่อความติดทนและกระจายตัวไม่ต่างจากน้ำหอมตัวก่อนหน้าที่เรากล่าวไป
เรียกได้ว่าน้ำหอมกลิ่นนี้คิดค้นขึ้นเพื่อตอบโจทย์ด้านธุรกิจของ Davidoff โดยตรงเพราะเราเคยเห็นน้ำหอมคลาสสิคที่มีอายุกว่า 34 ปีกลิ่นนี้ออกน้ำหอมน้องใหม่มากมายภายในไลน์ Cool Water นี้ ตั้งแต่ Cool Water The Coolest Edition, Cool Water Intense, Cool Water Summer Edition และอีกมากมายแต่ Edition ล่าสุดเรียกว่าลดส่วนผสมของ Cool Water ตัวออริจินอลไปมากและหันมาใช้ส่วนผสมเพียงแค่ 4 กลิ่น ได้แก่ หญ้าแฝง พริกไทยชมพู เลมอน และไม้จันทน์ เพื่อโอบรับกับเทรนด์น้ำหอมสุดมินิมอลของผู้บริโภคยุคใหม่ แต่ยังคงประสิทธิภาพและกลิ่นอายของ Cool Water กลิ่นคลาสสิคไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยม
Miss Dior Rose Essence
มาต่อกันที่เฮ้าส์แฟชั่นสุดเก่าแก่อีกหนึ่งแบรนด์ที่มีน้ำหอมสุดไอคอนิคมากมายอย่าง ‘Dior’ และถ้าหากพูดถึงน้ำหอมของ Dior ไลน์น้ำหอมแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของเราคงไม่พ้น ‘Miss DIor’ น้ำหอมตระกูลฟลอรัลที่ Mr.Christian Dior ได้สร้างสรรค์ขึ้นตั้งแต่ปี 1947 โดยหวังว่าน้ำหอมดีไซน์สุดสวยขวดนี้จะสร้างความหวังและความสดใสให้กับเหล่าผู้หญิงในยุคนั้นหลังจากต้องผ่านช่วงสงครามโลกครั้งที่สองอันสุดหม่นหมองมา
ผ่านไปกว่า 75 ปีน้ำหอมไลน์นี้ยังคงเป็นไลน์น้ำหอมที่สาวๆ ทั่วโลกชื่นชอบ เช่นเดียวกับสาวไทยที่โปรดปรานน้ำหอมสุดคลาสสิคนี้ไม่แพ้ชาติอื่นๆ เลย แต่ด้วยความเข้มข้นและอากาศที่ร้อนชื้นในบ้านเรา ทำให้ในบางครั้งน้ำหอมหลายๆ ตัวในไลน์ Miss Dior อาจจะเข้มข้นเกินไปสำหรับบางคน แต่เราพูดเลยว่าในไลน์นี้ยังมีน้ำหอมอีกหลายตัวที่ Remaster ผลงานสุดคลาสสิคของ Dior ให้มีความหลากหลาย ทันสมัย และมีหลายความเข้มข้น
หนึ่งในนั้นคือ ‘Miss Dior Rose Essence’ น้ำหอมที่ใช้ส่วนผสมอย่าง ‘น้ำกุหลาบ’ จากเมือง Grasse ซึ่งต่างจากน้ำหอม Miss Dior รุ่นอื่นๆ ที่ใช้ส่วนผสมเป็น ‘ดอกกุหลาบ’ ทำให้น้ำหอมกลิ่นนี้จึงมีความเข้มข้นที่เหมาะกับอากาศร้อนชื้นในประเทศเรา แถมยังใช้ดอกกุหลาบสายพันธุ์ Centifolia ที่หายากทำให้น้ำหอมขวดนี้ถือเป็นการ Remaster ที่เรียกได้ทันสมัยสุดๆ แต่ยังคงไว้ซึ่งคุณค่าของ Miss Dior อยู่เต็มเปี่ยม
YSL Black Opium Eau de Parfum
มาต่อกันที่น้ำหอมกลิ่นสุดท้ายที่มาจากอีกหนึ่งแฟชั่นเฮ้าส์สุดโด่งดังของฝรั่งเศสอย่าง ‘Yves Saint Laurent’ ซึ่งแบรนด์นี้มีน้ำหอมมากมายที่เป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆ น้ำหอมในยุคนี้ยกตัวอย่างเช่น Libre, Y, Mon Paris, L’Homme, Parisienne แต่ที่คลาสสิคและโด่งดังจนขึ้นหิ้งกลายเป็นพ้นงานมาสเตอร์พีซคงหนีไม่พ้น ‘YSL Opium’ น้ำหอมสุดคลาสสิคชื่อดังจากบ้านนี้
YSL Opium ตัวออริจินอลนั้นเปิดตัวครั้งแรกในปี 1977 โดยนักปรุงน้ำหอมสองท่านอย่าง Jean Amic และ Jean-Louis Sieuzac ซึ่งน้ำหอมโทน Oriental-Spice กลิ่นนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก ‘ฝิ่น’ และวัฒนธรรมตะวันออกที่สะท้อนไปยังเนื้อกลิ่น ขวด และภาพแคมเปญ แต่พอยุคสมัยเปลี่ยนไปทำให้ YSL ได้เปิดตัวน้ำไลน์ใหม่ขึ้นมาในชื่อ ‘Black Opium’ เพื่อปรับภาพลักษณ์และกลิ่นของน้ำหอมในไลน์ Opium ให้ทันสมัยมากขึ้น และน้ำหอมไลน์นี้ใช้นักปรุงน้ำหอมถึง 4 คนช่วยกันรังสรรค์กลิ่นสุดยั่วยวนนี้ขึ้นมา ได้แก่ Nathalie Lorson, Marie Salamagne, Olivier Cresp และ Honorine Blanc
ซึ่งไลน์ Black Opium นั้นได้รับ DNA ความยั่วยวนมาจากไลน์ Opium เต็มๆ แต่ใช้ส่วนผสมในการปรุงน้ำหอมที่แตกต่างกันออกไปให้เหมาะกับสาวๆ ยุคใหม่จากส่วนผสมตระกูลยางไม้ที่ให้ความรู้สึกแบบออเรียนทอลให้กลายมาเป็นส่วนผสมแนว Gourmand แทน เช่น วานิลลา กาแฟ และอัลมอนด์ สอดแทรกมาด้วยกลิ่นของดอกไม้ ผลไม้ ซึ่งส่วนผสมเหล่านี้เองนิยมใช้ในน้ำหอมแนวเซ็กซี่ในปัจจุบัน การ Remaster ของ YSL นั้นเรียกว่าพลิกโฉมแต่ยังคง DNA ความเซ็กซี่แบบปารีเซียงไว้ได้อย่างครบถ้วน ปรบมือ!
#REMASTER
#LIPSERA
#LIPSMAGAZINE