ชายหนุ่มวัย 26 ที่ไม่ได้มาทำตลก เขาหกคะเมนตีลังกาไปกับฮิปฮอป เกิดไอเดียป๊อปในใจว่าเขาอยากเป็นแร็ปเปอร์ อาชีพที่เขาเจอมาตั้งแต่อายุ 13 ก่อนทำตามฝันใส่ความโซลในแร็ปได้สุดจี๊ด แล้วตั้งสมญานามให้ตัวเองว่า Réjizz (เรจิซ)
เมื่อเขาแร็ปใช้สมญาว่า ‘เรจิซ’ แต่ยอมสละความติสต์ให้เราเรียกชื่อเล่นจริงๆของเขาว่า ‘เรย์’ แร็ปเปอร์ที่โจนไปกับจิตวิญญาณเสรี ดิ่งไปกับทำนองเพลงโซลยุค 70 หลอมรวมกับเรื่องราวชีวิตของคนหนุ่มสาวยุคเอไอ กลั่นออกมาเป็นแร็ปที่ใครได้ฟังเป็นต้องพูดเหมือนกันว่า “นี่คือแร็ปที่ดีที่สุดของเมืองไทยที่เคยได้ฟังมา” และเราขอยกมือหนุนอีกเสียงว่า เป็นความสูญเสียของคุณเอง หากไม่ได้ฟังเพลงของเรจิซ
LIPS: ก่อนอื่นเลย เป็นลูกครึ่งหรือเปล่า ทำไมสำเนียงอินเตอร์จัง คำถามต่อมาคือ โตมากับเพลงแบบไหน ทำไมกลายเป็นแร็ปเปอร์ที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆในวงการอย่างทุกวันนี้ได้
เรจิซ: ผมเรียนอินเตอร์มาตลอดครับ ตอนเด็กๆ ผมเรียนดนตรีตามภาคบังคับ ก็เป็นแนวคลาสสิกล่ะครับ แต่พ่อแม่ชอบเปิดเพลงยุค 90 อย่างเพลงของวง Fugees ที่มี Lauryn Hill เป็นนักร้องนำ ผมฟังแล้วติดใจ จนมาเริ่มฟังแร็ปตอนอายุ 12-13 ผมซื้อซีดีครั้งแรกคืออัลบั้ม Recovery (ออกปี 2010) ของ Eminem ผมชอบเขามาก เพราะในหนึ่งเพลง เขาเล่าทั้งชีวิตของเขา ผมอ่านเนื้อเพลงของเขาทุกคำ เขาใช้เทคนิคการเล่นคำเก่งมาก ฟังทุกเช้าก่อนไปโรงเรียนจนจำได้ทั้งอัลบั้ม
LIPS: เอมิเน็มเล่าได้ทั้งชีวิตในเพลงเดียวเพราะเขาแร็ปเร็วที่สุดในโลกไง (เพลง Rap God ในปี 2013 เอมิเน็มแร็ป 9.6 คำใน 1 วินาที จนได้ชื่อว่าเป็นแร็ปที่เร็วที่สุดในโลกเพลงหนึ่ง)
เรจิซ: (หัวเราะ) ใช่ๆ เขาเล่าชีวิตอีกเพลงก็ได้อีกฟีล อินจัดเลยคนนี้ ตอนนั้นมีแร็ปเปอร์คนหนึ่งชื่อ Timothy DeLaGhetto (ทิม จันทรางศุ @ timchantarangsu) เป็นคนไทยที่ไปโตในแอลเอ และกลายเป็นแร็ปเปอร์ที่มีชื่อเสียง เขาเป็นคนขำๆ ฮาๆ ไม่ได้เป็นแร็ปเปอร์แนวแก๊งสเตอร์อะไร เขาทำให้ผมเห็นว่าคนไทยหรือคนเอเชียก็เป็นแร็ปเปอร์ได้ มีทางให้ไป แต่ผมยังไม่เห็นว่าแร็ปเปอร์จะเป็นอาชีพได้ ผมเริ่มฝึกแต่งแร็ป ทำแร็ปแบตเทิลกับเพื่อน ผลัดกันแร็ปคนละ 2 บาร์ ตอนเรียนก็เขียนท่อนแร็ปส่งให้กัน
LIPS: ตอนนั้นมีรายการ The Rapper ในเมืองไทยหรือยัง
เรจิซ: ยังเลยครับ ฮิปฮอปไทยยังไม่มีอะไรเลย ผมเลยคุยกับใครไม่ได้ ผมก็ชอบของผมไปคนเดียว คุยกับใครไม่รู้เรื่องผมมีโลกส่วนตัวสูงอยู่แล้วก็เลยไม่กระทบมาก
“ผมฟังเพลงฮิปฮอปน้อย แต่ฟังเพลงยุค 70 เยอะ ยุคนั้นนักดนตรีไม่ต้องพูดเรื่องความรักอย่างเดียว ไม่มีสูตร ไม่ต้องเอาใจตลาด อยากทำอะไรก็ทำได้”
LIPS: ประตูแร็ปในเมืองไทยเริ่มแง้มตอนไหน
เรจิซ: ช่วงผมอยู่ม.5-6 เริ่มมี Rap is Now มีแร็ปแบตเทิล ฮิปฮอปฮิตมากขึ้น ทีนี้ผมเริ่มทำเพลงในโทรศัพท์ อัดเพลงขำๆให้เพื่อนฟัง เพื่อนบอกโอเคอยู่นา ก็เลยปล่อยเพลงในเฟซบุ๊ก และมีคนทักมาว่าชอบ ก็เลยลองทำไปเรื่อยๆ ผมเข้านิเทศฯ จุฬาฯ (ภาคอินเตอร์) ได้พอดีก็ลองทำเพลงประกอบละครเวทีให้คณะ ซึ่งไปเล่นกันที่ลิโด ตอนที่เพลงเราได้เปิดในลิโด ทุกคนคิดว่าเปิดเพลงไทเทเนียม นี่คนอื่นพูดนะ (ยิ้มเขิน) เพลงนั้นชื่อ ‘โรตี’ ธีมละครคืออินเดีย ผมก็เลยแต่งเพลงชื่อโรตี แต่งเองในคอมพ์นี่ละ ใช้โปรแกรม GarageBand ตอนไปเรียนก็มีคนมาร้องเพลงนี้ใส่เรา ‘อยากจะกินโรตี homie homie…’ ร้องได้เกือบทุกคำเลย ดีใจมาก
โรตี (Crispy Pancake) (ละครนิเทศจุฬา’60) – Réjizz (เรจิซ)
LIPS: แล้วตอนนั้นใช้สมญานาม (aka) Réjizz (เรจิซ) หรือยัง
เรจิซ: ผมใช้ชื่อเรจิซมาตั้งแต่แรกเลย ทำให้มันแฟนซีนิดหน่อย เติมลูกเล่นที่ตัว é เป็นชื่อกวนๆที่เพื่อนสมัยมัธยมเรียกผม ชื่อเล่นผมคือเรย์ (Ray)
LIPS: เกิดมาเพื่อจะเป็นแร็ปเปอร์เลยว่างั้น ชื่อแซ่พร้อมแต่แรกเกิด
เรจิซ: (หัวเราะ) ตอนนั้นผมแต่งเพลงปีละเพลง สองเพลง ทำเพลงให้ละครเวทีคณะ อย่างเพลงนักเลงรุ่นเก่า คนได้ฟังแล้วร้องตามได้เลย ตามมาร้องให้ผมฟังด้วย คราวนี้มีเอ็มวีด้วย คนก็ยิ่งชอบ เพื่อนๆมาช่วยกันทำ และพวกเรายังทำงานด้วยกันอยู่จนถึงวันนี้
“ผมให้เวลาตัวเองหนึ่งปี เรียนจบแล้วทำเพลงเต็มที่ไปเลย ดูว่าจะไปได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็จะไปสมัครงาน”
Last Stop Acoustic – Réjizz (เรจิซ)
พอตอนปี 4 ผมแต่งเพลงเกี่ยวกับชีวิตปี 4 ชื่อเพลง Last Stop ผมพยายามทำให้เพลงนี้ฟังแล้วสดใส ทิ้งทวนไปเลยว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ทำดนตรีที่ชอบ หลังเรียนจบอาจต้องไปเป็นพนักงานออฟฟิศก็ได้ ผมให้เวลาตัวเองหนึ่งปี เรียนจบแล้วทำเพลงเต็มที่ไปเลย ดูว่าจะไปได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็จะไปสมัครงาน แต่พอปล่อยเพลง Last Stop มีค่ายเพลงเห็นผมเยอะ เลยได้ไปออกทัวร์คอนเสิร์ตและตามร้านต่างๆ ได้เปิดโลกว่าในวงการดนตรีเป็นยังไง…แล้วโควิดก็มา ทุกอย่างต้องหยุดไว้ก่อน แต่ก็ได้เวลาทบทวนตัวเองว่าต้องทำอะไรเพื่อไปถึงจุดที่อยากไปให้ได้
LIPS: จุดที่อยากไปถึงคือ…
เรจิซ: ผมอยากได้ซัพพอร์ตจากค่ายหรือผู้ใหญ่ ก็เลยทำอัลบั้ม 2 ชุด อัลบั้มแรกเพื่อนทำให้ อีกอัลบั้มผมทำเองหมด แล้วไปเสนอค่าย ก็เพื่อให้เขาเห็นว่า ขนาดไม่มีตังค์ ผมยังทำได้ขนาดนี้ ซึ่งก็มีค่ายตอบรับ แต่หนึ่งปีที่ผมให้ตัวเองมันหมดเวลาแล้ว ถ้าผมจะเป็นศิลปินต่อไป ผมต้องหาประสบการณ์ของชีวิตปกติ ตอนผมเขียนเพลง Last Stop ผมยังเป็นนักเรียน ถ้าผมจะเป็นศิลปินอย่างเดียวและเขียนเพลงเกี่ยวกับการเป็นศิลปินก็จะไม่มีใครเข้าใจ ผมเลย…ไปทำงานออฟฟิศ (หัวเราะเขิน) ไปทำมาร์เก็ตติ้งร้านคุกกี้ไฮเอนด์นิดหนึ่ง Yeah…นั่นละครับ ผมทำงานและทำเพลงไปด้วย ไม่ได้นอนเลย ต้องทำเพลง ถ่ายเอ็มวี แล้วไปทำงานประจำจันทร์ถึงศุกร์ แต่ถ้าอยากได้ชีวิตที่เข้มข้น ผมต้องปรุงเอง
LIPS: แล้วตอนทำมาร์เก็ตติ้งนี่ชอบไหม
เรจิซ: โห ผมมั่นใจเลยว่า…ผมไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ วิกฤตของคนอายุ 24-25 ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เราเรียนอย่างนี้มาทั้งชีวิต เราต้องไปทางนี้หรือเปล่า หรือถ้าเราอยากจะไปอีกทางก็ต้องลอง
LIPS: รุ่นน้องเราคนหนึ่งอยากเป็นผู้กำกับหนังมาก แต่ชีวิตจริงคือเรียนจบแล้วต้องมีอาชีพที่หาเลี้ยงตัวเองได้ ก็เลยไปสมัครเป็นสจ๊วต ระหว่างนั้นก็เขียนบทหนังไปด้วย หนังเรื่องแรกของเขาคือ Succeed (ห่วยขั้นเทพ) ประสบการณ์ตอนทำงานประจำมีค่ามากนะขอบอก
เรจิซ: Whoa! That’s Crazy.
LIPS: ชีวิตจริงต้องกินได้ ไม่ใช่กินฝันไปเรื่อยๆ เล่าให้ฟังเพื่อเป็นกำลังใจ
เรจิซ: (ถอนใจ) ครับ ผมก็รู้สึกว่าต้องผ่านช่วงนี้ไปให้ได้ ผมมีเพื่อนที่ไปเป็นสจ๊วต เป็นคนเก่งมากๆ เขาบอกต้องหาเงินก่อน ตอนนั้นผมไปทำงานมาร์เก็ตติ้งอยู่ 8 เดือนแล้ว เปลี่ยนงานมา 2 ที่ ผมไม่มีชีวิตด้านอื่นเลยนอกจากทำงานมาร์เก็ตติ้ง โดนจิกตลอด แล้วผมได้ไปเล่นในงานมหรสพ (Maho Rasop Festival) ก็เลยลาออกล่วงหน้าหนึ่งวัน
“ถ้าผมจะเป็นศิลปินอย่างเดียว เขียนเพลงเกี่ยวกับการเป็นศิลปินก็จะไม่มีใครเข้าใจ ผมเลย…ไปทำงานออฟฟิศ”
LIPS: อุตส่าห์บอกก่อนตั้งวัน เวลาตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางชีวิต ปรึกษาใคร
เรจิซ: แม่ครับ My mom’s always be there for me. ผมบอกแม่ตั้งแต่อายุ 13 ว่าอยากเป็นแร็ปเปอร์ แม่ส่ายหัวเลย ตอนนั้นไม่มีใครทำสำเร็จให้เราพอจะดูเป็นตัวอย่างได้ แต่แม่ไม่เคยห้าม ผมก็ไม่เคยทำตัวเละเทะ ผมเข้ามหาวิทยาลัยที่แม่อยากให้เข้า เรียนจบเกรดโอเค ไม่ได้เป็นเด็กไร้สาระ และผมทำงานให้แม่เห็นว่าถ้าทำจริงๆ ผมก็ทำได้นะ ผมไม่ได้เอาแต่ใจตัวเอง ผมสัญญากับแม่ไว้ด้วยว่าขอเวลาทำเพลงหนึ่งปี แต่ในช่วงที่ผมไปทำงานประจำ ผมกลับบ้านก็ไม่ยิ้ม ไม่พูดไม่จา แม่รู้แหละว่าผมไม่แฮปปี้ แต่ตอนทำเพลง ผมแฮปปี้ตลอด งานเพลงเป็นงานที่เราทำคนเดียว เวลาที่ผลตอบรับไม่ได้เป็นอย่างที่คาดก็มีดาวน์บ้าง แต่ผมเรียนรู้ว่าต้องทำต่อไป มัวดาวน์ก็เสียเวลาเปล่าๆ
LIPS: มีสังกัดแล้ว วิธีการทำงานเปลี่ยนไปไหม
เรจิซ: ผมมีอิสระเต็มที่ เพราะผมทำอัลบั้มเสร็จแล้วค่อยไปเสนอค่าย ผมโปรดิวซ์เพลงตัวเองหมด อัลบั้มแรก No Dreamer ไม่ใช่นักล่าฝัน ผมลงมือทำ เพราะอยากให้ฝันเป็นจริงก็เลยไม่ได้นอน เล่นกับคำว่าฝันกับนอน แต่เป็นการบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองในเวย์ดาร์ก
LIPS: พอมาเป็นศิลปินเอง ฟังเพลงเยอะขึ้นหรือน้อยลง
เรจิซ: ผมฟังเพลงเยอะมากเหมือนเดิม แต่ผมรู้ว่าต้องการอะไร ถ้าฟังซาวนด์ที่ดีมากแต่ไม่เหมาะกับเพลงเราก็เอาไว้เพลงอื่น ฟังเพลงหลายแนวเหมือนเดิม ฮิปฮอปอาจเป็นแนวที่ผมฟังน้อยที่สุดด้วยซ้ำ ตอนนี้ผมชอบฟังโซล เพราะช่วงนี้ฮิปฮอปเริ่มตันแล้วด้วยผมว่า มันกลายเป็น Club Music ทุกคนพยายามทำเพลงที่ไปเล่นในคลับได้ ซึ่งการจะทำเพลงแบบนั้นก็จะมีแค่เสียงกลองไม่กี่เสียงที่นักดนตรีจะเลือก ทำให้เพลงออกมาเหมือนๆกัน พอเป็นเทมโปเดียวกันด้วยก็ยิ่งเหมือนกันเข้าไปอีก คนแต่งเพลงรู้ว่าจะทำเพลงอย่างไรให้ฮิตติดหู มีสูตรของมัน เทมโปแบบนี้ ซาวนด์แบบนี้ ซึ่งมันเป็นแบบนั้นมา 7-8 ปีแล้ว
LIPS: เลยไม่มีใครทำเพลงแหวกๆแบบ Kendrick Lamar
เรจิซ: ผมนี่ละครับ ผมทำเพลงติสต์จัดแบบนั้นได้นะ และถ้ามีเงินเยอะกว่านี้ก็ทำ Live ดีๆได้ ตอนนี้ผมมีเพลงแร็ปไทยปล่อยด้วยนะ ชื่อเพลง BEFREEWIDME เป็นซาวนด์ที่ยังไม่เคยได้ยิน มีความเป็นนีโอโซล เป็นอัลบั้ม 3 ที่ปล่อยกับค่ายใหม่ CRAZY MONDAE ใช้วิธีเดิมคือทำอัลบั้มเสร็จแล้วค่อยไปนำเสนอกับค่าย
BEFREEWIDME – Réjizz (เรจิซ) Feat. Alec Orachi
LIPS: ไม่เผื่อให้เขาแก้เลย หรือคิดว่ามันคืองานศิลปะ เขาต้องซื้อลายเซ็นเรา
เรจิซ: ก็ด้วย อีกอย่างคือผมยังหาคนมาทำซาวนด์ที่ผมชอบจริงๆไม่ได้ เลยต้องทำเองก่อนแล้วค่อยให้เขาฟัง อย่างที่บอกว่าตอนนี้ผมฟังเพลงยุค 70 คนยุคนั้นทดลองซาวนด์หลายๆแบบ กรู๊ฟจะช้า ฟังสบายหู หลังจากนั้นผมเลยใช้ Sample จาก 70 เยอะมาก ยุคนั้นนักดนตรีอยากพูดถึงอะไรก็ได้ ไม่ต้องพูดเรื่องความรักอย่างเดียว ไม่มีสูตรว่าต้องทำแบบนั้นแบบนี้ ไม่ต้องเอาใจตลาด อยากทำอะไรก็ทำได้
อัลบั้มใหม่ผมทำเพลงให้คนทั่วไปฟังได้ง่ายขึ้น แต่ยังมีลายเซ็นผมอยู่ และตอนนี้เริ่มฟังเพลงไทยยุค 60-70 ด้วย เป็นเพลงหมอลำ คนไทยเราเกิดมาด้วยโซลแบบนี้ ไม่ว่าเราจะเคยฟังหรือไม่เคยฟัง แต่ถ้าเราได้สัมผัสกับเพลงแนวนี้ เราจะรู้สึกกับมันได้ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเนื้อเพลงมาก ฟังแค่ซาวนด์และจังหวะความโจ๊ะไปก่อน
LIPS: จริง ถ้าจะฟังเพลงไทย เราจะฟังเพลงลูกทุ่ง จะว่าไปมันเหมือนเพลงแร็ปเลยนะ เล่าเรื่องชีวิตคน ส่วนเพลงไทยยุคนี้ เราว่ามันคล้ายๆกัน
เรจิซ: เพลงยุคนี้สร้างมาเพื่อ TikTok ซึ่งไม่ใช่ว่าไม่ดี คือตอนนี้เราไม่รู้แล้วว่าเพลงไหนดีหรือไม่ดี เพราะซาวนด์เกือบเหมือนกันทั้งหมด เพลงใน TikTok จะถูกเร่งความเร็วขึ้นอีก ทำให้เพลงย่อยง่ายกว่าเดิม คนทำเพลงเลยพยายามทำเพลงโดยใช้สูตรนั้น เพื่อให้เพลงติดหูหรือให้คนนำไปใช้ต่อได้ ผมว่าคงเป็นหนทางทำเงินน่ะ แต่ถ้าพูดในแง่ศิลปะ วิธีการแบบนี้อาจไม่ทำให้ศิลปะก้าวหน้านัก
LIPS: เพราะพยายามทำเพลงที่ตลาดน่าจะชอบ แล้วเพลงที่ไหนน่าสนใจในตอนนี้
เรจิซ: ผมว่าญี่ปุ่นน่าสนใจนะ เรียลดี ไปสุดทาง ศิลปินทดลองทำอะไรใหม่ๆเยอะ เพราะเขามีคนฟังสำหรับทุกอย่างที่แปลกๆ เพราะเขามีศิลปะในทุกๆอย่าง เขาเลยกล้าทำศิลปะทุกอย่างเลย คนที่ดังแล้วก็ยังหาทางผลักดันศิลปะของตัวเองให้ไปไกลกว่าเดิม ทำให้ทุกคนอยากผลักดันตัวเองมากขึ้น
“ตัวเลข ยอดวิวอะไรต่างๆ กระทบเราบ้าง แต่ผมคิดว่าไม่เป็นไร เพลงหน้าเอาใหม่ แค่ได้ทำเพลงก็มีความสุขแล้ว”
LIPS: พยายามแข่งขันกันทำเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตัวเอง ไม่ได้ทำเพลงเอาใจคนฟังอย่างเดียว แล้วมองกลับมาเมืองไทยทำไงจะไปไกลกว่าเดิม
เรจิซ: ผมว่าเมืองไทยยังไม่มีตัวอย่างมากพอของคนที่แหวกกรอบแล้วประสบความสำเร็จ ผมเองอยากทำเพลงให้คนฟังได้ทั้งโลก อยากไปเวิลด์ทัวร์ อยากเดินทางไปต่างประเทศ ไปที่ไหนก็ทำเพลงที่นั่นไปเรื่อยๆ เราจะได้มีซาวนด์จากหลายๆประเทศ
LIPS: ยุคนี้อาจจะง่ายขึ้นนะ เพราะโลกก็เปิดรับศิลปินเอเชียกันมากขึ้น MILLI ก็ไปแสดงสดในเทศกาลดนตรีใหญ่ๆมาแล้ว
เรจิซ: ถ้าคนไม่ได้ฟังเพลงผมก็น่าเสียดายครับ พูดเองเลย ไม่อาย (หัวเราะ) วันหนึ่งคนต้องได้ฟัง
LIPS: เป็นความสูญเสียของคุณเองที่ไม่ได้ค้นพบผม
เรจิซ: (หัวเราะ) เสียดายสำหรับเขาและผมด้วย แต่ผมโอเคนะ ผมเคยผ่านช่วงที่ยากๆมาแล้ว แค่ผมได้ทำเพลงก็มีความสุขแล้ว ต่อให้ไม่ได้ไปโชว์อะไร ตัวเลข ยอดวิวอะไรต่างๆ มันกระทบเราบ้าง แต่ผมคิดว่าไม่เป็นไร เพลงหน้าเอาใหม่ ผมมีเพลงในสต๊อกหลายอัลบั้มเลย เพราะตั้งแต่ลาออกจากงานประจำ ผมก็ทำแต่เพลง
LIPS: ทำไมมีเพลงมากมายขนาดนั้น เพลงเข้ามาหาเราอย่างไร
เรจิซ: แล้วแต่เลยครับ บางวันมีเรื่องที่อยากจะพูดก็เขียนออกมา บางวันก็กลับไปฟังเพลงเก่าๆ หา Sample ฟังว่าศิลปินคนนี้พูดเรื่องอะไรในเพลงแล้วมาดัดแปลง บางวันผมต้องสร้างเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง ผมอาจจะเล่าเรื่องคนที่ตอนกลางวันเป็นคนธรรมดา แต่ตกกลางคืนเป็นซูเปอร์ฮีโร่ ผมอยากทำคอมิกส์ด้วย
LIPS: มีเวทีไหนที่อยากไปขึ้นแสดงไหม
เรจิซ: Rolling Loud, Coachella, Clockenflap งานพวกนี้ถ้าได้ไปผมก็โอเคแล้ว แต่ไม่อยากไปงานอีดีเอ็ม ไม่อยากให้คนแค่ไปเมา อยากให้เขาฟังเพลงด้วย โชว์ผมไม่ได้แค่เปิดเพลง มันคือการเล่าเรื่องน่ะครับ
LIPS: เข้าใจ มันคือเวลาในชีวิตที่เราให้กับสิ่งนี้ มันยากนะ ต้องออกจากบ้าน ต้องเดินทาง พอไปถึงคอนเสิร์ต กินเบียร์ เมา และออกไปเข้าห้องน้ำ…ไม่กลัวพลาดสิ่งที่ศิลปินเตรียมมาหรือ
เรจิซ: (หัวเราะ) บางคนไม่ได้อินเหมือนเราครับ ผมยังไม่กล้ายกมือถือขึ้นมาถ่ายตอนดูคอนเสิร์ตเลย กลัวพลาดอะไรไป แต่ตอนนี้คนทำกันเป็นปกตินะ ผมว่าบางคนมองศิลปินเป็นแค่เอนเตอร์เทนเมนต์ที่มาฆ่าเวลาในชีวิตเขา แต่ผมคิดว่าศิลปินต้องพาคน escape นี่เดี๋ยวผมก็ต้องเตรียมทำโชว์ ซึ่งรายละเอียดเยอะมาก ทั้งแสง สี เสียง และภาพที่เราต้องคิด เพราะทุกวินาทีมีคนมองเราอยู่
ฝากอัลบั้มใหม่ Moscato ครับ มันคือชื่อไวน์รสหวาน เป็นเครื่องดื่มโปรดของแฟนผม อัลบั้มนี้จะคลั่งรักนิดหนึ่ง (หัวเราะ) เพราะสุดท้าย Everyone needs love. แต่เพลงรักของผมไม่ได้เหมือนเพลงรักทั่วไปแน่นอนครับ
MOSCATO – Réjizz (เรจิซ)
เรจิซสวมนาฬิกาและเครื่องประดับจาก CARTIER
Words: Suphakdipa Poolsap
Photos: Somkiat Kangsdalwirun
Style: Anansit Karnnongyai