ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจอาหารสไตล์ Fine Dining ในบ้านเรา มีตัวเลือกร้านรวงผุดขึ้นมากมาย นั่นอาจเป็นเพราะประเทศไทยมีวัตถุดิบดี ๆ ที่เหมาะแก่การรังสรรค์รสชาติ และเมนูต่าง ๆ ได้หลากหลาย มากไปกว่านั้นอาหารไทยยังขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารที่รสชาติอร่อยติดอันดับอาหารจากทั่วโลกอยู่เสมอ ดังนั้นการยกระดับอาหารไทยให้ขึ้นหิ้งเป็น Fine Dining หรือแม้แต่เมนูที่ถูกคัดสรรโดยเชฟที่เรียกว่า Chef’s Table จึงเป็นตัวเลือกในการเปิดประสบการณ์การกินที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับเรา
ครั้งนี้เราได้มาเปิดประสบการณ์ Fine Dining ที่ร้าน รอยัล โอชา (Royal Osha) ด้วยคอร์ส “เหมันต์ฤดู” หรือแปลง่าย ๆ ว่า “ฤดูหนาว” นั่นเอง เป็นการหลอมรวมวัตถุดิบสดใหม่จากทั่วโลก นำมาผสมผสานเข้ากับสมุนไพรไทย จนเกิดเป็นอาหารเลิศรสที่รวมความแปลกใหม่ และเพิ่มอรรถรสการรับประทานในมื้อพิเศษมื้อนี้ได้ดีทีเดียว
เมื่อแรกเดินเข้าไปท่ามกลางบรรยากาศร้านที่ถูกตกแต่งอย่างละเมียดบรรจงในสไตล์ไทยวิจิตรโมเดิร์น เสมือนการเข้าไปเที่ยวในพระราชวังสมัยโบราณ ตระการตาด้วยสถาปัตยกรรมโทนสีเข้มตัดกับสีทองจากทองคำแท้บริสุทธิ์แฝงกลิ่นอายความเป็นไทยไว้ในทุกรายละเอียด ทั้งจิตรกรรมฝาผนังบริเวณชั้นลอยที่บอกเล่าเรื่องราวรามเกียรติ์ และโคมแชน เดอเลียร์รูปชฎาสีทองอร่ามขนาดใหญ่ ที่ดูตราตรึง และสร้างความประทับใจให้แก่เราจนเผลอหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึกอย่างตั้งใจ
โซนกลาส เฮ้าส์ ที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับบริการในรูปแบบ Chef’s Table ซึ่งเราสามารถมองเห็นแทบทุกกระบวนการ ตลอดจนขั้นตอนการปรุงอาหารสดใหม่แบบจานต่อจานของเชฟอย่างใกล้ชิด ถือเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์อันโดดเด่นของการมาเยือนในครั้งนี้ ทุกเมนูสุดหรูหราที่รังสรรค์ขึ้นได้แรงบันดาลใจจากประสบการณ์ทำงาน และการเดินทางไปรอบโลกกว่า 40 ปีของ เชฟวิชิต มุกุระ เอ็กเซ็กคูทีฟเชฟ ณ ที่แห่งนี้
เมนู Chef’s Table ที่ร้านรอยัลโอชาจะหมุนเวียนไปตามฤดูกาล เราถูกโหมโรงเรียกน้ำย่อยด้วย ทองม้วนต้มยำกุ้งคาเวียร์ ขนมขบเคี้ยวดั้งเดิมของคนไทยอย่าง ทองม้วน ถูกหยิบยกมาเล่าใหม่ด้วยการสอดไส้กุ้งเข้าไป เพิ่มสีสันให้คำนี้ด้วยมูสต้มยำ ซอสมะม่วง โรยดอกไม้ ใบมะกรูดกรอบ ซึ่งทำออกมาเป็นแท่งขนาดพอดีคำ เมื่อกัดทองม้วนกรอบ ๆ เข้าไป เราสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของต้มยำที่หอมอบอวลไปด้วยสมุนไพร เปิดประสาทต่อมรับรสของเราได้อยู่หมัดตั้งแต่คำแรกเลย
แตงโมหอยสังข์กับบีทรูทปลาแห้ง จานนี้เชฟได้รับแรงบันดาลใจมาจากกุ้งแช่น้ำปลากับแตงโมปลาแห้ง แตงโมเนื้อฉ่ำหวานถูกท็อปด้วยหอยสังข์จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถูกหั่นบาง ๆ เหยาะด้วยเกลือหิมาลัย ก่อนนำไปย่างจนหอมได้ที่ ตัวชูโรงรสชาติของจานนี้ เรายกให้น้ำจิ้มซีฟู้ดที่ถูกอินฟิวส์กับบีทรูท จนกลายเป็นกรานิต้าเย็น ๆ สีม่วงแดง เป็นลูกเล่นที่ช่วยตัดเลี่ยน แถมช่วยเพิ่มความสดชื่นได้ดี
ถัดมาเป็นจานซิกเนเจอร์ของเชฟวิชิต ยำสมุนไพรตะไคร้มะแขว่นส้มโอกับขาปูทาราบะ มะแขว่น ได้รับฉายาว่าเป็นราชาเครื่องเทศแห่งภาคเหนือ ซึ่งเราก็เห็นพ้องเป็นเช่นนั้น สมุนไพรกลิ่นหอมฉุนคล้ายผักชี มีรสเผ็ดเล็กน้อย ถูกนำมาคลุกเคล้ากับยำสมุนไพรไทยนานาชนิด ทั้งตะไคร้ ต้นหอม หอมแดง ผักชีใบเลื่อย ผักแพรว และมีส้มโอเคล้าตัดรส ซึ่งทั้งหมดเสิร์ฟคู่มากับขาปูทาราบะจากประเทศญี่ปุ่นที่ย่างมาได้หอมและฉ่ำกำลังดี
ต้มลูกรอกฟัวกราส์ไก่ฝรั่งเศสหนังไก่กรอบ จานนี้เรายกให้เป็นนิยามใหม่ของแกงจืดลูกรอก น้ำซุปไก่ตุ๋นใสรสเข้มข้น ที่ผ่านกระบวนการตุ๋นตามแบบคนจีน และเคี่ยวนานกว่า 6 ชั่วโมง สามารถดึงความหอมหวานตามธรรมชาติออกมาได้อย่างเต็มคำ ส่วนลูกรอกถูกผสมด้วยฟัวกราส์ก่อนนำไปนึ่ง ตบท้ายด้วยฟัวกราส์ย่างหั่นเต๋า เชฟบรรจงเทน้ำซุปร้อน ๆ ลงไปก่อนให้สัญญาณรับประทาน ทำให้หนังไก่ยังคงความกรอบ เป็นการเติมเต็มรสชาติในปากแบบสะอาดสะอ้านสมบูรณ์แบบ
แกงเหลืองปลาฮิราเมะ ยอดมะพร้าวอ่อนและก้านทูน กับขนมจีน เป็นอีกหนึ่งเมนูที่เชฟต้องการนำเสนอ “ก้านทูน” วัตถุดิบแปลกใหม่ ยังแอบรู้มาว่าหารับประทานได้ยากในเมืองกรุง พืชตระกูลเดียวกับบอนถูกนำมาหั่นแฉลบบาง ๆ แล้วทำให้สุกกับน้ำแกงส้มใต้สีเหลืองอร่าม ทันทีที่ตักเข้าปาก เท็กซ์เจอร์คล้ายกับสายบัว แต่รสหวานกลมกล่อมกว่า เสิร์ฟมาพร้อมกับปลาฮิราเมะจากประเทศญี่ปุ่น กินแกล้มกับขนมจีน และมะละกอดองพริกเกาหลีกับหัวไชเท้า สำหรับกินแนมกัน บอกเลยว่าเข้ากันอย่างน่าเหลือเชื่อ
เข้าสู่ Main Course หรือเมนูจานหลักอย่าง ล็อบสเตอร์ผัดฉ่า แกะย่างจิ้มแจ่วข้าวหอมมะลิแดง เมนู Surf & Turf ที่รวมอาหารทะเล และเนื้อแดงไว้ในจานเดียว ล็อบสเตอร์เนื้อหวานฉ่ำด้วย “บัตเตอร์เซียร์” หรือการนำไปย่างแล้วทาด้วยซอสเนื้อเจลกลิ่นผัดฉ่า ในส่วนของแกะที่ย่างจนหอม ไม่มีกลิ่นคาว กับข้าวคั่วและพริกแห้ง จัดวางคู่กับข้าวหอมมะลิแดงผัดคลุกงาขี้ม่อน เป็นอีกหนึ่งจานที่อร่อยเลิศทีเดียว
กินคาวไม่กินหวาน เห็นทีจะไม่ใช่ตำรับไทย ที่ร้านรอยัลโอชาเสิร์ฟ เจลลี่ส้มฉุนผลไม้กับมะกรูดเชื่อม ขนมโบราณหากินยาก ซึ่งขนาดเราเองที่รับประทานอาหารโบราณฝีมือคุณย่ามาตั้งแต่เด็ก ก็ยังไม่คุ้นกับการใส่ขิงซอยและหอมเจียวลงในขนมเท่าใดนัก เชฟได้พัฒนาสูตรจากน้ำส้มซ่านำมาทำเป็นลอยแก้ว กินคู่กับมะกรูดเชื่อมเนื้อใส ที่วางอยู่บนเนื้อเจลลี่รสส้มซ่า ผสมผสานความสดชื่นจากผลไม้ไทยและญี่ปุ่นตามฤดูกาล โรยด้วยหอมเจียวรมควันกับขิงซอย เราพูดได้เต็มปากเลยว่า จานนี้สร้างเซอร์ไพรส์ให้เราตั้งแต่รสชาติยันเนื้อสัมผัสของส่วนผสมอันหลากหลาย
ปิดท้ายด้วย ถั่วแปบ ขนมครกข้าวเหนียวมะม่วง ขนมสอดไส้ ซึ่งถูกเสิร์ฟแบบจัดวางมาด้วยกันทั้ง 3 เมนู คำแรกเปิดด้วย “ถั่วแปบ” ขนมไทยรสชาติคุ้นลิ้นที่ทำออกมาหวานน้อยกำลังดี ตามด้วยขนมครกเปลือกบางกรอบสูตรเชฟวิชิต หยอดหน้าด้วยข้าวเหนียวมูน ครีมกะทิ และมะม่วงน้ำดอกไม้หวานละมุน เป็นอีกหนึ่งคำที่ให้รสชาติของข้าวเหนียวมะม่วงแบบดั้งเดิมแกล้มในรสสัมผัสแบบใหม่ ส่งท้ายความหวานด้วยขนมสอดไส้โบราณหน้ากะฉีก รสชาติคาวหวานที่ลงตัว เป็นการจบคอร์สด้วยความอิ่มเอม และรื่นรมย์อย่างแท้จริง
ห้องอาหาร “รอยัล โอชา” เปิดบริการทุกวัน วันละ 2 รอบ ได้แก่ มื้อเที่ยง (เวลา 11.00 – 15.00 น.) และมื้อเย็น (เวลา 18.00 – 23.00 น.) ส่วนใครที่อยากลิ้มลองเมนู Chef’s Table ประจำเหมันต์ฤดู จากเชฟวิชิต มุกุระ ตั้งแต่ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 – 31 มกราคม 2566 เราแนะนำให้สำรองที่นั่งล่วงหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์ จะได้รับบริการแบบเกินความคาดหวังกลับไปอย่างแน่นอน