นาฬิกาออกกำลังกายพัฒนามาไกลมากนับจากจุดเริ่มต้นที่เคยทำได้แค่นับก้าวเดินนิดๆหน่อยๆ Smart Watch สมัยนี้สามารถบอกเราได้ทุกอย่างตั้งแต่ชีพจร ระดับออกซิเจนในเลือด วัดคุณภาพการนอน จนถึงระยะเวลาที่ร่างกายให้ฟื้นฟูหลังออกกำลังกาย ซึ่งกลายเป็นฟังชั่นพื้นฐานที่มีเหมือนๆกันเกือบทุกรุ่น ทุกแบรนด์
สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ รายละเอียดด้านดีไซน์ที่แตกต่างกันทั้งในแง่องค์ประกอบศิลป์ความสวยงาม และระบบวิศวกรรมภายในของเครื่องและระบบเซ็นเซอร์ที่หลากหลาย ซึ่งแต่ละรุ่นก็มีจุดเด่นแตกต่างกันไป นั่นหมายความว่าไม่มีนาฬิกาออกกำลังกายรุ่นไหนเป็นรุ่นที่ดีที่สุดสำหรับทุกๆคน มีแต่เพียงรุ่นที่ความโดดเด่นในแต่ละอย่าง
Lips จะพาไปดูกันว่าในปี 2023 นี้ ในท้องตลาดมีนาฬิกาออกกำลังกายตัวไหนน่าสนใจ และแต่ละรุ่นเหมาะกับใครบ้าง
Samsung Galaxy Watch 6 Series
Smart Watch รุ่นใหม่ล่าสุดจากค่าย Samsung ที่พูดอย่างกำปั้นทุบดินว่า ครบครันด้านฟีเจอร์ที่สุดสำหรับคนใช้มือถือ Samsung โดยเฉพาะโปรแกรมวัดระดับการนอนที่ปรับปรุงให้ดีกว่าเดิมด้วยการวัดอุณหภูมิร่างกาย โดดเด่นด้วยฟังก์ชันวัดโซนการเต้นหัวใจแบบเฉพาะบุคคล และโปรแกรมการออกกำลังกายแบบปรับแต่งได้ แถมยังมี 3 in 1 เซ็นเซอร์ วิเคราะห์ตำแหน่งท่วงท่าร่างกาย ซึ่งเป็นฟีเจอร์เฉพาะของ Samsung ที่หาไม่ได้ในนาฬิกาออกกำลังกายของเจ้าอื่น
รุ่นนี้มีผลิตออกมาสองขนาดคือ 40mm กับ 44mm ซึ่งแนะนำตัว 44mm. สำหรับคนที่อยากใช้งานในการออกกำลังกายเป็นหลัก เพราะเบาและทะมัดทะแมงกว่า และใส่สบายไม่รบกวนขณะนอนหลับ ในขณะที่ตัว 44 mm. ให้ความรู้สึกหรูหรา ใช้สะดวกในฐานะ Smart Watch และเหมาะกับฟีเจอร์รับส่งข้อความสามารถตอบแชตได้ทันที แต่ชวนรู้สึกติดขัดเล็กน้อยหากใส่ตอนเคลื่อนไหว
ข้อแตกต่างจาก Galaxy Watch รุ่นก่อนๆ ที่เห็นชัดคือ แบตเตอรีที่พัฒนาไปมาก จากการทดลองใช้เต็มความสามารถ เช่น เปิด GPS สำหรับวิ่ง กับ ฟังก์ชันโชว์หน้าจอไว้ตลอด (ลงทุนยกมือดูนาฬิกาไปวิ่งไปให้ชาวบ้านมองอยู่นาน) ใช้แบตเตอรีแค่ 3-4% ต่อไมล์เท่านั้น หรือหากใส่นอนเข้าโหมดวัดระดับการนอนแบบเต็มความสามารถ วัดทั้งระดับออกซิเจน SpO2 วัดการกรน วัดอุณหภูมิผิวหนัง ข้ามคืนก็กินไฟแค่ 10-15% เท่านั้น
Samsung Galaxy Watch 6 Series เหมาะสำหรับใคร
เจ้าของมือถือ Samsung ที่อินกับ ecosystem ของ Samsung โดยเฉพาะคนที่ใช้ Galaxy Z Flip5 มือถือพับฟลับฟับตลับแป้งที่ใช้ Galaxy Watch เป็นรีโมตชัตเตอร์ได้คล่องๆ
Garmin Venu Sq 2
แบรนด์ Garmin ขึ้นชื่อในเรื่องนาฬิกาออกกำลังกายอยู่แล้ว หายห่วงเรื่องฟังก์ชันออกกำลังกายที่มาแบบครบครันเต็มความสามารถ ระบบการเดินวิ่ง GPS ในตัวตามตำแหน่งยามเคลื่อนไหว ที่น่าสนใจคือ ฟังก์ชันรักษาความปลอดภัยที่ไม่ใช่รปภ. แต่เป็น Garmin’s Incident Detection ที่รับรู้การหกล้มกระแทกของผู้สวมใส่
ที่แตกต่างจากยี่ห้ออื่นๆ ก็คือ Garmin Coach โปรแกรมฝึกแบบ built-in ฟรี สำหรับนักวิ่งตั้งแต่ระดับเริ่มต้นถึงระดับกลาง มีตัวเลือกในการเลือกแผนการฝึกที่ปรับได้ 3 ระดับ คือ 5K ระดับเริ่มต้นใช้เวลา 6 ถึง 20 สัปดาห์ ผสมผสานระหว่างการวิ่งง่ายๆ การวิ่งระยะยาวแบบง่ายและการวิ่งบนเนินเขา ระดับกลาง 10K ใช้เวลา 10 ถึง 21 สัปดาห์ พัฒนาความอดทน ความเร็วและจังหวะ ระดับที่ 3 ฮาล์ฟมาราธอน ก็ตามชื่อเลยค่ะ ฮาล์ฟมาราธอน สำหรับสาวๆที่จริงจังการวิ่ง
Garmin Venu Sq 2 ขายแยกเป็น 2 รุ่น คือรุ่นปกติกับ รุ่น Music Edition ซึ่งมีพื้นที่เก็บไฟล์เพลงในตัวนาฬิกา ดาวน์โหลดเพลงมาฟังได้ประมาน 500 เพลง ทั้งสองรุ่นมีสีให้เลือกแตกต่างกัน จุดนี้อาจมองเป็นได้ทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีก็คือ ผู้ซื้อมีตัวเลือกได้ หากสะดวกพกโทรศัพท์ หรือไม่ได้ฟังเพลงออฟไลน์ตอนออกกำลังอยู่แล้วก็ไม่ได้จำเป็นต้องเสียเงินเพิ่ม แต่ข้อเสียก็คือ สีที่มีให้เลือก ถ้าบังเอิญสีที่ใช่ไปอยู่ในรุ่นที่ไม่ชอบ ก็ว้าวุ่นกันเลยทีนี้
Garmin Venu Sq 2 เหมาะสำหรับใคร
พิจารณาจาก Music Edition ที่พกเพลงมาฟังแบบออฟไลน์ได้ ประกอบกับ Garmin Coach แล้ว โดยรวม Garmin Venu Sq 2 เป็นนาฬิกาออกกำลังกายที่เหมาะสำหรับสายวิ่งจริงๆ ที่อยากวิ่งไปชิลๆโดยไม่แคร์สัญญาณอินเทอร์เน็ตและพกโทรศัพท์ให้เทอะทะ
Apple Watch Series 9
Apple Watch รุ่นล่าสุดที่พึ่งวางขายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา อัปเกรดชิปประมวลผลใหม่ในชื่อ S9 เพื่อการใช้งาน Siri แบบออฟไลน์ และการใช้งาน double-tap เพื่อสั่งการ รวมถึงฟีเจอร์ Precision Finding ค้นหาไอโฟนหรือแอร์แทคได้ละเอียดขึ้น
สำหรับฟังก์ชันการใช้งานเพื่อสุขภาพ Apple Watch มีครบอยู่แล้วหายห่วง เพิ่มเติมก็คือระบบปฎิบัติการล่าสุด watchOS 9 ที่ทำระบบตรวจวัดการวิ่งที่ดีขึ้น และสามารถสร้างโปรแกรมออกกำลังกายแบบคัสตอมได้ ตัวนาฬิกามีการพัฒนาจากรุ่น 8 เพียงเล็กน้อย สำหรับคนที่ใช้รุ่น 6-8 มาก่อน อาจไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยน ถ้าหากไม่อยากลองเล่นฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่าง double-tap
double-tap gesture เป็นตัวชูโรงของรุ่นนี้ คือ การใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งสัมผัสกันเหมือนการจีบในรำไทย (หรือว่าจะเป็น…. Soft Power!?) เพื่อควบคุมการทำงานของนาฬิกาได้ด้วยมือเดียว ซึ่งสามารถทำได้ตั้งแต่ เล่นหรือหยุดเพลง รับสายโทรศัพท์ ปิดเสียงนาฬิกาปลุก หยุดนาฬิกาจับเวลา
Apple Watch Series 9 เหมาะสำหรับใคร
โดยภาพรวม ถ้าคุณเป็นสาวก Apple ที่คุ้นชินกับ ecosystem ของ Apple ดีอยู่แล้ว ไม่มีปัญหากับราคาเลิศหรูระดับพรีเมียม และพร้อมจะอัปเกรดเล่นสนุกกับฟีเจอร์นวัตกรรมของ Apple ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ซื้อ
Amazfit GTR 4 GTS 4
นาฬิกาออกกำลังกายสายคุ้ม แบตอึด ด้วยราคาที่ย่อมเยากว่าแบรนด์อื่นๆ กับรูปลักษณ์สองแบบ กรอบกลม รุ่น GTR 4 กรอบสี่เหลี่ยม GTS 4 Amazfit GTR/S 4 มาพร้อมกับฟังก์ชันสุขภาพครบอย่างไม่น่าเชื่อ รวมถึงหน้าจอแบบ OLED ตัววัดระดับออกซิเจน วัดระดับความเครียด ติดตามคุณภาพการนอน ฯลฯ และสำหรับสายกีฬากลางแจ้ง Amazfit GTR/S 4 มีระบบ GPS ที่เชื่อมต่อกับระบบดาวเทียมได้สองช่องสัญญาณ ทำให้การระบุตำแหน่งทำได้แม่นยำมากขึ้น
จุดเด่นของแบรนด์ Amazfit คือ ระบบคะแนน PAI ที่จะช่วยเปลี่ยนค่าต่างๆ ที่เกี่ยวกับสุขภาพ เช่น ค่าในการออกกำลังกายให้เป็นคะแนนมอบให้คุณในแต่ละวัน เป็นการใช้ Gamification ช่วยกระตุ้นให้เราอยากออกกำลังกาย ส่วนแบตเตอรีต้องยอมรับว่าของเขาอึดจริงถึง 14 วันต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (ขึ้นอยู่กับการใช้งาน) จากการใช้งานจริงต่อให้เปิดการใช้งานเต็มความสามารถก็อยู่ได้ 5-7 วันสบายๆ
Amazfit GTR/S 4 เชื่อมต่อกับแอนดรอยด์ได้อย่างลื่นไหล ตอบสนองได้ดีทั้งการแจ้งเตือนและการคุยโทรศัพท์ผ่านบลูทูธรวมถึงการทำงานร่วมกับ Alexa แต่เมื่อเชื่อมต่อกับไอโฟนแล้วความเร็วจะลดลงเล็กน้อย ข้อเสียอีกอย่างของ Amazfit GTR/S 4 คือไม่รองรับบัตรชำระเงินไร้สัมผัส หรือ contactless payments ซึ่งก็ไม่ได้ได้รับความนิยมนักอยู่แล้ว
Amazfit GTR/S 4 เหมาะสำหรับใคร
คนที่ไม่ชอบวุ่นวายกับการชาร์จแบต เพราะลำพังมือถือ แทปแลตเยอะแยะก็ชาร์จพ่วงเต็มหัวนอนอยู่แล้ว หรือผู้เริ่มต้นใช้ Smart Watch ที่อยากได้ตัวคุ้มค่า ราคาประหยัดที่ฟังก์ชันครบๆ
Garmin Vivomove Sport
Smart Watch Hybrid ที่วางจำหน่ายมาตั้งแต่ปีต้นปีที่แล้ว แต่มีเอกลักษณ์โดดเด่นน่าสนใจอยู่ ทางแบรนด์เรียกนาฬิการุ่นนี้ว่าเป็น Smart Watch แบบไฮบริด เพราะยังคงเข็มและหน้าปัดแบบนาฬิกาข้อมือจริงๆ ไว้ด้วย แล้วแสดงข้อมูลแบบ Smart Watch ด้วยหน้าจอดิจิทัล OLED ที่อยู่ครึ่งล่างของหน้าปัด
ดีไซน์หรูหรา ใช้ง่าย ใส่ง่าย ด้วยความที่รูปลักษณ์ภาพนอกดูเป็นนาฬิกาข้อมูลผู้หญิงเรียบหรู (แต่หน้าปัดใหญ่) ใส่ไปทำงานได้ไม่ขัดเขิน ใส่เข้ากับเสื้อผ้าชุดทำงานได้ไม่ยาก สำหรับคนทำงานที่มองว่านาฬิกาสุขภาพทั่วๆไปดูสปอร์ตเกิน แต่ก็ยังคงมีฟีเจอร์สุขภาพครบถ้วน ตัววัดระดับออกซิเจน วัดระดับความเครียด ติดตามคุณภาพการนอน ฯลฯ
ที่เด็ดที่สุดก็คือ หากเข็มนาฬิกาบนหน้าปัดเดินอยู่บนตำแหน่งที่บังข้อมูลสุขภาพบนหน้าจอ OLED ให้เราแตะไปที่หน้าจอเบาๆ เข็มนาฬิกาจะเลื่อนหลบออกไปด้านข้างให้เราเห็นข้อมูลชัดๆ จังหวะที่เข็มนาฬิกาเดินย้อนกลับนั้นช่างเติมไฟในการออกกำลังกายให้สาวน้อยช่างฝันที่อ่านมังงะย้อนเวลามาอย่างโชกโชนอย่างฉันได้ดีจริงๆ
Garmin Vivomove Sport เหมาะสำหรับใคร
สาวๆที่รู้สึกเขินๆเวลาอยู่ในลุคสปอร์ต คนที่อยากใส่นาฬิกาสุขภาพไปทำงานออฟฟิศ
Words: Roongtawan Kaweesilp
ข้อมูลจาก: www.theverge.com