ย่านท่าเตียนในวันปลอดนักท่องเที่ยวอาจจะดูเงียบเหงาอยู่สักหน่อย แต่มองอีกด้านก็นับเป็นโอกาสอันดีไม่น้อย ที่เราจะได้แวะเวียนไปลองชิมอาหารในร้านรวงในย่านนั้นที่ล้วนตกแต่งอย่างงดงามให้รับกับวิวพระปรางค์วัดอรุณราชวนารามอันงามสง่า และเมื่อเลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆ ริมถนนมหาราชเราก็พบว่า มีร้านเปิดใหม่อีกร้านที่แค่เห็นประกายแชนเดอเลียร์คริสตัลที่ส่องแสงลอดออกมาจากหน้าต่างกระจกของร้านก็ชวนให้เราต้องผลักประตูเข้าไปจับจองที่นั่ง และต้องเป็นที่นั่งริมหน้าต่างที่ชื่นชมความงามของพระปรางค์ได้อย่างเต็มอิ่มเท่านั้น
ซึ่งเมื่อก้าวเข้าไปในร้านก็ต้องบอกว่า รู้สึกราวกับแม่หญิงมณีจันทร์ทะลุมิติเข้ามาในยุคที่ชาวสยามกำลังได้รับอิทธิพลจากเมืองฝรั่งมังค่า ด้วยเฟอร์นิเจอร์แอนทีคสไตล์ “อีหรอบ” รายรอบร้าน กลิ่นอายเครื่องหอมแบบไทยๆ ที่ลอยมาทักทาย ซึ่งก็นับว่า ตรงกับความตั้งใจของเบิร์ด-เอกภพ โกมลชาติ เจ้าของร้านผู้วางคอนเซ็ปต์ร้านให้ตรงกับภาพยนตร์เรื่องโปรดของเขา นั่นก็คือ ภาพยนตร์เรื่อง “ทวิภพ” ซึ่งมีนางแบบลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศสหน้าเก๋อย่าง ฟลอเรนซ์ วนิดา เฟเวอร์ เป็นนักแสดงนำ และด้วยความที่ชื่นชอบเฟอร์นิเจอร์แอนทีคอยู่เป็นทุนเดิม ทำให้ร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้เต็มไปด้วยของตกแต่งทีเจ้าของร้านสะสมอยู่ในคลังมานาน
ส่วนทำเลที่ตั้งนั้นกว่าจะมาเจอพื้นที่ที่ใช่ต้องใช้เวลาตระเวณหาตามย่านเก่าแก่ในกรุงเทพฯ อยู่นาน จนกระทั่งมาเจอเข้ากับโรงรถในซอยมหาราชริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ทำหน้าที่เป็นที่เก็บของเสียมากกว่า ต้องตามตื้ออยู่เกือบปีกว่าเจ้าของจะใจอ่อนยอมให้เช่าพื้นที่ทำเป็นร้านอาหารตามที่วาดฝันไว้
“พื้นที่บริเวณนี้เหมือนกลายเป็นแลนด์มาร์กของประเทศไปแล้ว เหมือนคนไปเที่ยวปารีสก็ต้องไปชมหอไอเฟล ถ้ามาเมืองไทยก็คงต้องมาชมพระปรางค์วัดอรุณฯ ประกอบกับเราชอบพื้นที่ทางประวัติศาสตร์อยู่แล้วด้วย”
เมื่อสืบประวัติไปไกลกว่านั้นก็ยังพบว่า พื้นที่แห่งนี้เดิมเคยเป็นอาณาเขตของวังของพระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงษ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม ซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ประสูติแต่เจ้าจอมมารดามรกฎ ผู้เป็นต้นราชสกุลเพ็ญพัฒน์ พื้นที่แห่งนี้เดิมชื่อว่า “วังท่าเตียน” และภายในอาณาบริเวณเดิมเคยเป็นโรงละครมาก่อนชื่อว่า “สยามเธียเตอร” ถือเป็นโรงละครแห่งแรกของประเทศไทย ที่มีการแสดงแบบเปลี่ยนฉาก ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น “ปริ๊นซ์เธียเตอร์” ตามศักดิ์ของพระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงษ์ฯ
“เดิมทีคอนเซ็ปต์ที่ผมอยากได้ คือ อยากเนรมิตพื้นที่แห่งนี้ให้กลายเป็นสยามเธียเตอร์ แต่พอมาดูโครงสร้างหลายๆ อย่างแล้ว เราไม่อยากปรับมาก จึงเปลี่ยนคอนเซ็ปต์มาเป็นเอาแชนเดอเลียร์ที่เป็นเหมือนตัวแทนความศิวิไลซ์ในยุคนั้นเข้ามาตกแต่ง ตามคำที่ว่า “เห่อฝรั่ง” ซึ่งตรงกับช่วงรัชกาลที่ 4 ต่อเนื่องไปถึงรัชกาลที่ 5 ช่วงนั้นคนไทยเริ่มใช้ข้าวของเครื่องใช้แบบฝรั่ง ทั้งเครื่องแก้วเจียระนัย จาน ชามแก้วคริสตัล ชาวสยามเริ่มเปลี่ยนจากการนั่งทานข้าวบนพื้น เปิปข้าวด้วยมือมาใช้ช้อนส้อม เราจึงแต่งร้านให้เป็นฝรั่งแต่ยังไม่ลืมความเป็นไทย เพราะอาหารที่เสิร์ฟที่ร้านก็เป็นอาหารไทยๆ”
นอกจากกลิ่นอายของฝรั่งปนไทย เรายังพบเห็นดีเทลเล็กๆ น้อยๆ ที่ให้กลิ่นอายของคนไทยเชื่อสายจีนทั้งสติกเกอร์ภาษาจีนบนผนังกระจกร้าน ผนังตู้ยาแบบจีนซึ่งเป็นประตูเก่าของบ้านหลังหนึ่งที่เจ้าของขอซื้อมาตกแต่งเป็นแบ็คกราวนด์ขนาดใหญ่ ซึ่งกลายเป็นฉากถ่ายภาพได้อย่างเหมาะเจาะ ส่วนภาพพิมพ์หินสมัยวิคตอเรียน รวมถึงเฟอร์นิเจอร์แอนทีคสไตล์ยุโรปต่างๆ ก็เป็นอีกหนึ่งดีเทลที่บ่งบอกคอนเซ็ปต์เห่อฝรั่งของร้านได้อย่างชัดเจน
ส่วนอาหารจานหลักที่เสิร์ฟในร้านนั้นก็เน้นอาหารไทยแท้ดั้งเดิมรสชาติถึงเครื่อง ไม่ได้ปรับรสเพื่อเอาใจนักท่องเที่ยว ถึงแม้ย่านนี้จะมีลูกค้าหลักเป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวเก็บเกี่ยวบรรยากาศไทยๆ ก็ตามที ทางร้านพยายามหาอาหารพื้นถิ่นจากทุกภาคที่นำเสนอความเป็นไทยทุกสารทิศ เมนูสิงห์เหนือ และเสือใต้ ที่จัดมาเป็นเซ็ตอย่างสะสวยนั้นก็เป็นตัวแทนจากสองภาคที่เก็บอัตลักษณ์ทางรสชาติของท้องถิ่นไว้ได้ครบ
สิงห์เหนือเป็นออเดิร์ฟแบบลานนาที่ประกอบไปด้วยไส้อั่ว จิ้มทานกับน้ำพริกหนุ่ม ลาบหมูคั่วแห้ง และข้าวเหนียวร้อนๆ เสิร์ฟมาในชามแก้วเจียระนัยให้มู้ดแบบผู้ดิบผู้ดี พร้อมผักพื้นบ้านจัดเป็นเครื่องเคียงมาในตะกร้าสานให้ทานกันแบบไม่อั้น เช่นเดียวกับเสือใต้ที่มาในรูปแบบเส้นหมี่ทานคู่กับแกงปูใบชะพลูรสชาติเผ็ดร้อนไม่ปราณีลิ้น ตัดรสเผ็ดด้วยไข่ต้มยางมะตูม และปลากรอบ พร้อมเครื่องเคียงทั้งผักสด และผักทอด
เมนูภาคอีสานที่คัดสรรมาก็ล้วนแต่เป็นเมนูที่เราคุ้นเคยกันดีอย่างเช่น เนื้อย่างจิ้มแจ่ว หมูปลาร้าทานกับข้าวเหนียว เมนูสตรีทฟู้ดง่ายๆ ที่หลายคนติดใจ เมนูอาหารส่วนใหญ่เน้นหนักไปทางอาหารภาคกลาง อย่างเมนูทานเล่นที่ใครๆ มาเป็นต้องสั่ง คือ ปอเปี๊ยะไส้อั่ว ที่เสิร์ฟมาในแก้วทรงสูง หยิบทานสะดวก ทานคู่กับเครื่องจิ้มอย่างซอสมาโยที่มีรสเผ็ดเจืออยู่ ซึ่งความผิดนั้นมาจากน้ำพริกหนุ่ม ซึ่งนับเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ไปกันได้ดีกับรสหวานมันกลมกล่อมของซอสมาโย
นอกจากนี้ยังมีเมนูยอดนิยมอีกหลายอย่างที่ควรลอง ไม่ว่าจะเป็น ข้าวโพดทอดเนื้อปู แกงคั่วหมูย่าง แกงคั่วสับปะรด ใบชะอม น้ำพริกมะขาม กะปิคั่ว ต้มยำปลาทู เมนูใหม่ๆ จะมีเพิ่มเติมเข้ามาเรื่อยๆ ตามฤดูกาล อย่างช่วงเดือนกันยายนจะมีเมนูจากสายบัวเพิ่มเติมเข้ามาสร้างสีสันในช่วงปลายฤดูฝน
ค็อกเทลที่เติมกลิ่นอายไทยๆ พร้อมเรื่องราวเบื้องหลังที่ได้แรงบันดาลใจมา เป็นอีกไฮไลต์ของร้านที่ควรต้องลอง อย่างค็อกเทลที่แฝงเรื่องราวโรแมนติกตามที่เล่าให้ฟังไว้ข้างต้นนั้น ต้องไปตามหาวัตถุดิบมาจากภาคอีสาน นั่นก็คือ “เหล้าอุ” ที่ชาวอีสานหมักกันในไห ลองมาทำสูตรให้คล้ายรสดั้งเดิม ไม่ได้ใช้สุราฝรั่งเป็นส่วนผสมแต่อย่างใด ใส่น้ำผึ้งเพื่อให้ได้รสหวาน บีบมะนาวเสริมรสจี๊ดจ๊าด เสิร์ฟมาในไหเล็กๆ ที่เลียนแบบไหสุราแบบโบร่ำโบราณได้แนบเนียน ดื่มละมุนลิ้นแต่แรงโดยไม่รู้ตัว
เมนูค็อกเทลอื่นๆ ยังได้แรงบันดาลใจมาจากบทเพลงไทยเดิม ไม่ว่าจะเป็น บุหลันลอยเลื่อนที่ใส่น้ำลอยดอกมะลิ ไซรัปใบเตย อบกลิ่นควันเทียนหอมฟุ้งด้วยการนำแก้วไปสโม้คกับเทียนที่ใช้อบร่ำตามตำรับโบราณ ขณะดื่มเราจะได้กลิ่นควันเทียนอลอวลอยู่ในปาก ส่วนเมนูค็อกเทลสีเหลืองสวยชื่อว่า “ค้างคาวกินกล้วย” นั้นใช้กล้วยตากมาเป็นกิมมิกหลักๆ “นกขมิ้น” ที่มีการใช้ชาไทยสีส้มมาเป็นส่วนผสมหลัก
ด้านม็อกเทลก็ไม่น้อยหน้า แต่ละตัวได้แรงบันดาลใจจากชื่อถนนในย่านเก่าของกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็น เจริญกรุง, บำรุงเมืองที่ชวนให้ย้อนระลึกถึง “น้ำจรวด” รสซาบซ่าเติมความคึกคักด้วยเครื่องดื่มชูกำลัง เฟื่องนครที่ใช้น้ำมังคุดจากย่านสะพานขาวซึ่งเป็นตลาดผลไม้เป็นส่วนผสมหลัก และเยาวราช ที่ใช้ส่วนผสมหลักเป็นส้มจี๊ดแบบที่คั้นขายกันสดๆ ริมถนนเยาวราชมาดัดแปลงกลายเป็นม็อกเทลรสสดชื่น เติมกิมมิกรสแปลกใหม่ด้วยผงบ๊วยจากฝรั่งจิ้มบ๊วยตกแต่งรอบขอบแก้ว เพิ่มเติมรสหวานผสมเค็มปะแล่มขณะจิบ
หากคิดจะแวะมาดินเนอร์ หรือลันช์ พร้อมชื่นชมวิวไฮไลต์ของกรุงเทพฯ โดยไม่มีอะไรกั้น ควรโทรสำรองโต๊ะไพรเวทด้านในสุดไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะในวันเสาร์-อาทิตย์ ที่ช่วงนี้คนกรุงเทพฯ ยังเดินทางมาหย่อนใจในย่านเมืองเก่ากันอย่างคับคั่ง แต่ถ้ามีเวลาว่างในช่วงวันธรรมดา (ยกเว้นวันพุธที่ร้านปิด) แนะนำให้มา ดื่มด่ำกับวิวตระการตา และอาหารไทยรสเลิศกันได้อย่างไม่ต้องเร่งรีบ ค่อยๆ ซึมซับบรรยากาศที่เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีตกาล
Tha Arun
ซอยเพ็ญพัฒน์ ถนนมหาราช (ท่าเตียน)
โทร. 08 9988 8059
┃Photography : Somkiat K.