ขณะเดินสำรวจภายในงาน STYLE BANGKOK 2023 ป้ายแบรนด์ DIVANA สปาระดับท็อปของไทยปรากฏในสายตาตั้งแต่ระยะไกล แต่ด้วยความมุ่งมั่นในการมองหาดีไซเนอร์หน้าใหม่ ฉันจึงปล่อยผ่านแบรนด์ดังรายนี้ไปจากความคิด ทว่ายิ่งเฉียดใกล้บูธ มวลอากาศอันหอมอบอุ่น ละมุนใจ แต่ไม่คุ้นชิน กลับมีแรงดึงดูดที่สร้างปรากฏการณ์แบบ ‘ปิ๊งรัก’ บนความลังเล
ก้าวแรกผ่านไป…สายตาฉันยังมองตรงไปข้างหน้า ก้าวสองตามมา…กลิ่นหอมปริศนาช่างยั่วยวนใจ ก้าวสามไม่ไหว ต้องเปลี่ยนใจเลี้ยวหักศอก ออกตามหากลิ่นหอมลึกลับนี้ทันที เมื่อได้สอบถาม ‘โรส – อภิรดี หิรัญรามเดช’ หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ จึงพบว่ากลิ่นที่ ‘ตก’ ฉันเข้าบูธ เป็นหนึ่งในผลลัพธ์ของการ ‘ปรับใหญ่’ ในรอบ 21 ปี ทั้งยังเป็นไปตามคัมภีร์แห่งการออกแบบประสบการณ์ของ DIVANA ที่ล้ำหน้าไปถึงผัสสะที่ 7
ตามมาด้วยการพูดคุยกับ ‘ตง – ธเนศ จิระเสวกดิลก’ หนึ่งในหัวหอกของแบรนด์ที่ไม่เพียงหลงใหลและเชี่ยวชาญในการดีไซน์กลิ่น แต่เขายังเป็นนักพัฒนาธุรกิจมือทองที่มีอีกหนึ่งบทบาทในการเป็นเมนเทอร์ให้กับ SME หลายแห่งในประเทศไทย รวมถึงร่วมก่อตั้ง 88 Sandbox แพลตฟอร์มปลุกปั้นสตาร์ตอัปที่นำทัพโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โอกาสนี้ธเนศจะพาเราไปทำความรู้จักกับการตีความ Sensorial Design ที่มากไปกว่าตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส พร้อมถอดรหัสการออกแบบประสบการณ์ในการใช้สินค้าและบริการในรูปแบบของเขา
สั่งสมประสบการณ์ก่อนโอกาสมาถึง
ขณะเป็นพนักงานต้อนรับของสายการบินแห่งชาติสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อทำตามความฝันหนึ่งที่ต้องการออกไปเปิดโลก ธเนศได้ศึกษาปริญญาโทด้านการบริหารธุรกิจท่องเที่ยวควบคู่กันไป และจัดทำวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้องกับโอกาสของ ‘ธุรกิจเดย์สปา’ ในประเทศไทย เขาจึงมองเห็นช่องว่างทางการตลาดที่อยู่ระหว่างสปาหรูในโรงแรมกับร้านนวดแผนไทยตั้งแต่ 20 กว่าปีก่อน กระทั่งเกิดเหตุการณ์ 9/11 ในปี 2001 ลูกเรือต่างชาติของสายการบินสวิสทั้งหมดโดนเลย์ออฟ ธเนศและเพื่อนร่วมงานอย่าง อภิรดี และ ‘ตี๋ – พัฒนพงศ์ รานุรักษ์’ จึงถือเป็นจังหวะอันดีในการริเริ่มสปาตามรูปแบบที่คิดไว้
“เราเริ่มต้นธุรกิจจาก Thesis, Trend, Experience” ธเนศหมายรวมถึงชั่วโมงบินในการให้บริการกับผู้โดยสารระดับไฮเอนด์ และไลฟ์สไตล์ส่วนตัวที่ต่างสนใจในพลังแห่งธรรมชาติเป็นทุนเดิม “เรา 3 คนมีเป้าหมายที่ค่อนข้างคล้ายกันครับ ทุกครั้งที่ออกเดินทางก็มักจะเสาะหาความเป็นธรรมชาติในมุมต่างๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นออนเซ็น เทอร์มัลบาธ หรือป่าเขาที่ไม่เพียงมีพลังฟื้นฟูร่างกาย แต่ยังปลอบประโลมจิตใจได้เป็นอย่างดี”
สวิตเซอร์แลนด์เปรียบเหมือนบ้านหลังที่สองของธเนศ และเป็นคลังข้อมูลให้เขาได้แสดงฝีมือในฐานะนักเขียนคู่มือท่องเที่ยวสวิตฯ ฉบับประสบการณ์ตรง ทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจแรกๆ ในการทำธุรกิจเวลเนสที่เมืองไทย “คนสวิสมองมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติและให้ความสำคัญกับสุขภาพมากครับ เราได้เห็นโมเดลธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งในด้าน Hospitality ที่เป็นมาตรฐานโลก และด้านสุขภาพที่มีทั้งสปา คลินิกแอนไทเอจจิ้ง การแพทย์ทางเลือก ฯลฯ”
‘นวัตกรรม’ คือกุญแจแห่งความแตกต่าง
การเริ่มต้นธุรกิจสปาในเวลานั้น ธเนศมองว่า 3 สิ่งที่ต้องมี คือ 1) ผู้ทำหน้าที่ผลิตบุคลากร 2) ระบบเทรนนิ่งที่มีมาตรฐานระดับอินเตอร์ 3) สินค้า โดยสิ่งที่จะใช้สร้างความโดดเด่นและแตกต่างให้กับสินค้าของเขาได้เป็นอย่างดีก็คือ ‘กลิ่น’ ร่วมกับการสร้างสรรค์ ‘นวัตกรรม’ ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีอันซับซ้อนเสมอไป เพียงแค่จับคู่บางสิ่งที่แตกต่างกัน หรือเชื่อมโยงบางศาสตร์เข้าไว้ด้วยกันก็อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ใหม่ที่น่าสนใจ
“เราเริ่มจากกลิ่นกุหลาบครับ เพราะดอกกุหลาบมีภาพจำที่ออริจินัลและคลาสสิกในระดับสากล เป็นการออกแบบควบคู่กับซิกเนเจอร์โปรแกรม AYURVEDIC ROSE ซึ่งนำคุณค่าของโลกตะวันออกอย่าง ‘ศาสตร์อายุรเวท’ มาพบกับ ‘กุหลาบ’ ซึ่งเป็นตัวแทนสุนทรียภาพในแบบตะวันตก เราดีไซน์มิติของกลิ่นให้เหมือนยกสวนกุหลาบแวร์ซายมาไว้ที่ทัชมาฮาล กลิ่นบัลกาเรียนโรสสื่อถึงความหอมของดอกไม้ กลิ่นทีโรสเป็นตัวแทนของก้านใบ กลิ่นโคลฟให้กลิ่นอายของอินเดีย”
การเดินทางไปหลายประเทศและศึกษาลู่ทางทำธุรกิจไปด้วย ทำให้ธเนศค้นพบแหล่งวัตถุดิบชั้นเลิศ โดยเฉพาะผู้ผลิตรายใหญ่ใน ‘เมืองกราซ’ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งรับหน้าที่จัดหาน้ำมันหอมระเหยที่ดีที่สุดให้ DIVANA ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน
เขายกตัวอย่างอีกหนึ่งทรีตเมนต์ซึ่งได้รางวัลนวัตกรรมดีเด่น “เรานำเส้นไหมไทยสีทองออร์แกนิกซึ่งมีสรรพคุณในการสมานผิวมาใช้ขัดตัวด้วยเทคนิค ‘หมังหมิ่ง’ ในศาสตร์จีนโบราณ ร่วมกับแป้งทาผิว 3 สัญชาติ ทั้งแป้งที่นำเข้าจากจีน แป้งทานาคาของพม่า และแป้งดินสอพองของไทย ก่อนให้ลูกค้าแช่ตัวในมิลค์บาธที่ผสมน้ำต้มเส้นไหมสีทองซึ่งอุดมด้วยสารซิลีซีน”
PASSION ที่ขับเคลื่อน VISION
“ผมชอบเรื่องราวของกลิ่น ชอบหยิบน้ำหอมของพ่อมาใช้ตั้งแต่เด็ก” ธเนศยิ้ม หลังถ่ายทอดจุดเริ่มต้นของแพสชั่นที่นำมาซึ่งความสำเร็จ แม้เขาจะไม่ได้เติบโตมาในครอบครัวที่ทำธุรกิจมาก่อน “เดี๋ยวนี้ซื้อทีละ 10 กลิ่นครับ เวลาใช้ก็ฉีดสัก 3 กลิ่นผสมกันตามมู้ดแต่ละวัน เช่น รู้สึกสดชื่นก็เลือกกลิ่นแนวหญ้าเขียวผสมกับกลิ่นเปลือกไม้ มันสนุก ไม่มีเบื่อเลย” เขาเผยไอเดียที่น่าลอง โดยเฉพาะเช้าวันจันทร์ที่ปราบเซียนมนุษย์ออฟฟิศ
แม้ DIVANA จะผลิตน้ำหอมมาแล้วร่วมร้อยกลิ่น แต่ที่ครองตลาดจนถึงปัจจุบันก็คือซีรีส์ SIGNATURE “QUEEN OF THE NIGHT เป็นกลิ่นที่ขายดีที่สุดในซีรีส์ เกิดจากภาพจำของผมกับตี๋ที่เห็นบ้านโบราณในซอยศรีเวียงซึ่งงดงามถึงขนาดดึงดูดให้เราปีนรั้วดู เราเห็นดอกไม้ไทยสีขาวที่บานตอนกลางคืนอย่างพิกุล บุนนาค ฯลฯ พร้อมกับกลิ่นหอมที่ลอยมาตามลม เลยเป็นแรงบันดาลใจให้ออกแบบกลิ่นดอกไม้ขาวที่บานตอนกลางคืน 8 ชนิด รวมถึงตั้งชื่อซิกเนเจอร์สปา และห้องสปาตามชื่อดอกไม้ทั้ง 8” ธเนศเล่าถึงจุดเริ่มต้นของสาขาในย่านสีลม และกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ในแต่ละแห่ง
“อย่าง DII ที่เซ็นทรัลเอ็มบาสซี มีคอนเซปต์ของการสร้างสภาวะที่ผ่อนคลายอย่างสมดุลด้วยแสง ‘สีเขียว’ และ ‘สีน้ำเงิน’ เช่นเดียวกับห้องโดยสารบนเครื่องบินแอร์บัสก็ใช้ช่วงแสงนี้ ในห้องทรีตเมนต์ เราจึงใช้กลิ่น VERTE ซึ่งเป็นตัวแทนของแนวกลิ่นสีเขียวในธรรมชาติ ส่วนกลิ่น VERTIGO ที่เป็นตัวแทนของแนวกลิ่นสีน้ำเงินจะอยู่ในรูปแบบของผลิตภัณฑ์”
ประสบการณ์ลูกค้าที่ไม่ได้มีแค่ 5 ผัสสะ
“เราโฟกัสที่ชาวยุโรปตอนเริ่มต้นธุรกิจเพราะเป็นกลุ่มคนที่เราคุ้นเคยครับ และส่วนใหญ่เขาให้คุณค่ากับรายละเอียด กระบวนการ รวมถึงคุณภาพของการให้บริการ นอกเหนือไปจากสิ่งที่จับต้องได้”
ที่ผ่านมาธเนศจึงมีแนวทางในการรังสรรค์ประสบการณ์ที่ต้อง ‘ทัชใจ’ อยู่เสมอ เพิ่มเติมจาก 5 ผัสสะพื้นฐานอย่างรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสทางกายที่ DIVANA จัดให้ลูกค้าอย่างครบครัน เมื่อเข้ามาใช้บริการถึงสถานที่ “โชคดีที่คนไทยคุ้นชินกับการเปิดทุกผัสสะมาแต่ไหนแต่ไร ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือทำไมเวลาเข้าวัดแล้วรู้สึกสงบ ทั้งที่วัดอยู่ใจกลางเมืองร้อนๆ นั่นเพราะเราถูกปลอบประโลมให้ผ่อนคลาย ได้เห็นพุทธศิลป์ที่อ่อนช้อย ได้กลิ่นธูปหอมและดอกไม้สด ได้ทานอาหารกับญาติโยมที่มาเลี้ยงเพล ได้ยินเสียงพระสวดมนต์ราวกับเบรนเวฟมิวสิค ได้สัมผัสกับลมเย็นที่พัดผ่านมาในโบสถ์หลังคาทรงสูง ถ้าเราออกแบบประสบการณ์ให้สอดประสานกันก็จะไปแตะผัสสะที่ 6 ซึ่งก็คือใจหรือจิตวิญญาณทันที”
นอกจากนี้ ในคัมภีร์ของ DIVANA ยังนิยามและให้ความสำคัญกับ ‘จินตนาการ’ ในฐานะเป็นผัสสะที่ 7 “ผมสนุกกับการออกแบบกลิ่น มันเป็นการเล่าเรื่องผ่านจินตนาการ เราดึงจินตนาการออกมาสร้างสรรค์ประสบการณ์ และสื่อสารกับผู้คน” แต่ละกลิ่นที่ผ่านมือธเนศจึงมักสอดแทรกเรื่องราวของจินตนาการอยู่เสมอ เขายกตัวอย่างกลิ่น PRANA LEMONGLASS ที่ไม่ใช่ตะไคร้ในต้มยำกุ้ง หากแต่เป็นความสดชื่นของตะไคร้ในสวนส้มซึ่งกำลังออกดอกบานสะพรั่ง
ทว่าในบริบทของสถานที่ จินตนาการอาจเป็นผัสสะแรกที่ผู้ใช้บริการ DIVANA จะได้รับ “สปาทั้ง 4 แห่งเราใช้บ้านโบราณ อย่างสาขาซอยศรีเวียงเป็นเรือนของท่านเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ ซึ่งเป็นเจ้าพระยาคนสุดท้ายในประวัติศาสตร์ไทย สาขาซอยสมคิดเป็นเรือนข้าราชบริพารในวังคลองเตยของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ นายช่างใหญ่แห่งสยามในขณะที่ DII ฉีกออกไปด้วยคอนเซปต์ของนวัตกรรมสมัยใหม่ที่ชวนให้รู้สึกเหมือนอยู่ในโลกแห่งจินตนาการใต้ท้องทะเล”
ปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ให้ตรงใจ ‘พลเมืองโลก’
นับตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด ธเนศและทีมผู้บริหารเล็งเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในหมู่ประชากรโลกยุคใหม่ที่หันมาใช้สินค้าและบริการจากแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้น
“คนกลุ่มนี้คือพลเมืองโลกหรือ Global Citizen ที่มีสำนึกรักทั้งตัวเอง คนรอบข้าง และธรรมชาติ เราจึงตัดสินใจที่จะทรานส์ฟอร์มแบรนด์ภายใต้แนวคิด The Marvelous Nature เพื่อตอบโจทย์พลเมืองโลกที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
คอนเซปต์ดังกล่าวนำมาซึ่งการปฎิรูปครั้งใหญ่ของ DIVANA ในรอบ 21 ปี เริ่มตั้งแต่การปรับอัตลักษณ์ของแบรนด์ที่ปรากฏในโลโก้ กราฟิก แพ็กเกจจิ้ง ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ที่ไม่รบกวนสิ่งมีชีวิต และเชิดชูความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ “เราใช้สารสกัดจากพืชเป็นองค์ประกอบหลักในทุกผลิตภัณฑ์ เพราะเชื่อมาตลอดว่าธรรมชาติคือยาที่ดีที่สุด ทั้งในมิติของการซ่อมสร้างและดูแลรักษา แพ็กเกจจิ้งของเราต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถรีไซเคิล รียูส หรือย่อยสลายเองได้” ธเนศกล่าว ก่อนเล่าถึงซีรีส์กลิ่นใหม่ล่าสุดที่ได้แรงบันดาลใจจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ โดยมีพลเมืองโลกเป็นตัวตั้ง
กลิ่นแห่ง ‘ปรากฏการณ์’ ที่เชื่อมโยงถึงจินตนาการและความทรงจำ
สัญลักษณ์แห่งพลังธรรมชาติ อาทิ ดาวเหนือ พระอาทิตย์ สายรุ้ง ธารน้ำแข็ง ฯลฯ ถูกนำมาใช้เป็นโจทย์ใหม่ในการออกแบบกลิ่นสำหรับปี 2023 ซึ่งต่างจากโจทย์เดิมของซีรีส์ SIGNATURE ที่สื่อสารแนวกลิ่นอย่างตรงไปตรงมา
“เราออกแบบประสบการณ์ครั้งใหม่ให้กับผู้บริโภค โดยถ่ายทอดปรากฏการณ์ธรรมชาติสู่ 8 กลิ่นใหม่ล่าสุดในซีรีส์ PHENOMENON ที่เข้าถึงพลเมืองโลกได้ง่าย” ธเนศพูดพลางหยิบกลิ่นทั้งหมดมาให้ลองดม ฉันเดาไม่ถูกเลยว่าแต่ละกลิ่นประกอบไปด้วยวัตถุดิบอะไรบ้าง เพราะไม่มีกลิ่นใดแสดงตนอย่างชัดเจน รู้สึกเพียงว่าเป็นความหอมนวลๆ ที่ชวนให้ดมได้ทั้งวัน ที่ว่างสำหรับจินตนาการจึงมีเหลือเฟือ
“อย่างปรากฏการณ์ ‘รุ้งกินน้ำ’ ที่พบเห็นได้ทั่วไปหลังฝนตก เป็นแรงบันดาลใจของกลิ่น RAINBOW ครับ เราถ่ายทอดผ่านกลิ่นที่สร้างความสดชื่นโดยใช้กลิ่นหลักจากเกรปฟรุ๊ต แทงเจอรีน ฯลฯ เพื่อจุดพลังแห่งความหวังและความฝัน หรือกลิ่น SUNRISE ที่เป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นวันใหม่อย่างมีชีวิตชีวา เราจินตนาการถึงแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ตกกระทบละอองน้ำค้างที่อยู่บนดอกไม้ในสวนหน้าบ้าน เลยใช้กลิ่นเวอร์ติแวร์ (หญ้าแฝก) ที่เป็นตัวแทนของความเขียวชอุ่ม ผสานเข้ากับกลิ่นมะลิอันหอมหวาน เจือด้วยกลิ่นพริกไทยดำที่สื่อถึงความอบอุ่นของแสงแรกในแต่ละวัน” เขาเฉลยทีละนิด
ผู้บริหารหนุ่มมักจะถ่ายทอดความสนุกในการออกแบบกลิ่นภายใต้จินตนาการและประสบการณ์ในการเดินทางของเขา ก่อนส่งต่อแรงบันดาลใจเพื่อให้ผู้คนที่หลงใหลในกลิ่นหอมได้มีความสุขกับจินตนาการในแบบฉบับของตนเอง
“ส่วนกลิ่น FULL MOON สื่อถึงความโรแมนติกในยามค่ำคืน อาจเป็นการหวนระลึกถึงอดีตว่าคุณมีความทรงจำที่ดีอย่างไรในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง หรืออาจจะสร้างสรรค์จินตนาการขึ้นมาใหม่ในรูปแบบที่คุณต้องการก็ได้ เพราะแต่ละคนย่อมผ่านประสบการณ์ของแต่ละปรากฎการณ์ไม่เหมือนกัน” ธเนศยกตัวอย่างด้วยรอยยิ้ม
ความเรียบง่ายภายใต้รายละเอียดสุดล้ำลึก
การปรับโฉมของ DIVANA ให้ร่วมสมัยในทุกมิติเป็นฝีมือของ Jacob Jensen Design บริษัทสัญชาติเดนมาร์กที่สร้างชื่อจากการออกแบบสินค้ากว่า 260 รายการให้ Bang & Olufsen มากว่า 25 ปี ทั้งยังกวาดรางวัลระดับโลกมาแล้วมากมาย อาทิ CES Innovation Award, Red Dot Design Award และ Good Design Award ฯลฯ
“คนสแกนดิเนเวียให้ความสำคัญกับธรรมชาติมาก และขึ้นชื่อในด้านการออกแบบที่ใช้วัสดุอย่างคุ้มค่า ที่ผ่านมาภาพลักษณ์ของเราจัดเต็มในเรื่องราวเกี่ยวกับมรดกทางวัฒนธรรม พอจะทรานส์ฟอร์มเป็นคอนเซปต์ของ ‘ความยั่งยืน’ จึงต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการลดทอนดีไซน์อันซับซ้อนให้ออกมาสากลและเรียบง่ายที่สุด เพื่อที่ว่าใครๆ ก็สามารถใช้แบรนด์เราได้”
ธเนศเท้าความถึงการเลือกสตูดิโอที่ถนัดงานดีไซน์สไตล์นอร์ดิก และเหตุผลที่ DIVANA ยอมทุ่มงบปรับลุคในช่วงโควิด สวนทางกับหลายธุรกิจที่เลือกรัดเข็มขัด โดยเริ่มจากโลโก้สุดมินิมัลที่ถอดแบบมาจาก ‘วงปีต้นไม้’ อันมีนัยยะสื่อถึง WELLNESS, HOSPITALITY, NATURE ซึ่งก็คือ 3 แกนหลักที่แบรนด์ใช้ในการสร้างสรรค์สินค้าและบริการมาโดยตลอด
“ยากมากนะครับ การออกแบบที่ดูเรียบง่ายให้เป็นที่จดจำ เป็นความอ่อนน้อมที่ตะโกนได้เสียงดัง” เขาเปรียบเปรย
“ส่วนแพ็กเกจจิ้ง พอออกแบบเสร็จ เราต้องสั่งทำแม่พิมพ์ใหม่ทั้งหมด เพราะเป็นดีไซน์พิเศษที่ไม่เคยมีในท้องตลาด” ธเนศกล่าวอย่างอารมณ์ดี “อย่างแฮนด์ครีมในหลอดทรงโค้งฝาครึ่งวงกลม เราต้องใช้แม่พิมพ์ใหม่ถึง 3 ส่วน ส่วนขวดน้ำหอมปรับอากาศ หากสังเกตดี ๆ จะเห็นเลเยอร์ของแก้ว 2 ชั้น ที่ต้องเป่าและเชื่อมด้วยมือทีละใบ ซึ่งไม่เพียงส่งผลในด้านความงาม แต่ยังเสริมประสิทธิภาพในการกักเก็บกลิ่นหอมไม่ให้ระเหยออกได้ง่าย นี่คือความประณีตในแบบของเรา
“อีกหนึ่งความธรรมดาที่ไม่ธรรมดาก็คือเทียนหอม เนื้อเทียนเราทำจากไขถั่วเหลือง ไส้เทียนใช้ออร์แกนิกคอตตอน 100% ส่วนภาชนะใส่เทียนสีเบจเป็นสีจริงของเนื้อเคลย์ที่บริสุทธ์มากๆ ผ่านการหลอมด้วยอุณหภูมิกว่า 1,550 องศาเซลเซียส เมื่อจุดเทียนจึงให้ความร้อนได้ดีและช่วยเพิ่มมิติที่นุ่มเบาของกลิ่น เป็นเคลย์ที่ไม่มีในไทย ต้องนำเข้าโดยเฉพาะ” เขากล่าวต่อก่อนชี้ให้เห็นว่า “เราไม่ได้นำเสนอแค่เรื่องราวของกลิ่นและวัตถุดิบจากธรรมชาติ แต่ยังสร้างประสบการณ์ที่พิเศษและล้ำลึก จนผู้บริโภครู้สึกได้ถึงความมหัศจรรย์ของธรรมชาติด้วยตัวของเขาเอง”
ธเนศสะท้อนอานุภาพของการออกแบบที่ไม่เพียงส่งตรงถึงผัสสะทางกายและใจ แต่ยังช่วยสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์ ผู้คน ตลอดจนธรรมชาติอันบริสุทธิ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในระยะยาว
Words: Sasi Akkomee
Photos: Somkiat Kangsdalwirun
Hair & Makeup: Nutkamol S.