Search
Close this search box.
Search
Close this search box.
HOME / Beauty / Makeup

THE EVOLUTION OF MAKEUP

มาย้อนดูเทรนด์เมคอัพแต่ละยุคว่ามีความน่าสนใจ และพัฒนาไปในทิศทางไหนบ้าง
Beauty / Makeup

หากจะกล่าวถึงต้นกำเนิดของเครื่องสำอางและบิวตี้โปรดักส์ คงต้องแกะรอยย้อนไปในสมัยโบราณ ซึ่งเครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์ความงามต่างๆ ได้แทรกตัวอยู่ในชีวิตประจำวันของมนุษย์เรามาอย่างยาวนานจวบจนปัจจุบัน ทว่าสาวๆ แต่ละยุค แต่ละวัฒนธรรมีสไตล์ความงามและการแต่งหน้าที่แตกต่างกัน คอลัมน์นี้มาย้อนดูเทรนด์เมคอัพแต่ละยุคกันดีกว่า ว่าที่ผ่านมามีความน่าสนใจ และพัฒนาไปในทิศทางไหนบ้าง

ยุคอียิปต์โบราณ

เครื่องสำอางหลายชิ้นที่ใช้กันในปัจจุบันมีใช้กันมาตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ ชายหญิงยุคนั้นจะทาขอบตาด้วย Kohl หรือผงตาเปลือกตา ซึ่งการแต่งตามีความเชื่อว่าจะช่วยป้องกันปีศาจและสิ่งชั่วร้าย นอกจากนี้ Kohl ยังมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ปกป้องดวงตาจากแสงอาทิตย์ด้วย แต่ถ้ากล่าถึงบิวตี้ไอคอนของยุคนี้ คงหนีไม่พ้นพระนางคลีโอพัตราซึ่งมีเมคอัพอันโดดเด่นทรงพลังด้วยการทาลิปสติกสีแดงที่ทำจากเปลือกแมลงบด

ยุคกรีกโรมัน

ยุคนี้นิยมผิวที่ดูขาวซีดและเติมแต่งสีของพวงแก้มให้ดูสดใสในโทนสี Rosy นับเป็นการครีเอตลุคที่ดูโมเดิร์นขึ้น เน้นไปที่สีสันของแก้ม หญิงสาวในยุคโรมันจะใช้ไวน์แดงในการเติมสีสันให้กับพวงแก้ม ในขณะที่บลัชออนของสาวกรีกโบราณจะเป็นการนำเบอร์รี่มาคั้นแล้วทาแก้ม

ยุคเกอิชาของญี่ปุ่น

การแต่งหน้าของเกอิชาหญิงสาวผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะ เล่นดนตรี ร้องเพลง เต้นรำ มีการแต่งหน้าเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่น ด้วยการทาใบหน้าให้ขาวด้วย Rice Powder และทาปากสีแดงซึ่งลิปสติกทำจากดอกคำฝอย โดยเมคอัพในสมัยก่อนจะทำจากส่วนผสมของธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่

ช่วงปี ค.ศ. 1900-1919

การแต่งหน้าในช่วงนี้ดูเหมือนว่าจะโฟกัสไปที่นักแสดงหรือนักดนตรี แม้ว่าจะค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม แต่ยุคนี้ถือเป็นการก้าวสู่อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง และ Max Factor ก็ได้สร้าง Beauty Lab ขึ้นในปี 1909 ผลิตเครื่องสำอางสำหรับนักแสดง จากพัฒนาการของเครื่องสำอางในครั้งนี้ส่งผลให้ช่วงทศวรรษแรกผู้หญิงจะชอบสไตล์การแต่งหน้าที่ดูขาวซีด ทาแป้งเยอะๆ และทาปากด้วยลิปสติกสีสดๆ เหมือนกับการแต่งหน้าของนักแสดงหนังเงียบในยุคนั้นนั่นเอง

ยุค 1920s

เมคอัพเทรนด์ในยุคนี้โฟกัสไปที่ริมฝีปาก ซึ่งเมคอัพในยุค 20s จะไม่คอมพลีตเลยถ้าปราศจากลิปสติกสีแดง ส่วนใหญ่สาวๆ ในยุคนั้นจะทาริมฝีปากล่างในลักษณะกลม และริมฝีปากบนทาให้ดูเป็นกระจับและมีเชฟ ซึ่งลุคนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก Helene Chadwick นักแสดงชื่อดังแห่งยุค

ยุค 1930s

สไตล์การแต่งหน้าในยุคนี้มีลูกเล่นมากขึ้น โดยสาวๆ ในยุคนี้จะเขียนคิ้วในเส้นบางๆ ดูคิ้วโก่งรับกับขนตาแบบ Slim เหมือนกับลุคของ Rita Hayworth นักแสดงและนักเต้นตัวท็อปในยุคนั้น

ยุค 1940s

ช่วงเวลานี้เป็นช่วงของสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่งผลให้ภาษีของเครื่องสำอางนั้นแพงมาก การแต่งหน้าในยุค 40s จะดูน้อยๆ เขียนคิ้วเป็นเส้นโค้ง ทาอายแชโดว์และบลัชออนเบาๆ เพื่อเป็นการประหยัดเครื่องสำอาง ทว่าลุคนี้ขาดลิปสติกไม่ได้ เปรียบเสมือนขวัญกำลังใจของสาวๆ ที่ทำให้การแต่งหน้าดูมีชีวิตชีวา

ยุค 1950s

สาวๆ ในยุคนี้จะใช้รองพื้นที่ดูหนาเพื่อการปกปิดและผิวที่ดูเนียน ปัดบลัชออนสีสว่างๆ กรีดอายไลเนอร์ตวัดหางขึ้นเล็กน้อย และปัดขนตาให้ดูงอนงามซึ่งมาสคาร่าเป็นเมกอัพที่ฮิตมากในยุคนั้น

ยุค 1960s – 1980s

ในช่วงปี 1960 อายเมคอัพ คือ จุดศูนย์กลางของความโดดเด่น ผู้หญิงยุคนั้นสนุกกับสีสันบนเปลือกตา มากันที่ยุค 70s สาวๆ ชอบบิวตี้ลุคที่ดูเป็นธรรมชาติ แทบไม่แต่งหน้าเลย โดยจะปัดขนตาด้วยมาสคาร่าแบบเบาๆ ตรงข้ามกับยุค 80s ที่สไตล์การแต่งหน้าจะจัดจ้านไปด้วยสีสันที่ฉูดฉาดของอายแชโดว์สีชมพู สีม่วง และสีฟ้า

ยุค 1990s – 2000s

เมคอัพในช่วงปี 1990s จะดูแวววาวเป็นประกาย ไม่ว่าจะเป็นลิปชิมเมอร์ ลิปกลอส เรียกได้ว่าสาวๆ ยุคนี้จะสนุกกับกลิสเตอร์มาก ส่วนคิ้วจะนิยมคิ้วบางๆ ใช้อายแชโดว์ที่มีสีสดใส เช่นสีฟ้า มาในช่วงยุค 2000 จะเน้นไปที่บลัชออนจัดจ้าน กรีดอายไลเนอร์หนักๆ เส้นเข้มๆ และเรียวปากที่มีความวาว

ช่วงปี 2010

ในช่วงนี้ใช้เส้นอายไลเนอร์ที่หนา อายแชโดว์โทนสีเข้ม หรือการแต่งตาแบบสโมกกี้อายเป็นที่นิยมมาก เนื่องจากวัฒนากธรรมของดนตรีพังก์ ร็อกนั่นเอง ทำให้สาวๆ ยุคนี้สนุกไปกับสีสันบนใบหน้า ที่มีความเชื่อมโยมกับเสียงดนตรี

ช่วงปี 2020 – ปัจจุบัน

มาในยุคปัจจุบันกันบ้าง การแต่งหน้ามีเทคนิคมากขึ้น มีการใช้ศิลปะในการคอนทัวร์ ไฮไลต์เฉดดิ้ง สร้างมุมมองให้เมคอัพลุค ดูสวยอย่างเป็นธรรมชาติ เน้นแต่งงานผิวให้ดูโกลว์ ดูอิ่มน้ำ แสดงให้เห็นถึงผิวที่มีสุขภาพดี

Text : Supakajin

Related Articles

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ เราได้อธิบายความหมายและวิธีการใช้คุกกี้ของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือการเปิดเผย รวมถึงทางเลือกในการใช้คุกกี้ของเรา อ่านเพิ่มเติม