เสียงคำรามของเครื่องยนต์ V12 กึกก้องจากถนนท่ีรายรอบไปด้วยป่าเขา ขณะที่แสงอาทิตย์ใกล้จะลับฟ้า ดีไซน์ท่ีโดดเด่นจากยุค 70s กำลังโลดแล่นไปในเส้นทางอันท้าทาย เสียงรอบเครื่องยนต์ดังสลับขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง และไฟหน้าของซูเปอร์คาร์ในอดีตก็ติดสว่างขึ้น
มันเป็นเส้นทางทอดระหว่างเทนเนสซี กับ นอร์ทแคโรไลนา แม้จะไม่ใช่เส้นทางหลัก แต่รูท 129 ก็เป็นเส้นทางขึ้นชื่อสำหรับผู้รักการขับขี่โดยเฉพาะบรรดาไบเกอร์ แต่คราวนี้เป็นการร่ายรำของ Lamborghini Countach LP 500 ดาวเด่นจากเจนีวามอเตอร์โชว์เมื่อ 50 ปีที่ผ่านมา การออกแบบของ Countach นั้นสืบทอดต่อกันมา ชนิดท่ีไม่ละทิ้ง DNA เลยแม้แต่น้อย ด้วยยุค 70s น้ันเป็นยุคท่ีมีการแข่งขันทางด้านเทคโนโลยีช้ันสูง ทำให้ส่ิงเหล่าน้ันถูกจับใส่มาต้ังแต่ Countach รุ่นบุกเบิก ทั้งการออกแบบในทางวิศวกรรม เรื่องของเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และท่ีสำคัญมันเป็นช่วงเวลาท่ีมนุษยชาตินั้นพยายามจะสำรวจสิ่งใหม่ๆ ที่นอกเหนือไปจากดาวโลก ทั้งหมดทั้งมวลยังเชื่อมต่อกับเทรนด์แฟชั่นสร้างความสะดุดตา เช่น ช่องลม NACA Duct ข้างรถของ LP400
เส้นทางที่เป็นเพียงสองเลนส์สวนและคดเคี้ยวนี้ มีอยู่ส่วนหนึ่งซึ่งขนานนามว่า The Tail of Dragon ประกอบไปด้วยโค้งที่มากกว่า 318 โค้ง ภายในระยะทาง 17.7 กิโลเมตร ทำให้เสียงโหยหวดของเครื่องยนต์ จังหวะเปลี่ยนเกียร์ และความร้อนของเบรกแดงวาบขึ้นในล้อที่จังหวะก่อนเข้าโค้ง สร้างความเร้าใจให้กับนักขับจากยคุ 70s ทันใดนั้นเสียงเครื่องยนต์แว่วมาแต่ไกลอีกหนึ่งเสียง และแสงไฟส่องสลับไปมาตามโค้งจากด้านหลังพลันให้คิดในใจว่าเมื่อไรที่รถคันนั้นใกล้เข้ามา ถึงจะกดคันเร่งให้รู้กันไปว่า เจ้าหนูอย่าคิดจะสู้กับลุง
ไม่ถึงอึดใจไฟที่เคยส่องรำไรๆ นั้นกลับสาดสว่างติดท้ายรถมือขับรุ่นเก๋า การบรรเลงประสานเสียงของ LP (Longitudinale Posteriore เครื่องวางตามยาว ด้านท้ายรถ) ทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็นเสียงเครื่องยนต์ เสียงยาง จึงเร่ิมขึ้น ดีไซน์ที่ช่างเป็นการออกถอดแบบมารุ่นสู่รุ่น ยนตกรรมสีขาว Bianco Siderale กับมุขสีฟ้าปรากฎตัวขึ้นกับรูปร่างท่ีได้รับการสืบทอดผสานกับดีไซน์ในยุคปัจจุบัน Lamborghini CountachLPI800-4 ที่ผลิตมาเพียง 112 ขุมพลังจากเครื่องยนต์ V12 780 แรงม้ากำลังหยั่งเชิงกับคุณลุง LP 500 ทางด้านหน้า
เสียงการเปลี่ยนเกียร์ที่เห็นได้ถึงความต่างของเทคโนโลยีสมัยใหม่ LPI 800 เร่ิมแหย่รุ่นเก๋าด้วยการขยับขึ้นมาเทียบคู่หลายครั้ง และเบรกให้จานเบรกคาร์บอนเซรามิกแดงวาบ และถอยลงไปก่อนถึงโค้ง เพื่อปล่อยให้คุณลุงได้เห็นโครงสร้างของแบบโมโนค๊อกของสมัยน้ี และการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ในส่วนต่างๆ และชิ้นส่วนของสปอยเล่อร์หน้าและอีกหลายส่วนที่ทำการขึ้นรูปด้วยเทคโนโลยี 3D Print
ในที่สุดก็ถึงไฮไลต์ของถนน Tree of Shame ต้นไม้ที่ถูกประดับไปด้วยซากของรถมอเตอร์ไซค์เพื่อเตือนถึงบรรดาโค้งที่ผ่านมาของหางมังกร คราวนี้ LPI 800-4 ไม่อ่อนข้อให้ เครื่องยนต์ 6.5 ลิตรสร้างพละกำลังเหลือเฟือที่จะแซงขึ้นหน้าเพื่อเข้าโค้งต่อไป แน่นอนว่าล้อหน้าขนาด 20 และล้อหลังขนาด 21 นิ้วพาเอารถหนัก 1.6 ตันผ่านโค้งไปอย่างง่ายดาย ส่วนรุ่นเก๋านั้นก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หวดเข้าโค้งตามไปอย่างสุดความสามารถ
นอกเหนือจากกำลังเครื่องยนต์แล้ว LPI 800 ยังมาพร้อมกับมอเตอร์ ไฟฟ้า 48 โวลต์ ที่ต่อตรงเข้ากับชุดเกียร์ ให้กำลังอีก 34 แรงม้า ซึ่งเมื่อซูเปอร์คาปาซิเตอร์จ่ายไฟเข้าไปตอนท่ีกระแทกคันเร่ง ทำให้เรียกกำลังได้ถึง 814 แรงม้า และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อส่งตัวรถออกจากโค้งไปอย่างพล้ิวไหว ทิ้งเงาไฟท้ายทรง 6 เหลี่ยม ที่ค่อยๆ จางหายไปก่อนท่ีจะเลี้ยวเข้าไปใน rest area
ท่ีจุดพักรถ Countach ทั้งสองรุ่น กำลังถอยเข้าจอดข้างกัน ประตูแบบ Scissor ที่ใช้กับ Countach เป็นรุ่นแรกและใช้ต่อมาจนถึงปัจจุบันถูกเปิดข้ึน ทำให้เห็นภายในทั้งสองที่ใช้ลวดลายของเบาะแบบสี่เหลี่ยม เช่นเดียวกัน LPI 800 เต็มไปด้วยเทคโนโลยสมัยใหม่ อย่างเช่น จอขนาด 8.4 นิ้วที่คอนโซลกลางใช้ควบคุมส่วนต่างๆ ของตัวรถ เมื่อเจ้าถนนทั้งสองก้าวออกมาจากรถ พร้อมกับเสียงเปิดกระป๋องเครื่องดื่ม การแลกเปลี่ยนเรื่องราวในอดีตกับเทคโนโลยีสมัยใหม่จึงเร่ิมขึ้น
Text : The Bimmer
Photos : Courtesy of Brand
