เครื่องประดับหลายๆ คอลเลคชั่นของ ‘Van Cleef & Arpels’ นั้นล้วนได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติในหลากหลายแง่มุม ทำให้ความประทับใจที่เมซงอันเก่าแก่แห่งนี้มีให้กับทัศนียภาพที่ตระการตาของชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียน นำมาซึ่งงานออกแบบเครื่องประดับชั้นสูงสีสดสะดุดตาจากการไล่เฉดสีที่หลากหลายของแสงตะวันและท้องทะเลมาร้อยเรียงสู่คอลเลคชั่น ‘ไข่มุกแห่งคิมหันต์’ หรือ ‘Perles D’Été’ ที่ประกอบไปด้วยผลงานอันเป็นเอกลักษณ์ถึง 12 ชิ้น จุดประกายจินตนาการถึงจุดบรรจบระหว่างผืนฟ้ากับแผ่นน้ำ
โดยอาศัยรูปทรงกลมกลึงสุดละเมียดละไมจากคอลเลคชั่นเครื่องประดับ Perlée เป็นแรงบันดาลใจ ร่วมกับอิทธิพลทางสัณฐานทรวดทรงและเฉดสีที่ขัดแย้งกันของบรรดาเครื่องประดับยอดนิยมระหว่างทศวรรษ 1960s และ 1970s รวมถึงเครื่องประดับค็อกเทลหรือเครื่องประดับซึ่งอาศัยอัญมณีที่ดึงดูดสายตาด้วยสีและขนาด ด้วยเหตุผลนั้นผลงานเหล่านี้จึงไม่ตากอะไรจากการระดมรัตนชาติเลอค่ากับรงคศิลาหลากสีมาใช้ถ่ายทอดจิตวิญญาณแห่งความหาญกล้าท้าทายได้อย่างสง่างามท่ามกลางประกายสีระยับแสง
สีฟ้าเจิดจ้าของหินไข่นกการเวกหรือเทอร์ควอยซ์ตัดกับสีเหลืองสุกสกาวของบรรดาลูกปัดทองบนตัวเรือนสัณฐานที่สุดแสนตระการตา และการนำวัสดุต่างๆ อันเต็มไปด้วยความพิเศษ ล้วนปรากฏขึ้นจากการใช้ไหวพริบพลิกแพลงทักษะและความชำนาญหลากแขนงของช่างฝีมือ ทั้งสร้อยคอเส้นสั้น สร้อยคอเส้นยาว กำไลข้อมือ และแหวน ล้วนเต็มไปด้วยความวิจิตรบรรจงดุจบทกวีรัตนชาติซึ่งถูกตกแต่งด้วยพรรณนาโวหารขับขานถึงเสน่ห์ความงามของทิวทัศน์ของฤดูหนาวได้อย่างลึกซึ้ง
อัญมณีสุดหายากและเลอค่า
ความนิยมชมชอบที่ Van Cleef & Arpels มีต่อบรรดารงคศิลาหลากสีรวมถึงโลหะ ธาตุตระกูลสูง ถูกส่งผ่านงานออกแบบเครื่องประดับชั้นสูงอย่าง ‘ไข่มุกแห่งคิมหันต์’ หรือ ‘Perles D’Été’ อันก่อกำเนิดขึ้นจากชิ้นงานล้ำค่าที่เมซงเสาะหามาไว้ในครอบครองมาตลอดหลายปี โดยมีหิน ไข่นกการเวก หรือ เทอร์ควอยซ์ หนึ่งในรัตนชาติอันเป็นที่รักยิ่งของ Van Cleef & Arpels มาตั้งแต่ทศวรรษ 1920 มารับบทดาวเด่นของคอลเลคชั่นนี้ ดังจะเห็นได้จาก 10 ผลงานจากเครื่องประดับทรงเอกลักษณ์ทั้ง 12 สองชิ้นที่ใช้หินไข่นกการเวก
คุณสมบัติพิเศษเหนือสามัญถึงสามชุดซึ่งขุดพบได้ในรัฐแอริโซนาแห่ง ประเทศสหรัฐอเมริกา รงคศิลาหลังเบี้ยสีฟ้าสด 14 เม็ดชุดแรกเผยความหมดจดงดงามปราศจากริ้วรอยตำหนิใดๆ ผ่านผิวสัมผัสที่เรียบเนียนซึ่งนักอัญมณีศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญของเมซงได้ทำการเลือกสรรโดยให้ความสำคัญแก่เฉดสีอันสดสว่างเหมือนท้องฟ้ายามไร้ริ้วเมฆปรากฏ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความสม่ำเสมอกลมกลืนขณะเดียวกันก็ช่างอ่อนโยน จนชวนให้รำลึกถึงทัศนียภาพแห่งเมอดิเตอร์เรเนียน และหลังผ่านกระบวนการขัดผิวอย่างพิถีพิถันเพื่อขับประกายเปล่งปลั่งสุกสกาว ก็มาสถิตเด่นเป็นสง่าอยู่บนสร้อยคอ 2 เส้น, กำไลข้อมือ 2 วงกับแหวน 4 วงในคอลเลคชั่นนี้
สำหรับงานเจียระไนหลังเบี้ย 19 เม็ดต่างขนาดชุดที่สองถูกนำมาขึ้นตัวเรือนไล่ลำดับขนาดลดหลั่นอย่างต่อเนื่องอยู่บนสร้อยคอ ‘ละอองหมอกเทอร์ควอยซ์’ หรือ ‘Brume de Turquoise’ ประดับจี้ที่สามารถปลดออกได้ ภายใต้สายตาเฉียบคมทางการเทียบสีให้สอดคล้องเสมอกันอย่างลงตัว รัตนชาติเหล่านี้จรัสประกายสีฟ้าสดสะกดสายตามาจากเนื้อสัมผัสเงาวาวราวกับกระจก อันอาศัยความละเอียดลออของกรรมวิธีขัดผิวทั้งสองด้านอย่างพิถีพิถัน
ส่วนชุดสุดท้ายคือลูกปัดหินไข่นกการเวก 39 เม็ดหลากขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางจาก 10 ถึง 23 มิลลิเมตร ซึ่งร่วมกันก่อความกลมกลืนเชิงมิติให้แก่ชิ้นงาน ‘แสงแรกแห่งคิมหันต์’ หรือ ‘Lueur D’Été’ สร้อยคอยาวซึ่งสามารถพลิกแพลงดัดแปลงวิธีสวมใส่ได้ นอกจากนั้นคอลเลคชั่นนี้ยังเป็นเวทีรองรับความงดงามอันโดดเด่นเป็นหนึ่งของแก้วประพาฬสีสดบนสร้อยคอ ‘แสงแรกแห่งคิมหันต์’ ลูกปัดหินอินทรีย์อันถือกำเนิดจากปะการังผ่านการเจียระไนกลมกลึงอย่างสม่ำเสมอจากขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3 จนถึง 11 มม. เหล่านี้ต่างเผยมิติแห่งเฉดส้มอมแดงเข้มสุกสกาว
ในขณะที่สร้อยคอยาว ‘อรุณวิ่งกลางคิมหันต์’ หรือ ‘Crepuscule D’Été’ พร้อมสร้อยข้อมือเข้าชุดสะกดทุกสายตาด้วย “กระดุม” หินประพาฬสีขาวนํ้านมสองขนาดโอฬาร อันเป็นผลผลิตจากกระบวนการเพาะเลี้ยงเพื่อความยั่งยืน ความประณีตแม่นยำในการจับคู่ความกลมกลืนทางเฉดของอินทรีย์ ธาตุต่างแหล่งที่มาทั้งสองชุด ช่วยทวีความเลอค่าให้แก่เครื่องประดับเหล่านี้อย่างยากจะหาได้เปรียบ
เฉดสีกับรูปพรรณสัณฐาน
เพื่อจุดประกายจินตนาการให้ปรากฏทัศนียภาพแห่งชายหาดเมดิเตอร์ขึ้นในใจ ผลงานคอลเลคชั่นนี้ได้อาศัยแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งจากแบบฉบับเชิงสุนทรียศาสตร์ของเครื่องประดับ ‘ค็อกเทล’ (Cocktail Jewelry) ซึ่งสันนิษฐานว่ามีจุดเริ่มต้นในอเมริการะหว่างทศวรรษ 1930 ด้วยสไตล์การออกแบบซึ่งให้ความสำคัญแก่สัณฐานอลังการตระการตาของรัตนชาติหรืออัญมณีชิ้นเด่น โดยเฉพาะหัวแหวนยอดนิยมของเหล่าสุภาพสตรีผู้สง่างามแห่งแวดวงสังคมชั้นสูงเวลาไปร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ยามค่ำคืน ขณะที่เธอทั้งหลายยกแก้วค็อกเทลขึ้นจรดริมฝีปาก ทุกสายตาในห้องจัดงานต่างตะลึงงันยามจับจองมองประกายสีที่เจิดจรัสบนนิวของเธอ
เครื่องประดับค็อกเทลกลับมาอยู่ในกระแสแฟชั่นอีกครั้งตลอดทศวรรษที่ 1960 จนถึง 1970 อันเป็นยุคสมัยแห่งวิถีชีวิตเสรีและจิตวิญญาณหาญกล้า ท้าทายขนบสังคมดั้งเดิม ด้วยการใช้ขนาดที่มโหฬารท่ามกลางลูกเล่นสีตัดอย่างฉูดฉาดบาดตา และทวีความโดดเด่นด้วยรูปทรงเชิงสถาปัตยกรรมกับประการอันเจิดจรัสร่วมกันถ่ายทอดความเบิกบานและสดใสผ่านอัญมณีเลอค่ากับรงคศิลานานาเฉด รวมถึงอินทรียวัตถุจากธรรมชาติไม่ต่างอะไรจากเครื่องดื่มค็อกเทลที่ปรุงขึ้นจากส่วนผสมสารพัน
เครื่องประดับค็อกเทลมอบความหลากหลายผ่านลูกเล่นสนุกสนานอย่างการใช้เพชรจรัสประกายวิบวับร่วมกับสีฟ้าสว่างเงางามเงามของหินไข่นกการเวก และสีน้ำเงินเข้มล้ำลึกของพลอยมหาสมุทรลาพิซลาซูลิ หรือสีม่วงสดกระจ่างของพลอยดอกตะแบกอะเมธิสต์ตัดกับโทนสีส้มลูกพีชของแก้วประพาฬผิวอัปสร ในขณะที่โมราเขียวขจี นิลกาฬดำขลับ กับลูกปัดปะการังสีส้มอมชมพูสด ถูกระดมขึ้นตัวเรือนเดียวกันเผยความลงตัวจากขั้วต่างทางความขัดแย้งได้อย่างน่าตื่นตา
ส่วนคอลเลคชั่นเครื่องประดับชั้นสูง ‘ไข่มุกแห่งคิมหันต์’ นี้ทั้งแหวน สร้อยคอ และกำไลข้อมือต่างทอประกายอบอุ่นเรืองรองราวกับถูกฉาบด้วยสกาวแสงสีน้ำผึ้งแห่งอัสดง ด้วยการใช้ไหวพริบพลิกแพลงทักษะความชำนาญแขนงต่างๆ ร่วมกับความคิดสร้างสรรค์สุดท้าทายเพื่อรังสรรค์บรรดาสัญลักษณ์ทางงานออกแบบศิลปะยุคประชานิยมให้มีความหรูหราและสดใหม่ไปพร้อมๆ กัน